Monday, 16 June 2025
ค้นหา พบ 48838 ที่เกี่ยวข้อง

‘หมอยง’ เปิดข้อเท็จจริงต่อเนื่อง ‘มหาวิทยาลัย’ ทุ่มงบดันการจัดลำดับ

(30 ต.ค. 67) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘ธุรกิจสำนักพิมพ์ทางวิชาการ กับดัก ผลงานทางวิชาการของมหาวิทยาลัย’

การจัดอันดับมหาวิทยาลัย จะรวมผลงานทางวิชาการที่เผยแพร่ในระดับนานาชาติ และการอ้างอิง (citation) เป็นเหตุให้มหาวิทยาลัย จึงต้องกำหนด ให้ตีพิมพ์ในวารสารที่คาดว่าจะมีการอ้างอิงสูง 

วารสารที่มีการอ้างอิงสูงไม่ว่าเป็นวารสารเกิดใหม่ จะเป็นวารสารที่เป็น open access (OA) มากกว่าวารสารเก่าแก่ ที่ ไม่เสียสตางค์ และเราจะดู Impact Factor หรือ IF กันมาก วารสารที่อ้างอิงสูง ก็จะมีค่า IF สูง หลายคนพยายามพูดว่าสำนักพิมพ์ MDPI, Hindawi, Frontier เป็นธุรกิจ ผมไม่เคยคิดเช่นนั้น เพราะทุกสำนักพิมพ์เป็นธุรกิจเหมือนกันหมด ไม่ต่างกัน และที่ผ่านมาถ้าไม่ดีจริงก็อยู่ไม่ได้ เช่น Hindawi 

วารสารบางวารสาร จะเพิ่มตัวเลข IF ด้วยการเพิ่มจำนวนผลงานที่เป็นรีวิว และแน่นอนวารสาร open access ก็มีการอ้างอิงสูงกว่า การตั้งราคาค่าตีพิมพ์สูงตาม ขึ้นอยู่กับ IF ด้วย หรือ ranking ของวารสาร ก็จัดโดยภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับสำนักพิมพ์

สำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียง รู้ดี และเมื่อมีผลงานที่ส่งมาให้เป็นจำนวนมาก (raw materials) สำนักพิมพ์ก็ได้โอกาส ก็ออกวารสาร ลูก ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เช่นเมื่อส่งมามากก็ปัดลงเสนอให้ลงพิมพ์ในวารสารลูก และทุกวารสารเสียสตางค์ทั้งนั้น วารสารบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ก็ทำเช่นนั้น เป็นที่รู้ดีกัน เมื่อวัสดุเข้ามาถึงโรงพิมพ์แล้ว กระบวนการส่งให้ทบทวน การทบทวนทางวิชาการ ก็ไม่ได้มีค่าตอบแทนอะไร มีน้อยบริษัท ที่จะให้ค่าตอบแทนเป็นคูปองส่วนลดในการตีพิมพ์ ก็ยังดีกว่าไม่ให้อะไรเลย ในเมื่อเป็นธุรกิจ ก็น่าจะคิดกันแบบธุรกิจ เป็นการลงทุนเพียงบริหารจัดการ 

และอีกประการหนึ่ง นอกจากวารสารเฉพาะทางแล้ว ทุกสำนักพิมพ์ธุรกิจ จะออกวารสาร 'จับฉ่าย' หรือจะเรียกให้เพราะหน่อย ก็เป็น miscellaneous เช่น PLOS ONE, Peer J, Scientific Reports, Heloyon, Cureus, F1000research, etc วารสารในกลุ่มนี้เมื่อจัดอันดับแล้ว จะอยู่ใน Q ที่สูงโดยเฉพาะ Q1 ตามที่มหาวิทยาลัยต้องการแน่นอน เพราะตัวหารในกลุ่ม miscellaneous มีมากทุกสาขาวิชามารวมกัน ทั้งที่ค่าเพจชาร์จ ก็ไม่เบาเลย ยกตัวอย่างเช่น Scientific reports ก็ไม่ต่ำกว่า 80,000 บาท หรือทั่วไปก็มักจะเกิน 2,000 เหรียญ US 

ผมอยู่ในสาขาไวรัส วารสารดังของไวรัส ถ้าจัดลำดับแล้วน่าสงสารที่สุด เพราะมีวารสารที่เกี่ยวกับ HIV มีการอ้างอิงสูงจึงทำให้การจัดลำดับลงมา ค่อนข้างต่ำ ผมยกตัวอย่างเช่น Archive Virology อยู่ใน Q3, เป็นไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นวารสารที่ดำเนินการมาร่วมร้อยปี และลงพิมพ์ได้ฟรี ผู้อ่านจะต้องเป็นคนเสียสตางค์ J Gen Virology วารสารที่ดีมาก แต่ก็อยู่ใน Q2 ของ Scimaco หรือเครือข่ายของสำนักพิมพ์ เราจะยังยึดถือลำดับ หรือ IF กันอีกต่อไปหรือ 

สมมุติประเทศไทยตีพิมพ์วารสารต่างประเทศ ปีละ 10,000 เรื่อง และ 60% ต้องเสียสตางค์ค่าตีพิมพ์ และเฉลี่ยเรื่องละ 50,000 บาท ช่วยลองเอา 6,000 เรื่องคูณกับ 50,000 บาท จะเป็นเงินเท่าไหร่ ที่ประเทศไทยจะต้องเสียออกไป ความจริงน่าจะมากกว่าหมื่นเรื่อง และห้องสมุดยังต้องจ่ายให้กับสำนักพิมพ์อยู่ รวมทั้งยังต้องซื้อ ฐานข้อมูล น่าจะมีใครทำวิจัยเรื่องนี้ และเงินทั้งหมดนี้ใครเป็นคนจ่าย ผมเองคงตอบไม่ได้ว่าเราจ่ายเงินเรื่องนี้ไปเท่าไหร่ ถ้าให้ผมประเมินก็มากกว่า 500 ล้านบาทของทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย จริงเท็จอย่างไรคงต้องประเมินกันจริงๆ และผู้บริหารเท่านั้นที่รู้ว่าจ่ายไปเท่าไหร่ 

รายได้ของประเทศไทย อยู่ในระดับปานกลางสูง แต่ก็ยังต่ำกว่ากลุ่มรายได้ประเทศที่จัดว่าเป็นรายได้สูง แต่การเก็บค่าตีพิมพ์ ของเราเท่ากับประเทศที่มีรายได้สูง เราจะสู้ไหวไหม 

โปรดติดตามตอนต่อไปอีก และพยายามคิดหาทางออก

ส่อง กมธ.พิทักษ์สถาบัน - ป.ป.ช. บ้านเมือง...ในอุ้งมือสภาสีน้ำเงิน!!

รัฐสภาส่งท้าย 30 ต.ค.2567 ปิดสมัยประชุม เปิดประชุมสมัยหน้า 12 ธ.ค.2567  แต่ในห้วงเวลาการปิดสมัยประชุมกรรมาธิการชุดต่างๆ ยังคงทำหน้าที่กันตามพันธกิจสืบเนื่อง...ดังนั้นแนวรบรัฐสภาจะไม่เงียบเหงา วังเวงอย่างแน่นอน..โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวรบของวุฒิสภา หรือสภาสีน้ำเงิน...

วันนี้ขอหมายเหตุถึงสภาสีน้ำเงินก่อนปิดสมัยประชุมสักเล็กน้อย...

1) วุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับวุฒิสภาชุดก่อนหน้านี้ 2-3 ชุด ถ้าจำกันได้ชุดที่แล้ว มี ‘สุวพันธ์  ตันยุวรรธนะ’ เป็นประธานกมธ. และมีบิ๊กเนมทั้งจากสว.และบุคคลภายนอกเพียบ...

มาถึงชุดนี้สภาสีน้ำเงินได้รายชื่อ กมธ.มา 14 คน และเพิ่งเคาะตำแหน่งกันเมื่อวันที่ 29 ต.ค.และฟิตจัดประชุมนัดแรก 30 ต.ค.วางกรอบการทำงาน โดยประธานกมธ.คือ ‘พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา’ อดีตผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา อดีตตุลาการศาลทหารสูงสุด สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่กำลังขึ้นหม้อ...

แต่ที่น่าสนใจคณะกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ ชุดนี้มีสองดร.หนุ่มไฟแรงหัวใจสีน้ำเงินของแทร่..คือ ‘ดร.เจษฎ์ โทณะวนิก’ และ ‘ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ร่วมอยู่ด้วย..รับประกันซ่อมฟรีด้านวิชาการและการเคาน์เตอร์ หากว่ากมธ.ต้องการ...โดยครั้งนี้ ดร.เจษฎ์ได้รับมอบหมายให้เป็นโฆษก กมธ.

2) ที่ประชุมวุฒิสภา 29 ต.ค.ได้ลงมติตั้งคณะกมธ.สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป.ป.ช. โดยกำหนดระยะเวลาการทำงาน 60 วัน ซึ่งในวันเดียวกันคณะกมธ.ชุดนี้ได้ประชุมในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เลือก ‘พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา’ เป็นประธานกมธ.

หากเป็นวุฒิสภา..ชุดก่อนหน้านี้ แทบทุกครั้งในการวางตัวประธานกมธ.สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติฯ ทำนองนี้ก็จะหนีไม่พ้นต้องใช้บริการ ‘พล.อ.อู๊ด เบื้องต้น’ อดีตปลัดกลาโหมและนายทหารคนสนิทของ ‘พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์...

คราวนี้..งานแรกที่พล.อ.สวัสดิ์จะต้องพิสูจน์ฝีไม้ลายมือในการทำงานก็คือ..ตรวจสอบประวัติความประพฤติและพฤติกรรมจริยธรรมของ นายประภาศ คงเอียด อดีตผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง, อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง, อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ ฯลฯ  ที่ผ่านด่านกรรมการสรรหามาให้สภาสีน้ำเงินลงมติลับให้ความเห็นชอบว่า...ผ่านไม่ผ่าน...ถ้าได้คะแนนเกินครึ่งของสว.ทั้งหมดคือมากกว่า 100 เสียงก็ผ่าน..ถ้าน้อยกว่าก็ชวด...

สายข่าวรายงานด้วยความเสียววูบวาบว่า...โอกาสผ่านหรือไม่ผ่านของนายประภาศนั้น หากว่ากันตามเนื้อผ้าแม้จะมากประสบการณ์การทำงาน แต่ปูมประวัติบางฉากเช่นกรณีตรวจสอบภาษีอันเนื่องจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กองทุนเทมาเส็กนั้น ยังมีการปุจฉา/วิสัชนากันไม่จบจนวันนี้...งานนี้ไม่รู้ค่ายสีแดงหรือสีน้ำเงินจะจับมือกันหรือประลองกำลังกัน..ต้องตามไปดู...

แน่นอนที่สุด..หลังกรณี ‘ประภาศ คงเอียด’ ต้นปีหน้าสภาสีน้ำเงินมีวาระที่จะต้องชี้ขาด  3 กรรมการป.ป.ช.ที่ครบวาระปลายปีนี้ 3 คนคือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ,วิทยา  อาคมพิทักษ์และสุวณา สุวรรณจูฑะ...หลังจากนั้นกรรมการป.ป.ช.ก็คงจะได้เลือกประธานคนใหม่กัน..

เดิมพันกระบวนการยุติธรรม เดิมพันประเทศส่วนสำคัญ..อยู่ในอุ้งมือของสภาสีน้ำเงินโดยแท้...ระหว่างน่าลุ้นกับน่าเสียวไส้..ครือๆ กัน!!

‘แมนยู’ เดินหน้าเจรจา ‘อโมริม’ คาดเรื่องจบหลังเกมวันเสาร์

(30 ต.ค. 67) รูเบน อโมริม นายใหญ่ของสปอร์ติ้ง ลิสบอน กล่าวว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของเขา หลังจากที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความสนใจที่จะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดการทีม

สปอร์ติ้งยืนยันก่อนหน้านี้ในวันอังคารว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ติดต่อเข้ามาแล้ว และยินดีที่จะจ่ายเงิน 10 ล้านยูโร (8.3 ล้านปอนด์) ให้กับอโมริม

อโมริม กล่าวกับ Sport TV ว่า "ยังไม่มีการตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเกมอำลาหรือเปล่า" หลังจากที่ทีมของเขาเอาชนะนาซิอองนาลในศึกฟุตบอลถ้วยโปรตุเกส ลีก คัพ ไปได้ 3-1 เมื่อเย็นวันอังคารที่ผ่านมา 

จากนั้นในการแถลงข่าว เขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “มีความสนใจจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีการจ่ายเงื่อนไขสัญญา และเมื่อผมมีบางอย่างที่แน่ชัดกว่านี้ ผมจะมาที่นี่และบอกตำแหน่งของผม เพราะนั่นจะเป็นทางเลือกของผม

“แม้ว่าผมจะยังไม่ได้ตัดสินใจทุกอย่าง ไม่ว่าจะสำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก”

อาโมริมกล่าวเสริมว่าเขาจะเข้าร่วมการฝึกซ้อมในวันพุธเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกมลีกในวันศุกร์กับเอสเตรลา ดา อามาโดรา

เมื่อถูกถามว่าเขาจะอยู่ในม้านั่งสำรองที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดสำหรับเกมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับเชลซีในวันอาทิตย์หรือไม่ อาโมริมกล่าวว่า “ผมจะอยู่ที่นี่” แต่เมื่อถูกถามเพิ่มเติมว่า “ผมไม่รู้”

เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวว่ายูไนเต็ดจะได้อาโมริมเป็นโค้ชระดับสูง

“สิ่งเดียวที่ผมพูดได้คือประสบการณ์การเล่นสองครั้งกับทีมสปอร์ติ้ง ลิสบอนของรูเบนเมื่อหนึ่งหรือสองฤดูกาลก่อน และความกดดันนั้นดีมากจริงๆ” เป๊ปกล่าวในการแถลงข่าว

“และดูในฤดูกาลนี้ เขาทำได้” ไม่แพ้ใครและชนะทุกเกมในลีกโปรตุเกสและแชมเปี้ยนส์ลีก [พวกเขามี] แต้มเท่ากับเรา ดังนั้นเขาเป็นผู้จัดการทีมระดับสูง

"ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะจากประสบการณ์ของผม สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะได้ผลสำหรับทีมอื่น ผู้จัดการทีม ทีม สโมสร โครงสร้าง นักกายภาพบำบัด แพทย์ ผู้เล่น มีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง"

"ผมไม่คิดว่ายูไนเต็ดเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเขา"

แฟนบอลสปอร์ตที่พูดคุยกับ BBC Sport นอกสนามก่อนเกมกับนาซิอองนาลรู้สึกเสียใจกับการจากไปของอาโมริม โดยบางคนตั้งคำถามถึงการตัดสินใจย้ายไปโอลด์ แทรฟฟอร์ด

รูเบน: "ผมหวังว่าเขาจะไม่จากไป ผมรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเพราะเราต้องการเขา ผมไม่คิดว่ายูไนเต็ดเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเขาในตอนนี้ แต่มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"

เอริค: "การจากไปกลางฤดูกาลมันแย่มาก มันเป็นเรื่องของสโมสรในลีกใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ที่ดี แต่จังหวะเวลามันน่าเศร้ามาก ผมไม่เคยเห็นโค้ชแบบเขาในชีวิตเลย"

อังเดร: "ผมรู้สึกสับสนมากกว่าโกรธ ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไปยูไนเต็ดตอนนี้ พวกเขาบอกว่ารถไฟของยูไนเต็ดจอดแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเขาอยู่ที่นี่และคว้าแชมป์อีกสมัย เขาจะได้รถไฟที่ดีกว่า ยูไนเต็ดไม่รู้สึกเหมือนแบบนั้นตอนนี้"

ดิโอโก: "มันยากที่จะเสียเขาไปกลางฤดูกาล แต่เขาก็ต้องสร้างเส้นทางอาชีพของตัวเอง เราซาบซึ้งในทุกสิ่งที่เขาทำ โค้ชคนต่อไปไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็จะทำหน้าที่ได้ดีเช่นกัน รูเบนเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมและจะทำผลงานได้ดีที่ยูไนเต็ด"

อินโดนีเซีย กดดัน แอปเปิล หนัก ผลประโยชน์จากทั้งยอดขาย-แร่นิกเกิล

(30 ต.ค. 67) นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล Founder & CEO บริษัท Fire One One ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัววิเคราะห์ถึงการตัดสินใจแบนไอโฟนในประเทศอินโดนีเซีย ว่า 

ตามที่มีข่าวอินโดนีเซียกดดันไม่ให้ขาย iPhone 16 Series จากการที่ Apple ไม่ได้ลงทุนตามที่ตกลงรับปากรับคำกันเอาไว้กับรัฐบาลก่อน ... หลังจากที่พวกเขาประกาศไป ศุลกากรก็ตรวจกระเป๋าและจับยึดที่สนามบินไปแล้วเกือบหมื่นเครื่อง ... ทำไม Prabowo Subianto ถึงเอาจริง?

ประธานาธิบดีคนก่อน Joko Widodo พบกับ Tim Cook หลายต่อหลายครั้งและได้พูดคุยกันในประเด็นการลงทุนในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตและกำลังจะกลายไปเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกในไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมประชากรสองร้อยกว่าล้านคนที่อายุเฉลี่ยค่อนข้างน้อย ... อินโดนีเซียต้องการที่จะเป็นประเทศ "ต้นทาง" ของการผลิตเทคโนโลยีเพราะพวกเขามีแหล่งนิกเกิลปริมาณมากที่สุดในโลกอยู่ในมือ ... การผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายต้องใช้ Nickle เป็นส่วนประกอบสำคัญ ... วิโดโดจึงประกาศห้ามส่งออกแร่นิกเกิล เพื่อกดดันให้เกิดการลงทุนในอินโดนีเซียเท่านั้น

ด้วยเหตุแหล่งสำรองของนิกเกิลและการห้ามส่งออกแร่ ทำให้ผู้ผลิตของจีนรีบตกลงมาลงทุนทันที, ออสเตรเลียก็มา, แม้กระทั่งเกาหลีและญี่ปุ่น ต่างก็เข้ามาลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน (ผมเขียนเอาไว้ปีที่แล้วว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ มากันหลายหมื่นล้านเหรียญ) ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอุตสาหกรรมต้นน้ำของสินค้ายุคใหม่ ... แอปเปิลก็เช่นกันครับ แอปเปิลตกลงกับวิโดโดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลงทุนสร้าง Developer Centre เพื่อพัฒนาทางเทคนิคให้กับอินโดนีเซีย ถึงตอนนี้พวกเขาก็มีถึง 4 แห่งในประเทศนี้ 

การลงทุนที่ตกลงเอาไว้ขนาด 100+ ล้านเหรียญก็ทำได้จริงราว 90% ถือว่าไม่แย่แต่ในรายละเอียดนั้นยังไม่มีโรงงานประกอบของแอปเปิลในอินโดนีเซีย, ยังไม่มีการ Committed ว่าจะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 40% ตามที่วิโดโดเคยขอเอาไว้ (แต่ทิมไม่ได้รับปากตรง ๆ ว่าจะทำ) การเอาประชากร 283 ล้านคนของพวกเขาที่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ 354 ล้านเครื่องมาเป็นเดิมพันให้แอปเปิลต้องคิดก็ถือว่า Make Sense ครับ 

จากทุกมุมมอง พวกเขากำลังจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกในไม่ช้า และจะเป็นประเทศที่มีอิทธิพลอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยขนาดและจำนวน ... คู่แข่งสำคัญของพวกเขาอย่างมาเลเซียก็เล่นแรง ฉกเอาการลงทุนใหญ่ ๆ จากอินโดนีเซียและสิงคโปร์ไปหลายดีลแล้ว ... พวกเขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป

มหาเศรษฐีอินเดีย ‘ราตัน ทาทา’ ยกมรดกมหาศาลให้สุนัขตัวโปรด

(30 ต.ค. 67) นาย Ratan Tata นักอุตสาหกรรมชาวอินเดียได้ยกมรดกมูลค่า 91 ล้านปอนด์ให้กับสุนัขของเขาในพินัยกรรม โดยขอให้สุนัขตัวโปรดของเขาได้รับ 'การดูแลอย่างไม่จำกัด' หลังจากที่เขาเสียชีวิต

นาย Tata ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เปลี่ยน Tata Group ให้กลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในมุมไบเมื่อต้นเดือนนี้ด้วยวัย 86 ปีตามธรรมเนียมในอินเดีย นักธุรกิจที่ไม่เคยแต่งงานหรือมีบุตรคนนี้จะยกมรดกซึ่งมีมูลค่าประมาณ 91 ล้านปอนด์ให้กับพี่น้องของเขา

แต่ประธานคนก่อนของ Tata Group กลับมองข้ามพี่ชายของเขา Jimmy Tata และน้องสาวต่างมารดา Shireen และ Deanna Jejeebhoy เพื่อมอบสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดที่เขารัก Tito ให้กับแทน

ตามรายงานของ Times นาย Tata กล่าวว่าสุนัขของเขา Konar Subbiah พ่อบ้านและผู้ช่วยทั่วไปของเขา และ Rajan Shaw พ่อครัวของเขา ควรได้รับส่วนแบ่งจากมรดกของเขาเป็นจำนวนมาก พี่น้องของเขาจะได้รับมรดกเพียงส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของเขาเท่านั้น

ในอินเดีย เป็นเรื่องยากที่สัตว์เลี้ยงและคนรับใช้จะได้รับเงินจำนวนมากขนาดนี้ โดยส่วนใหญ่ทรัพย์สินมักจะเก็บไว้ภายในครอบครัว

ในพินัยกรรม นายทาทา ระบุว่าควรมีการเตรียมการเพื่อ 'ดูแลสัตว์เลี้ยงสุดที่รักของเขาอย่างไม่จำกัด' ซึ่งอยู่เคียงข้างเขาจนกระทั่งเขาเสียชีวิต

สอดคล้องกับความรักสัตว์ตลอดชีวิตของนายทาทา โดยพนักงานเฝ้าประตูที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มทาทาได้รับคำสั่งห้ามปฏิเสธสัตว์จรจัด

ตามคำบอกเล่าของ Suhel Seth เพื่อนสนิทของ Tata เงินจำนวนที่ทิ้งไว้ให้กับพ่อบ้านและพ่อครัวคนเก่าของ Tata ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่มีอายุ 50 ปีและดูแล Tito นั้นถือเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร

"เขาได้เตรียมการไว้ให้พวกเขาอย่างมากมายมหาศาล" เขากล่าวกับ The Times "พวกเขาจะไม่ต้องทำงานอีกต่อไป และพวกเขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี" เขากล่าวเสริมว่าคำสั่งดังกล่าวไม่น่าแปลกใจสำหรับผู้ที่รู้จักนายทาทาเป็นอย่างดี โดยกล่าวว่า "พินัยกรรมนี้ไม่ใช่คำประกาศทรัพย์สิน แต่เป็น "ท่าทางแสดงความขอบคุณสำหรับความสุขและความเอาใจใส่" ที่เขาได้รับจากสัตว์เลี้ยงและผู้ช่วยที่ใกล้ชิดสองคนของเขา

เมื่อต้นเดือนนี้ บรรดาผู้แสดงความอาลัยหลั่งไหลเข้ามา หลังจากมีการประกาศการเสียชีวิตของนายทาทา

นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี เรียกทาทาว่า "ผู้นำทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ จิตวิญญาณที่มีความเมตตากรุณา และเป็นมนุษย์ที่ไม่ธรรมดา"

ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google กล่าวว่า ราตัน ทาทา ได้ทิ้งมรดกทางธุรกิจและการกุศลที่ไม่ธรรมดาไว้เบื้องหลัง และเขามีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาและพัฒนาความเป็นผู้นำทางธุรกิจสมัยใหม่ในอินเดีย

"ในการประชุมครั้งล่าสุดของผมกับราตัน ทาทา ที่ Google เราได้พูดคุยเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ Waymo และวิสัยทัศน์ของเขาเป็นแรงบันดาลใจในการรับฟัง" พิชัยกล่าวบน X

"เขาใส่ใจอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศอินเดียดีขึ้น" นายทาทาเกิดเมื่อปี 1937 ที่เมืองบอมเบย์ ซึ่งปัจจุบันคือเมืองมุมไบ เดิมทีเขาตั้งใจจะเป็นสถาปนิกและทำงานในสหรัฐอเมริกา แต่คุณยายของเขาซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเขามา ขอให้เขากลับบ้านและเข้าร่วมธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่โต

เขาเริ่มต้นธุรกิจในปี 1962 ที่ TISCO ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Tata โดยพักในโฮสเทลสำหรับลูกมือและทำงานในพื้นที่ปฏิบัติงานใกล้กับเตาเผา

ในปี 1991 เขาเข้ามาบริหารอาณาจักรของครอบครัว โดยอาศัยกระแสการปฏิรูปตลาดเสรีสุดโต่งที่อินเดียเพิ่งประกาศใช้ในปีนั้น

นายทาทาดำรงตำแหน่งผู้นำมาเป็นเวลา 21 ปี โดยกลุ่มบริษัทที่ขายเกลือและเหล็กแห่งนี้ได้ขยายฐานการดำเนินงานไปทั่วโลกจนรวมถึงแบรนด์หรูของอังกฤษ เช่น Jaguar และ Land Rover

เจ้าพ่อรายนี้ก้าวลงจากตำแหน่งประธานในปี 2012 ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งประธานชั่วคราวในเดือนตุลาคม 2016 หลังจากไซรัส มิสทรี ผู้สืบทอดตำแหน่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง ปัจจุบัน Tata Group เป็นบริษัทในเครือที่ประกอบด้วยบริษัทต่าง ๆ เกือบ 100 แห่ง รวมถึงผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ บริษัทเหล็กเอกชนรายใหญ่ที่สุด และบริษัทเอาท์ซอร์สชั้นนำ

Tata Group มีพนักงานทั่วโลกมากกว่า 350,000 คน ในเดือนมิถุนายน 2008 Tata ได้ซื้อ Jaguar และ Land Rover จาก Ford ในราคา 2.3 พันล้านดอลลาร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top