Saturday, 10 May 2025
ค้นหา พบ 47981 ที่เกี่ยวข้อง

ประชาสังคมจังหวัดปราจีนบุรี ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี กรณี 'ซีเซียม-137' หลุด ลั่น!! บริษัทต้นเหตุ ต้องรับผิดชอบ

(23 มี.ค.66) ประชาสังคมจังหวัดปราจีนบุรี เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหา จากกรณี ซีเซียม-137 ซึ่งหลุดออกมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี อย่างเร่งด่วน โดยมีนายสมภาส นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับเรื่องแทนนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ข้อความในหนังสือของประชาสังคมจังหวัดปราจีนบุรี ระบุว่า กรณีวัสดุกัมมันตรังสี 'ซีเซียม-137' สูญหายจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ แพลนท์ 5 เอ จำกัด ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 304 อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี มีการแจ้งความเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 และมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนปราจีนเป็นอย่างมาก จากการที่มีข้อมูลมากมาย จากผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย จนไม่รู้จะเชื่อใครดี และหน่วยราชการที่ออกมาแถลงข่าวไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงและเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

ภาคประชาสังคมจังหวัดปราจีนบุรี เห็นว่ากรณีนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นผู้รับผิดชอบโดยลำพัง ทั้งในเรื่องการสื่อสาร การบริหารจัดการ องค์ความรู้ เทคโนโลยี จึงใคร่ขอเสนอดังนี้...

1. มีกรรมการในระดับชาติ โดยมีภาคประชาสังคมร่วมเป็นกรรมการ ภายใน 1 อาทิตย์ เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้น ต้องเร่งตรวจสอบการปนเปื้อน หาปริมาณรังสีและการกระจายตัว ระดมเครื่องมือและผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ มาช่วยและสรุปผลให้เร็วที่สุด เพื่อลดความสับสนของสังคม พร้อมมาตรการการดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้น มีมาตรการจัดการ ฝุ่นเหล็กและวัสดุต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนรังสีซีเซียม-137 ให้ปลอดภัยอย่างชัดเจน ว่าไปอยู่ไหน จนขั้นตอนสุดท้าย มีการติดตาม มีการรายงานอย่างโปร่งใส ทำให้ประชาชนมั่นใจ และต้องมีการสื่อสาร การให้ข้อมูลที่เป็นมืออาชีพ สร้างความมั่นใจให้ประชาชน บนพื้นฐานของความจริง ทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นและสาเหตุของการสูญหายโดย มีการระบุเวลาและเหตุการณ์ตลอดเส้นทางที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ส่วนในระยะยาว ต้องมีการติดตามผลกระทบในระยะยาว ทั้งทางด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อมและทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งมีมาตรการเยียวยาและฟื้นฟู มีการเปิดเผยรายงานต่อสาธารณะ ตลอดจนมีการเปิดเผยข้อมูล ชนิด จำนวน ความรุนแรง มาตรการการรับมือของวัสดุกัมมันตรังสี ที่มีในพื้นที่ทั้งหมดและมีมาตรการ โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการกำกับดูแลและการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกินขึ้นซ้ำ 

2. มีมาตรการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน เช่น การยกเลิกการรับซื้อสินค้าทางการเกษตร รายได้ที่หายไปของภาคการบริการและท่องเที่ยว โดยผู้ก่อปัญหาต้องรับผิดชอบกับความเสียหายนี้ทั้งทางแพ่งและทางอาญา

และ 3. เพื่อลดผลกระทบในการจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร ขอให้หน่วยงานออกหนังสือรับรองความปลอดภัยจากกัมมันตภาพรังสีฟรี

ผบ.ตร. ชื่นชม ตำรวจรถไฟ CPR ผู้โดยสารส่งรักษาตัว รพ.อย่างปลอดภัย และ ตำรวจ 191 ช่วยเหลือหญิงสาวที่ถูกบิดาแท้ๆ ล่วงละเมิดทางเพศ

วันนี้ (23 มี.ค.66) เวลา 11.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟหาดใหญ่และตำรวจ 191 ให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 66 เวลาประมาณ 12.00 น.  ด.ต.ไพศาล แก้วมณี  และ ด.ต.สราวุธ เกื้อสกุล ผบ.หมู่ ส.รฟ.หาดใหญ่ กก.3 บก.รฟ. โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย ได้เข้าให้ความช่วยเหลือชายไม่ทราบชื่อ มีอาการเป็นลม ชักเกร็ง และหยุดหายใจ ที่ บริเวณ ชานชาลาของสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ จ.สงขลา ได้อย่างทันท่วงที โดยทำการ CPR จนสามารถช่วยชีวิต และนำตัวส่ง รพ.เพื่อรักษาตามอาการต่อไป ปรากฏคลิปวีดีโอการช่วยชีวิตดังกล่าว ถูกส่งต่อในโลกสังคมออนไลน์

เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2566 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ งานสายตรวจ 1 กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 โดย ส.ต.ท.วรชัย ศิริอัฐ และ ส.ต.ท.นฤชิต กอพงษ์ ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ บก.สปพ. ปฏิบัติหน้าที่รถยนต์สายตรวจ น.จักรพล 103 ขณะออกปฏิบัติหน้าที่ตรวจเขตรับผิดชอบ ได้พบเด็กหญิง อายุ 13 ปี เข้ามาขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแจ้งว่าพี่สาวของตน อายุ 17 ปี ถูกบิดาแท้ๆล่วงละเมิดทางเพศและกักขังไว้อยู่ภายในห้องพัก ซึ่งตั้งอยู่ที่ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ทั้งนี้เด็กหญิงคนดังกล่าวยังได้แสดงกระดาษที่พี่สาวเขียนข้อความขอความช่วยเหลือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

ทีมเศรษฐกิจ รทสช.เตรียมดันนโยบายมุ่งเป้า ไม่ขอเล่นเกมหว่านแห ลั่น!! ‘คนละครึ่ง’ ทำต่อแน่

(23 มี.ค. 66) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ รทสช. ถึงกรณีสมัครเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รทสช.ว่า ถ้าเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อก็เป็นไปได้ ตามกติกาของพรรค เพราะตนลงมาตรงนี้แล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ที่สุด ซึ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจของตนนั้น จะไม่เน้นที่การให้แบบเหวี่ยงแห แต่เป็นการมุ่งเป้า และการส่งเสริมการดำเนินการอะไรต่าง ๆ จะได้มีอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นความร่วมมือกับประชาชน และทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว เราใช้หลักที่เราฟันฝ่าอุปสรรคโควิด-19 มาได้อย่างไร เราจะใช้หลักนั้น เพราะเราเชื่อว่าหลักนั้นเป็นความสำเร็จที่ดี ทุกอย่างต้องร่วมมือด้วยกัน

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ หลายพรรคการเมืองออกนโยบายเรื่องตัวเลขมาเกทับกัน นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เดี๋ยวรอดูของพรรค รทสช.เราจะมุ่งเป้าสำหรับคนที่จำเป็น มีที่ไหนบ้างในอดีตที่ช่วยเหลือแต่ละกลุ่มอย่างเป็นระบบ เมื่อก่อนเหวี่ยงแหแจกทุกคน แต่ในยามวิกฤต ยามเดือดร้อน เราใช้เงินเหมาะสม คนล่างสุดรับเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เหมือนเบาะรองรับเมื่อตกตึกสองชั้น ซึ่งเขาพออยู่ได้ มีโอกาสดำรงชีวิตได้ในระดับหนึ่ง คนที่ระดับสูงกว่านั้นก็เป็นโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องไปช่วยคนตัวเล็กอีกทีหนึ่ง ส่วนช็อปดีมีคืน ก็เป็นคนมีฐานะก็ไปช่วยกันใช้เงิน การแบ่งเป็น 3 ชั้นอย่างนี้ไม่เคยมี

ถามต่อว่า แสดงว่าโครงการคนละครึ่งเหล่านี้ จะมีการทำต่อ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ทำต่ออยู๋แล้ว ถือว่าเป็นนโยบายของพรรคเลย ก็มันเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งครั้งนี้จะต่างจากช่วงวิกฤติ แต่เราจะเน้นผู้ที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้ที่ถือแอพพิเคชั่นเป๋าตังค์ รอบหน้าเราเพิ่มเรื่องถุงเงินที่เน้นเอสเอ็มอี เน้นคนตัวเล็ก ซึ่งในถุงเงินภายใต้โครงการคนละครึ่งมีผู้มีสิทธิ์ 1 ล้านราย เราอยากให้มีมากขึ้นถึง 5 ล้านราย


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/719396

อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ยกระดับชีวิตคนจน และส่งเสริมการกีฬาเพื่อเยาวชน

แม้ว่า สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมศักดิ์ เทพสุทิน จะบอกลาพรรคพลังประชารัฐ ข้ามขั้วไปเปิดตัวกับพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว  แต่สำหรับ "อนุชา นาคาศัย" หรือ "เสี่ยแฮงค์" อีกหนึ่งแกนนำสำคัญของกลุ่มสามมิตร กลับลั่นวาจาชัดเจนว่าจะขอไปร่วมหัวจมท้าย กับ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ  

ด้วยความที่รักในความมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชน และความจริงใจของ "ลุงตู่" ซึ่งเขาคิดว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้สามารถประคับประคองรัฐนาวาฝ่าข้ามคลื่นลมมาได้จนถึงเวลาประกาศยุบสภา และ "อนุชา" ในบทบาทรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับนายกฯ ลุงตู่ มากที่สุด 

"อนุชา" เคยสะท้อนตัวตนของเขาผ่านสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ว่าแม้เขาเป็นคนพูดน้อย แต่เมื่อลงมือทำแล้วมั่นใจได้ว่าทำจริง เวลาเกือบ 4 ปี ของการเป็นรัฐบาล อนุชาเคยสวมหมวก “พ่อบ้าน" ทั้งของพรรค และของรัฐบาล โดยเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และยังเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ต่อเนื่องมาจนกระทั่งยุบสภา

ช่วงที่ "อนุชา" อยู่ในบทบาทเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ต้องฝ่าอุปสรรคความคิดที่หลากหลาย คล้ายมี  “สารพัดก๊ก” ภายในพรรค  แต่เขากลับไม่ได้มองเป็นเรื่องเสียหาย เพียงแค่หยิบส่วนดีของแต่ละฝ่ายนำมาใช้ และต้อง “ไม่เข่นฆ่ากัน” ในช่วงเวลาไล่เรียงกัน เมื่อสภาฯ กำลังจะมีการประชุมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 วาระ 2 และ 3 หลายฝ่ายเป็นห่วงสถานการณ์นอกสภาที่มีการนัดชุมนุม '19 กันยา' เรียกร้องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่อาจลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรง

อนุชา ซึ่งเป็นทั้งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และรมต.ประจำสำนักนายกฯ ร้องขอให้ ส.ส. ของพรรค เข้าประชุมตามปกติ  พร้อมให้ความเห็น ว่าการชุมนุมเป็นเรื่องปกติทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ออกมาเคลื่อนไหวก็เป็นลูกเป็นหลาน ที่ทั้งรัฐบาลและรัฐสภา ต้องรับฟังข้อเรียกร้องและช่วยกันแก้ปัญหา 

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ร้องขอกลับไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม หรือผู้อยู่เบื้องหลัง ให้พยายามใช้กลไกในการแก้ปัญหา หาทางออกร่วมกัน ดีกว่าการนำการเมืองลงถนนเพื่อกดดัน เรียกร้องในสิ่งที่อยากได้ทั้งหมด 

“แม้ว่าผมจะเคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง (เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในปี 2549 ) แต่ไม่เคยคิดลงถนน เพราะการเมืองบนท้องถนน วันหนึ่งมันก็เหมือนเขาลงได้ เราก็ลงได้ ไม่มีวันจบสิ้น และวันข้างหน้าจะไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า เรารักประชาธิปไตย ดังนั้น นักการเมืองคนใด ที่ใช้เวทีเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ผมคิดว่าคนๆ นั้นจะต้องพิจารณาตัวเองว่ารักระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่” 

หากมองลึกลงในบทบาทรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “อนุชา” ช่วยประคับประคองและแบ่งเบาภาระ “งานหลังบ้าน” ของรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของ “พล.อ.ประยุทธ์” ตั้งแต่งานรูทีน ที่ต้องกำกับดูแลสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค  บมจ.อสมท. - กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนา 

ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี หรือ กตน. ทำให้ในหลายๆ ครั้ง เรามักจะได้เห็นภาพเขานำคณะลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหา และฟังเสียงสะท้อนจากคนเล็กคนน้อยด้วยตนเอง อย่างที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ที่มีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินของชุมชนชาวเล หรือที่ชุมชนชาวกะเหรี่ยง บ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ยังต้องแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน

‘พปชร.’ เปิดตัว ‘บิ๊กแอ๊ด’ พร้อมว่าที่ผู้สมัครครบทุกภาค ด้าน ‘บิ๊กป้อม’ ยกเป็นบุญคุณที่มาช่วยเสริมแกร่งให้พรรค

(23 มี.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงเปิดตัว พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรือ ‘บิ๊กแอ๊ด’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กว่า 70 คน ประกอบด้วย

กรุงเทพมหานคร ได้แก่ นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี, นายสิทธิโชค คล้องแสงอาทิตย์, นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์, นายมานพ มารุ่งเรือง, น.ส.แพรว กิจสุวรรณ และ นายอนันตชาติ บัวสุวรรณ 

ภาคกลาง
- จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ น.ส.สมบูรณ์วรรณ ตรีสิทธุ์ไชย เขต 1, นางจิรวรรณ เรี่ยวแรง เขต 2, นายสมพงษ์ รัตนพรสุวรรณ เขต 3 และ นายทองใบ เสริฐสอน เขต 4
- จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ นายพิตติพรรธน์ พรรณธนะ เขต 4 และ นายภูมินทร์ มงคลกาย เขต 5
- จังหวัดสระบุรี ได้แก่ นายกฤษดา อินทร์พาเพียร และ นายธนกร กระต่ายจันทร์ เขต 3
- จังหวัดชลบุรี คือ นายยศพนต์ สุธรรม
- จังหวัดชัยนาท คือ นายปัญญา ไทยรัตนกุล เขต 2
- จังหวัดเพชรบุรี คือ นายอรรถพล นุชนิยม
- จังหวัดราชบุรี ได้แก่ นายจตุพร กมลพันธุ์ทิพย์ และ นายวรวัฒน์ น้อยโสภา
- จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ นายประมวล เรืองศรี เขต 1 และ นายไพฑูรย์ พุ่มสงวน เขต 2
- จังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ นายศุภกิจ กลิ่นหอม เขต 1, นายอุดม เพชรน้อย เขต 2, นายธานินทร์ โลห์ประเสริฐ เขต 3 และ นายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ เขต 5

ภาคตะวันออก
- จังหวัดระยอง ได้แก่ นายดนัย วิริยะสหกิจ เขต 1, นายนฤพล พงษ์ประเทศ เขต 2, นายกรี ไพรสี เขต 4 และ น.ส.รฎาศิริ ศิริคช เขต 5
- จังหวัดจันทบุรี ได้แก่ นายเฉลิมพล ศักดิ์คำ เขต 1 และ นายธนกร เฉลิมเฉลา เขต 2
- จังหวัดนครนายก ได้แก่ น.ส.วนิดา ขนายงาม เขต 1 และ น.ส.ชลธิชา ขนายงาม เขต 2
- จังหวัดฉะเชิงเทรา คือ นายสายัณห์ นิลาช เขต 3
- จังหวัดปราจีนบุรี คือ นายสุรเดช สิทธิเดชกุลถาวร เขต 3

ภาคอีสาน
- จังหวัดนครราชสีมา คือ นายสุธรรม พรสันเทียะ เขต 4
- จังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ นายอนุรัตน์ ศรีสุรินทร์ เขต 1 และ นายอิทธิพล กำลังหาญ เขต 4
- จังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ นายธนินท์ธร ศรีขาว เขต 1, นายธีรปภัสร์ พงษ์วันกิตติคุณ เขต 5 และ นายธนกฤช จิริวิภากร เขต 8
- จังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ นายโกวิทย์ ธรรมานุชิต เขต 3, นายธนบูรณ์ชัย อร่ามเรือง เขต 6 และ น.ส.วิยดา พรหมทอง เขต 7
- จังหวัดขอนแก่น คือ นายสำราญ ศรีภา เขต 6
- จังหวัดหนองคาย คือ นายศักดิ์ บึงลี เขต 2
- จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ นายสุรศักดิ์ แสงตา, นายมนตรี พึ่มชัย เขต 7 และ นายอัมพร เทศศรีเมือง เขต 10
- จังหวัดนครพนม คือ นางวิทยาพร หาญทองชัย เขต 4
- จังหวัดมหาสารคาม ได้แก่ นายทองหล่อ พลโคตร และ นายประสาทพร สีกงพลี
- จังหวัดร้อยเอ็ด ได้แก่ นายภาณุวัฒน์ ศิริ และ นายใหม่ เสาวงค์
- จังหวัดสกลนคร คือ นายเชิดชัย สิงห์มหันต์ เขต 5

ภาคเหนือ
- จังหวัดเชียงราย ได้แก่ นายศรัณพัฒน์ ศรีสวัสดิ์ เขต 1, นางวันดี ราชชมภู เขต 2 และ พ.ต.อ.รัฐพล น้อยช่างคิด เขต 3
- จังหวัดพะเยา คือ นายอนุรัตน์ ตันบรรจง
- จังหวัดพิษณุโลก คือ นายอัศวิน นิลเต่า
- จังหวัดเพชรบูรณ์ คือ นายอัคร ทองใจสด เจต 6
- จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ นายเรวัต คล้ายสมบูรณ์ เขต 1, นายสุขโกศล โกศลธรรมสกุล เขต 2 และ นายอัฑฒ์ เชื้อมีศรี เขต 3
- จังหวัดสุโขทัย ได้แก่ นางเบญจมาศ ไก่แก้ว, นายวิโรจน์ มากมูล, นายอารยะ ชุมดวง เขต 3 และ นายจเร บุญกำเนิด เขต 4

ภาคใต้
- จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ นายสุชาติ จิตรติศักดิ์ เขต 5 และ นายซุ้น ณัฐเดช กังสุกุล เขต 10
- จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ นายประเทือง มีแต้ม และ นางจิรวรรณ สารสิทธิ์ เขต 4
- จังหวัดสงขลา ได้แก่ นายอาทิตย์ สุวิทย์ เขต 3 และ นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว เขต 4
- จังหวัดปัตตานี คือ นายอรุณ เบ็ญจลักษณ์ เขต 1


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top