Friday, 13 June 2025
ค้นหา พบ 48772 ที่เกี่ยวข้อง

‘นักต้มตุ๋น’ ยุคใหม่ส่วนใหญ่ล้วนผ่าน ‘การทำศัลยกรรม’ หวังหลอกเหยื่อผ่านรูปลักษณ์ แต่ซุกไว้ด้วยจิตใจไม่รู้จักพอ!!

(15 ต.ค. 67) ทำไม นักหลอกลวง นักต้มตุ๋น นักอวดรวย ที่เป็นคนไทย แทบจะ 100% มักเป็นคนที่เสพติดการทำศัลยกรรมใบหน้า?

บทความนี้ไม่ได้จะบอกว่าทุกคนที่ทำศัลยกรรมใบหน้าเป็นคนไม่ดี แต่ตามประสบการณ์ที่พบเห็นมาหลายคดีความที่เกี่ยวกับการหลอกลวง, การต้มตุ๋น, แชร์ลูกโซ่, Forex-3D, แม่ค้าออนไลน์ขายทอง, ขายครีม, ขายกระเป๋าแบรนด์เนม หรือแม้แต่การหลอกลวงให้นำเงินมาลงทุน ไม่ว่า “นักฉ้อโกงระดับหัวหน้า” จะเป็นชาย หรือหญิง ก็มักจะทำศัลยกรรมใบหน้ามาอย่างโชกโชนทุกคน

เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่โจรมักจะ “เกลียดใบหน้าเดิมของตัวเอง” ตรงกัน หรือเพราะการทำศัลยกรรมใบหน้าสามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดีในสังคม เพื่อที่จะมีมากกว่าคนอื่น จนสามารถไปยืนในจุดที่มีผู้คนยอมรับ โดยไม่สนว่าจะได้รับความร่ำรวยมาด้วยวิธีการใด?! 

คนที่เกลียดความเป็นจริงของตัวเอง โดยเริ่มจากใบหน้า สรีระร่างกาย ฐานะความเป็นอยู่ หรือสังคมแวดล้อม ก็ย่อมจะหาทางหนีให้ห่าง และพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างชีวิตใหม่ เพื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คน

ไม่ผิด ที่คนเราจะมีความทะเยอทะยานมุ่งหวังให้ชีวิตของตนเองสุขสบาย แต่ควรต้องอยู่ในกรอบของความดีงาม ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร และต้องไม่ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยเลือกเส้นทางอาชญากร หรือเป็น “นักหลอกต้มสังคม” ที่คิดแสวงหาเงินทอง ความมั่งคั่ง ด้วยวิธีที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

แต่คนที่เลือกทางลัด นิยมทางเร็ว เกลียดทางเก่า และเมินโลกสังคมที่ดูไม่โสภาของตัวเอง มักจะไม่กลัวความเจ็บปวดใด ๆ ในชีวิต เพราะชินชาที่ต้องพบเจออยู่ทุกวันอยู่แล้ว มีดหมอ เข็มแหลมคม จะผ่า หรือฉีด ร้อย ถัก เย็บ ให้ต้องเจ็บสักกี่ครั้งก็คือเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบใหม่หลังลืมตาตื่นดูจากบนเตียงศัลยกรรมนั้นคือสิ่งที่จูงใจ และรอคอยมากกว่า 

การกล้าหาญที่จะหนีจาก “ใบหน้าเดิม” ที่เห็นตัวเองในกระจกมาทั้งชีวิต อาจถือได้ว่าเป็นความมุ่งมั่นเกินคนปกติในแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่บทสรุปว่าคนๆ นั้น ต้องกล้าทำในสิ่งที่ชั่วช้าสามานย์ต่อมา ส่วนประเด็นที่ว่าแล้วทำไมทุกครั้งที่มีข่าว “โจรหลอกต้มผู้คน” ตามสื่อช่องต่าง ๆ โจรมักจะ “ศัลยกรรมใบหน้า” แทบทุกรายนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าแม้ทุกคนที่ศัลยกรรมหน้าอาจจะไม่ใช่โจร แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องระมัดระวัง 

ศัลยกรรมคือเครื่องหมายของความทะเยอทะยาน เจอคนดี ชีวิตก็ดี เจอคนผิด ชีวิตอาจพังทลาย 

‘ว.วชิรเมธี’ แจง คลิปที่ไวรัลแค่ตัดมาบางช่วง ยืนยันสงฆ์ทุกรูปไปเทศน์ด้วยใจสุจริต-โปร่งใส

(15 ต.ค. 67) พระเมธีวชิโรดม หรือที่รู้จักในนาม ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์-นักเขียนชื่อดัง ได้ชี้แจงกรณีปรากฏวิดีโอการเทศน์ที่ The iCon ผ่านทางเฟซบุ๊ก ว่า

“ประกาศขออภัย และทำความเข้าใจให้ตรงกับความจริง“

1.หลังจากติดตามสถานการณ์ของบริษัท ดิไอคอน อย่างใกล้ชิด 
ก็เข้าใจว่า น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลหลายแง่มุมดำรงอยู่จริง
ตามที่ผู้บริหารได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ล่าสุดใน The Standard
(14 ต.ค. 67) 

2.แต่ภาพใหญ่ก่อนหน้านั้น ที่บริษัท ทำธุรกิจอย่างเปิดเผย
โดยมีซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยมาร่วมเป็น
พรีเซนเตอร์หรือผู้บริหารด้วย จึงทำให้คนที่เห็นภาพและข่าว
เชื่อได้ว่า น่าจะมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน พระทุกรูปที่ได้รับ
นิมนต์ไปเทศน์ก็คงคิดเช่นนั้น 

3.ทุกเดือนทางบริษัทจะนิมนต์พระไปสอนธรรมะ และทำบุญ
ถวายสังฆทานเป็นประจำ ผู้เขียนเอง ก็เป็นเพียงหนึ่งในพระสงฆ์
ที่ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ไปสอน ต่างแต่ว่า ในการมานิมนต์
ผู้เขียนนั้นทีมผู้บริหารมานิมนต์ถึงวัดที่จังหวัดเชียงราย และ
มาร่วมถวายทุนการศึกษาด้วย (จึงมีภาพเยอะหน่อย)

4.ในการสอนเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนสอนเรื่อง “หัวใจเศรษฐี”
หรือกุญแจสู่ความสำเร็จตามหลัก “ทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์” 
ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน (1.ขยันหา-2.รักษาดี-
3.มีกัลยาณมิตร-4.ใช้ชีวิตสมดุล) โดยสอนผ่าน 3 วลีสำคัญคือ 
“อดทนให้ได้ ใจเย็นให้พอ และรอให้เป็น” ใช้เวลาบรรยายถึง 1 ชั่วโมง
12 นาที (ไม่ใช่อย่างที่ตัดมาบางส่วน) 

ระหว่างที่บรรยายให้รู้จักสร้างเนื้อสร้างตัวตามแนวพุทธ
ด้วยความอดทน ใจเย็น ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้เขียนจึง ”แซว“ หรือ 
”ประชดแดกดัน“ คนที่มาฟังทั้งห้องประชุมว่า ถ้า ”อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ 
และรอไม่เป็น“ จะเอาให้รวยทันใจเลย…เช่นนั้นแล้ว ก็แซวว่า 
“ลูกเอ๋ย ทำอย่างนั้นก็ดิไอคอนแล้ว…” ซึ่งทุกคนที่นั่งฟังก็หัวเราะ 
เข้าใจ, คำพูดที่ (ใครก็ไม่รู้) ตัดมาเป็นคลิปนั้น

โดยบริบทเป็นเพียงคำพูดหยิกแกมหยอกธรรมดาตามประสานักพูดทั่วไป
ที่อยากให้มีอารมณ์ขันเท่านั้น เป็นการแซะ การแซว ไม่ได้มีนัยจริงจัง ซีเรียส 
ถึงขั้นที่จะเอามาปั่นว่าพระมีส่วนร่วมทางธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น คนฟังทุกคนในห้อง 
ฟังแล้วก็เข้าใจ ขำๆ ฮาๆ จบแล้ว ถวายสังฆทาน กลับบ้าน มีแค่นั้น (ที่สำคัญ
Case study ที่ยกมาเล่าก็เป็นเรื่องราวก่อนโควิด ไม่เกี่ยวอะไรกับดิไอคอน)

5.ผู้เขียนเรียนธรรมะมาจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย
คือเปรียญธรรม 9 ประโยค,ดังนั้น ในการเทศน์การสอน จึงเน้นแต่ข้ออรรถ
ข้อธรรมที่มีแก่นสาร แม้จะเทศน์ด้วยภาษา ตัวอย่างร่วมสมัย แต่ก็สามารถโยง
กลับไปหาพระไตรปิฎกได้เสมอ ไม่ได้สอนแบบมั่วๆ อย่างที่ตัดมาให้คนด่า 
หรือให้คนเข้าใจผิด เรื่องนี้ ปัญญาชนที่ติดตามผู้เขียนมาตลอด
ย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว

6.แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อบางส่วนของการเทศน์การสอน ก่อให้เกิดความ
เข้าใจผิดออกไปในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง เพราะคลิปที่ตัดมาไม่ครบ
ถ้วนกระบวนความ ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ยินดีขออภัยจากใจจริงมา ณ ที่นี้ด้วย 
ที่อย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ต่อไปก็จะสำรวม
ระวังไม่ให้มีความพลาดพลั้งเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขอบพระคุณทุกคนที่เตือนมา
ด้วยความรักและห่วงใย 

7.ขอย้ำตรงนี้ว่า พระทุกรูปที่เคยไปเทศน์ไปสอนที่บริษัท ทุกรูป
ไปด้วยใจสุจริตในฐานะพระที่ได้รับนิมนต์ไปสอนไปฉันเท่านั้น ไม่มีรูปไหน
เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทเชิงธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องเช่นนี้เพียงใช้
Common Sense ก็น่าจะเข้าใจได้ ไม่ควรพยายามลากไปให้เห็นเป็นว่า 
มีพระเข้าไปวุ่นวายอยู่ในธุรกิจ ผู้เขียนจึงขอทำความเข้าใจให้ตรงกัน
ด้วยใจที่เป็นธรรม รักความจริง และหวังความสุขความเจริญต่อกัน

ว.วชิรเมธี, 
(ในนามตัวแทนของพระสงฆ์
ที่เคยไปสอนที่บริษัทดิไอคอน)
14 ต.ค. 67

บอร์ด EEC เห็นชอบ แก้สัญญารถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน เตรียมเสนอ ครม. ปลดล็อกพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาคตะวันออก

(15 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2567 วันที่ 11 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นเลขานุการการประชุมฯ ทั้งนี้ กพอ. ได้พิจารณาและมีมติในเรื่องสำคัญ ดังนี้

1.เห็นชอบหลักการการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยการปรับปรุงสัญญาร่วมลงทุนเพื่อผลักดันให้โครงการฯ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ บนพื้นฐานที่ภาครัฐไม่เสียประโยชน์ และภาคเอกชนไม่ได้ประโยชน์เกินสมควร โดยจะเสนอการแก้ไขสัญญาต่อ ครม. เพื่อพิจารณาใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย

1)วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิม เมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ รัฐจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 149,650 ล้านบาท เป็น จ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท โดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของภาครัฐ (รฟท.) ทันทีตามงวดของการจ่ายเงิน

2)กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก
ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้ เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร ในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ รฟท. ต้องรับภาระ

3)กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป

4)การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ รฟท. สามารถออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมดนี้

5)การป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ โดยปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น

ที่ประชุม กพอ. มีมติให้ สกพอ. ดำเนินการนำเสนอหลักการแก้ไขปัญหาโครงการฯ ใน 5 ประเด็นดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบการทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 และให้คู่สัญญาร่วมกันเจรจาร่างสัญญาแก้ไข และเสนอต่อคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ พิจารณา และนำส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนนำเสนอ กพอ. และ ครม. เพื่อให้ ครม. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาอีกครั้ง ก่อนคู่สัญญาจะลงนามในสัญญาฉบับแก้ไขต่อไป

2. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา จากการที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้ไม่สามารถเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul : MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภาได้ และ สกพอ. เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และการยกระดับขีดความสามารถในการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพของช่างอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และจำเป็นต้องขับเคลื่อนการดำเนินโครงการต่อไปให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป กพอ. ได้มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการ โดยให้ยกเลิกการเป็นโครงการร่วมลงทุนตามที่ ครม. อนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 และให้ สกพอ. ดำเนินการจัดหาผู้เช่าที่ดินราชพัสดุในเขตส่งเสริม : เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เพื่อดำเนินกิจกรรมศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 และ ระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การเช่าที่ดินราชพัสดุที่ประกาศเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2562 ต่อไป โดย สกพอ. จะนำเสนอให้ ครม. รับทราบมติ กพอ. ดังกล่าว และพิจารณายกเลิกมติ ครม. วันที่ 30 ตุลาคม 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

2.รับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 4 โครงการใหญ่ และการชักชวนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัล ยานยนต์สมัยใหม่ เศรษฐกิจ BCG และบริการ โดยในช่วงตั้งแต่มกราคม 2566 ถึงกันยายน 2567 สกพอ. ได้ดำเนินการชักชวนนักลงทุน 139 ราย โดยมีนักลงทุนที่สนใจการลงทุนใน 5 กลุ่มคลัสเตอร์ดังกล่าวและได้ทำหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) รวม 35 ราย จำนวน 36 โครงการ มีการยื่นข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอีอีซีแล้ว จำนวน 12 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 135,000 ล้านบาท

ย้อนตำนาน ‘สนามติณสูลานนท์’ จ.สงขลา สนามแห่งความประทับใจของคนไทยทั้งชาติ

(15 ต.ค. 67) ค่ำวานนี้คนไทยทุกคนคงมีความสุขใจไปกับผลการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน หรือ คิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ที่ทีมชาติไทยสามารถคว้าถ้วยพระราชทานมาไว้ในมือได้ อีกทั้งตัวผู้เล่นที่เฮดโค้ชทีมชาติไทยจัดลงสนามต่างโชว์ความสามารถได้อย่างเต็มที่

อีกทั้งยังเชื่อมโยงเอา 2 ยุคสมัยที่แสดงสัญญะผ่าน ‘พลุ’ และ ‘โครน’ ที่แปรขบวนน้อมรำลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยิ่งสร้างความอิ่มเอมใจให้กับคนไทยทั้งชาติอีกไม่น้อย ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่ ‘สนามติณสูลานนท์’ สนามที่สร้างความประทับใจทั้งหมดนี้

The States Times จะพาทุกท่านย้อนถึงตำนานของสนามติณสูลานนท์ สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้

สนามกีฬาติณสูลานนท์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา มีความจุประมาณ 35,000 ที่นั่ง สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมกีฬาของจังหวัดและใช้จัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติและนานาชาติ

สนามกีฬาติณสูลานนท์ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2530 ในสมัยที่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวสงขลาให้ความเคารพและนับถือ ได้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย สนามกีฬานี้ถูกตั้งชื่อตามท่านเพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึงคุณูปการของท่านต่อจังหวัดสงขลาและประเทศไทย

นายนิพนธ์ บุญญามณี ในขณะดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาได้ขอรับการถ่ายโอนสนามกีฬาติณสูลานนท์จากการกีฬาแห่งประเทศไทย มาเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาและได้สานต่อการปรับปรุงและพัฒนาสนามกีฬาติณสูลานนท์อย่างเป็นรูปธรรมในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.) โดยการปรับปรุงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2558 เพื่อให้สนามกีฬาได้มาตรฐานและสามารถรองรับการแข่งขันระดับประเทศและนานาชาติได้อย่างเต็มที่

การปรับปรุงสนามกีฬาครั้งนี้ใช้งบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.) และการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีงบประมาณรวมในการพัฒนาสนามอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน, ที่นั่งผู้ชม, ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันกีฬาในระดับสากล

ด้วยความมุ่งมั่นให้สนามกีฬาติณสูลานนท์เป็นสนามกีฬาที่มีมาตรฐานสากล พร้อมรองรับการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ เช่น การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ, การแข่งขันฟุตบอลไทยลีก และกิจกรรมกีฬาอื่น ๆ ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้จังหวัดสงขลากลายเป็นศูนย์กลางด้านกีฬาของภาคใต้

และค่ำวานนี้คือบทพิสูจน์ที่สำคัญครั้งหนึ่งของ ‘สนามติณสูลานนท์’

การเลือกตั้งที่แพ้ไม่ได้!!

เปิดที่มายอดระดมทุนระดับ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทุ่มลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 คาดพายุหมุนทางเศรษฐกิจทุ่มลงโฆษณาดิจิทัล ชิงพื้นที่สมรภูมิสื่อออนไลน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top