Saturday, 10 May 2025
ค้นหา พบ 47984 ที่เกี่ยวข้อง

ทีเส็บ จัดโรดโชว์โครงการ ‘ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย’

เปิดประตูสู่ภาคเหนือ เยือนเชียงใหม่สร้างความมั่นใจ จัดกิจกรรมไมซ์ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย
 

‘ทีเส็บ’ เปิดตัวโครงการ “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” ให้งบสนับสนุนองค์กร จัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลภายในประเทศจำนวน 1,000 กลุ่ม หวังสร้างรายได้กว่า 100 ล้านบาท จัดโรดโชว์ปลายทางเมืองไมซ์ซิตี้ทั่วประเทศ กระตุ้นตลาดไมซ์ในประเทศ ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่

คุณสุวัชชัย นิมมานเทวินทร์ ผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคกลาง กล่าวว่า “ทีเส็บได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศขององค์กรต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 และในปี 2566 นี้ ทีเส็บได้เดินหน้าให้การสนับสนุนต่อภายใต้ชื่อโครงการ “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” เพื่อเร่งกระตุ้นนักเดินทางไมซ์และสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยใช้กลไกการสนับสนุนเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการจัดงานไมซ์ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งยังเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ทุกภูมิภาคอีกด้วย พร้อมกันนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไมซ์ ชุมชน รวมถึงธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ได้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ ก่อเกิดเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยจัดกิจกรรมโรดโชว์ประชาสัมพันธ์โครงการทั่วประเทศ

สำหรับกิจกรรมโรดโชว์ในภาคเหนือตอนบนจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เมืองไมซ์ซิตี้ชั้นนำระดับประเทศ และได้รับยกย่องให้เป็นเมืองเทศกาลโลก World Festival and Event City ประจำปี 2022 ซึ่งเป็นการยืนยันความมีเสน่ห์ของเชียงใหม่ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว การประชุม และงานเทศกาลในระดับนานาชาติ เชียงใหม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และแหล่งท่องเที่ยวชุมชน มีความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมล้านนา ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมากในแต่ละปี และยังเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางของการประชุมระดับภูมิภาคด้วย เชียงใหม่จึงมีศักยภาพและความพร้อมในทุกด้านที่ผู้ประกอบการสามารถเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานไมซ์ได้อย่างดีเยี่ยม” คุณสุวัชชัยกล่าว

ภายในงานโรดโชว์ได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานเปิดงาน และมีกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การเสวนาในหัวข้อ “กระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยกิจกรรมประชุมไมซ์ในประเทศ” ทำความรู้จักโครงการประชุมเมืองไทยฯ และแพลตฟอร์ม Thai MICE Connect โดย คุณศุภาดา ชัยวงษ์  ผู้แทนการตลาด

สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคเหนือ และ คุณนราศักดิ์ ม่วงแก้ว ผู้จัดการส่วนงาน MICE Innovation นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เพิ่มโอกาสการขายลูกค้ากลุ่มธุรกิจบนโลกการตลาดออนไลน์ (B2B Digital Marketing Talk)”  โดย คุณชวัลวิทย์ รักษพล ผู้ก่อตั้ง M Creation Agency และมี Thai MICE Connect: Exclusive Clinic คลินิกให้คำปรึกษาการใช้งาน Thai MICE Connect แบบตัวต่อตัวอีกด้วย

โครงการ “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” เป็นโครงการสนับสนุนด้านงบประมาณการ   จัดงานไมซ์ให้แก่ผู้ประกอบการและนิติบุคคลตามกฎหมายที่มีแผนการจัดกิจกรรมไมซ์อย่างใดอย่างหนึ่งใน 7 ประเภท ได้แก่ กิจกรรมการประชุม (Meetings) กิจกรรมการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) กิจกรรมสัมมนา (Seminars) กิจกรรมการอบรม (Training) กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) กิจกรรมพนักงานสัมพันธ์ (Outing) และกิจกรรมศึกษาดูงาน (Field trip) โดยมีเงื่อนไขการสนับสนุน 2 รูปแบบ คือ 1.งบสนับสนุน     ไม่เกิน 15,000 บาท สำหรับการจัดกิจกรรมเป็นระยะเวลา 1 วัน (ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง) และ 2. งบสนับสนุนไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับการจัดกิจกรรมอย่างน้อย 2 วัน 1 คืน โดยขอรับการสนับสนุนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 22 สิงหาคม 2566

'มิ่งขวัญ' คลอดนโยบายแก๊สประชาชน 250 บาท/ถัง  เชื่อ 'บิ๊กป้อม' ไฟเขียว ตรึง 1 ปี ใช้งบ2.4 หมื่นลบ.

(27 มี.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่ปรึกษาคณะทำงานฝ่ายจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าว ‘นโยบายลดราคาแก๊สประชาชน’ ว่า การแถลงเรื่องนี้เพราะเห็นว่าทุกภาคส่วนเดือดร้อน จากอัตราค่าเงินเฟ้อสูง โดยเฉพาะราคาแก๊สครัวเรือน นับจากวันที่ 15 ธ.ค.2557คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ยกเลิกการคุมราคาแก๊ส ที่กำหนดไว้ 10 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) กำหนดราคาใหม่ จึงเป็นปฐมเหตุของปัญหา เพราะเมื่อยกเลิกราคาแก๊ส ราคาต้องลอยตัวขึ้นมา 

ต่อมาวันที่ 7 ม.ค. กบง. ให้ปรับราคาจาก10 บาท เป็น 15 บาท เริ่มมีผลวันที่ 2 ก.พ.2558 และใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุนคุมราคาปลายทาง จากนั้นวันที่ 31 ก.ค.60 กบง.เปิดเสรีธุรกิจแก๊ส แอลพีจีเต็มรูปแบบ ตั้งแต่เดือนส.ค.60 จึงทำให้ราคาต้นทางขึ้นไม่หยุด มาถึงเดือนเม.ย.-ก.ย. 65  กองทุนน้ำมันติดลบ 124,602 ล้านบาท และรัฐบาลปรับขึ้นราคาแก๊สหุงต้ม 1 บาททุกเดือน หรือ 15 บาทต่อถัง ซึ่งการปล่อยอย่างนี้จะทำทุกอย่างเดือดร้อนหมด

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ต่อมาวันที่ 16 ส.ค.2565 สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กู้เงิน 150,000 ล้านบาท ไปโปะหนี้สาธารณะ ทำให้ประชาชนต้องแบกรับ ต่อมาวันที่ 1 มี.ค.66 รัฐบาลปล่อยให้ราคาแก๊สขึ้นเป็น423 บาทต่อถัง แต่พอใกล้จะยุบสภาเลือกตั้งจึงคิดได้ว่าหากปล่อยขึ้น คะแนนหาย จึงประกาศตรึงราคาแก๊สที่ 423 บาท ไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.66 เพราะเลือกตั้งจบแล้ว แต่ถ้ารัฐบาลปัจจุบันไม่ถูกเลือกเข้ามา หรือเปลี่ยนรูปแบบการบริหาร ภาระจะไปตกที่รัฐบาลใหม่ทันที

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ราคาขายปลีกแอลพีจีในเดือนเม.ย.65 ราคา 333 บาท มีการขึ้นมาต่อเนื่อง ตรึงราคาไว้จนถึง 423 บาท และหลังเลือกตั้ง จะตรึงราคาอีกครั้ง ถ้าหลังจากนี้เหตุการณ์ทางการเมือง ไม่ทราบว่าเกิดอะไร และหากปล่อยให้ลอยตัวไปเช่นนี้ จนถึงสิ้นปีนี้ ราคาอาจไปถึง 513 บาทต่อถัง จะทำให้หลังเลือกตั้งคนจะเดือดร้อน รวมถึงคนค้าขาย อาหาร น้ำมัน ทุกอย่างเดือดร้อนหมด

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เราจะรื้อและปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อให้ครัวเรือนพ้นบ่วงกรรม ให้คนไทยได้รับความเป็นธรรมและโปร่งใส โดยใช้งบของรัฐให้ถูกทาง เพราะคนไทยเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน ดังนั้นควรตอบแทนให้คนไทยอยู่ดีกินดี ดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยเราจะลดราคา 173 บาท จาก 423 บาท เหลือ 250 บาท โดยระยะเวลาอุดหนุน 1 ปี ที่ 11.53 บาทต่อแก๊ส 1 กก. ซึ่งจะใช้งบประมาณทั้งหมด 24,000 ล้านบาท โดยเงินอุดหนุนที่จะนำมาใช้ดำเนินการได้จากเงินที่เปลี่ยนระบบสัญญาสัมปทาน เป็นระบบสัญญาแบ่งปัน ผลผลิต ทำให้ราคาแก๊สธรรมชาติที่ได้ ปรับราคาลดลง จาก 279 - 324 ต่อล้านบีทียู เหลือ 172 บาท ต่อล้านบีทียู ทำให้รายส่วนนี้กลับสู่ภาครัฐ 

ทั้งนี้เมื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนต่อไป เชื่อว่านโยบายนี้จะได้รับไฟเขียว เพราะพล.อ.ประวิตร ต้องการช่วยเหลือปากท้องของประชาชน และเชื่อว่าเรื่องราคาน้ำมันจะอยู่ในวาระต้นของการประชุมคณะรัฐมนตรี และเรื่องราคาแก๊สเป็นเรื่องเร่งด่วน

‘ปชป.’ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคเหนือ ครบ 68 เขต มั่นใจ!! ได้เก้าอี้มากกว่าครั้งก่อน ย้ำ!! พร้อมรับใช้ ปชช.

(27 มี.ค.66) น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย พร้อมด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค ดูแลภาคเหนือ ได้เปิดตัวว่าผู้สมัคร ส.ส. ที่เหลือ 12 เขต และบัญชีรายชื่ออีก 3 คน

โดยนายนราพัฒน์ได้แนะนำว่าที่ผู้สมัครคือ 
จ.พิษณุโลก 
น.ส.ปุญชรัสมิ์ ศิริสวัสดิ์ เขต 2 
นายวิมล สารมะโน เขต 3 
นายพลิ้ง บุญแสงสวัสดิ์ เขต 5  

จ.เชียงราย 
นายไอใจ ปู่หมื่อ เขต 1 (เป็นกลุ่มชนชาติพันธุ์)
นายนิกร จันทร์หอม เขต 2 
นายหาญ ดอนลาว เขต 3 
นายปิยะวัฒน์ ปิยะวัฒน์หิรัณย์ เขต 7  

จ.แพร่ 
นายสุรกิจ ศิริวาท เขต 1         
นายวิโรจน์ ยิงช้าง เขต 2
นายมงคล ภัทรทิพย์มงคล เขต 3  

จ.ตาก 
น.ส.ถนอมจิต แสงงาม เขต 2 (ลงสมัครแทนนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ อดีต ส.ส.ตาก ปชป. ที่ประกาศไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้)

จ.น่าน 
นายเรืองเดช จอมเมือง เขต 3 (ซึ่งเป็น ส.อ.จ.น่านเขต 1 และยังเป็นผู้ร่วมจัดตั้งมูลนิธิกลุ่มฮักเมืองน่าน)

ส่วนผู้สมัคร ส.ส.บัญชีราย คือ
1.นายณัฐชา ลิขิตกิตวรกุล  
2. นายพิศณุพงศ์ สิทธิโชคแก้วมูล
3. นายฉัตรณพัฒน์ เทียนมงคล

กกต. พร้อมอำนวยความสะดวกกลุ่มเปราะบาง  ทั้ง ‘คนพิการ-ทุพพลภาพ-ผู้สูงอายุ’ ใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.

กกต. พร้อมอำนวยความสะดวกคนพิการ-ทุพพลภาพ-ผู้สูงอายุ ใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. พร้อมอบรม จนท.ให้มีความรู้ความเข้าใจ ย้ำตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เสมอภาค

( 27 มี.ค.66 )สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้น กกต.คำนึงถึงสิทธิในการเลือกตั้งของคนพิการทุพพลภาพและผู้สูงอายุ ตามที่มาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 บัญญัติไว้ จึงจะได้จัดให้มีการอำนวยความสะดวกสําหรับการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการ หรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุไว้เป็นพิเศษ โดยการจัดวางคูหาออกเสียงลงคะแนนในที่เลือกตั้ง จะอยู่ห่างจากคูหาอื่นอย่างน้อย 1.50 เมตร โต๊ะวางคูหาออกเสียงลงคะแนนมีความสูงไม่เกิน 0.75 เมตร และจัดเก้าอี้ไว้ในคูหาออกเสียงลงคะแนนด้วย ส่วนคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) จะคำนึงถึงลักษณะทางกายภาพของคนพิการ ทุพพลภาพ และผู้สูงอายุ หากไม่สามารถทำเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งได้ ให้กปน. หรือญาติหรือบุคคลที่ไว้วางใจ เป็นผู้ทำเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งแทน โดยความยินยอมและเป็นไปตามเจตนาของคนพิการ หรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุนั้น โดยกปน.จะบันทึกการกระทำดังกล่าวลงในรายงานเหตุการณ์ประจำที่เลือกตั้ง (ส.ส. 5/6) และให้ถือว่าเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ

‘เท่าพิภพ’ ค้านฟ้องแอดมิน ‘ประชาชนเบียร์’ ชี้!! กม.มีช่องโหว่ นายทุนทำได้ แต่ปชช. โดนคดี

‘ก้าวไกล’ ค้านฟ้องแอดมิน ‘ประชาชนเบียร์’ ชี้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ แทนที่จำกัดทุนใหญ่ กลับถูกใช้รังแกประชาชน-ผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมเดินหน้าแก้กฎหมายทันทีในสภาชุดหน้า

(27 มี.ค.66) เฟซบุ๊กเพจพรรคก้าวไกลโพสต์แสดงจุดยืนคัดค้าน กรณีที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แจ้งข้อกล่าวหาธนากร ท้วมเสงี่ยม หรือแอดมินเพจ ‘ประชาชนเบียร์’ ในคดีควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาตรา 32 จากการโพสต์ถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 15 กรรม 15 โพสต์ ระวางโทษปรับ 50,000-500,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี ไม่รวมค่าปรับระหว่างวันที่ไม่แก้ไขโพสต์อีกหลายหมื่นบาทต่อวัน

โดยระบุว่า การฟ้องร้องคดีกับประชาชนดังกล่าว เป็นการใช้กฎหมายที่ขัดเจตนารมณ์ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน และแทนที่จะเป็นการจำกัดการโฆษณาของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กลับกลายเป็นการใช้กฎหมายเพื่อรังแกประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย

พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ที่ห้ามโฆษณาทั้งทางตรงเเละทางอ้อม อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ มีปัญหาในการตีความที่ผู้ใช้กฏหมายกระทำเกินกว่าขอบเขตเป็นอย่างมาก เช่น การจับกุมผู้โพสต์แก้วเบียร์ในเฟซบุ๊ก ทั้งที่เจ้าพนักงานผู้ฟ้องคดีไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ผู้นั้นรับเงินค่าโฆษณาหรือไม่

ในขณะที่กฎหมายนี้ถูกใช้ดำเนินคดีกับประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อเป็นกรณีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กลับสามารถอาศัยช่องโหว่ ด้วยการยิงโฆษณามาจากต่างประเทศ ตามข้อยกเว้นในวรรค 3 ที่ระบุยกเว้นการโฆษณาที่มีต้นกำเนิดนอกอาณาจักร ทำให้การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของรายใหญ่ ยิงจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยทำได้ แต่ผู้ประกอบการรายเล็ก แค่โพสต์ข้อความถึงกลับถูกดำเนินคดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top