Friday, 23 May 2025
ค้นหา พบ 48292 ที่เกี่ยวข้อง

โกอินเตอร์!! ‘หวยไทย’ โผล่ขายพรึบ!! ที่เมียนมา  คอหวยงงเอาไปขายได้ยังไง? แถมราคาแพงเวอร์

เพจดังแฉ หวยไทยโผล่ขายที่เมียนมา บรรดาคอหวยงง เอาไปขายได้ยังไง! แถมราคาแพงเวอร์ ตั้งแต่ 120-270 บาท ทั้งที่อนุญาตให้ขายที่ไทยในราคา 80 บาทเท่านั้น

เพจเฟซบุ๊ก ไทย – พม่า : เพราะแผ่นดินเราติดกัน ได้นำรูปภาพแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลของไทย ที่ตั้งอยู่ในเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ประเทศเมียนมา พร้อมทั้งข้อความระบุว่า “เพิ่งสังเกตว่า ในเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ประเทศเมียนมา มีแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลของไทยเยอะมาก มีตั้งแผงหลายร้านมาก โดยขายกันตั้งแต่ ใบละ 120 ไปจนถึงใบละ 270 บาทแล้วแต่ความสวยของเลขแต่ละเลข และสลากฯ บางใบก็เป็นสลากฯ ในโควตาที่ถูกปั๊มระบุบนหน้าสลากให้จำหน่ายในราคา 80 บาทด้วย แต่ก็ขายใบละ 120 -270 บาทนะครับ ส่วนการซื้อนั้น แต่ละร้านก็ขายเป็นเงินบาทของไทยนะครับ ใครสนใจเสี่ยงโชคก็เชิญนะครับ เมืองท่าขี้เหล็ก สามารถเดินทางออกข้ามไปจากด่านชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ครับ”

จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ชาวเน็ตตั้งข้อสังเกตว่า สลากฯ ดังกล่าวเหตุ เป็นสลากฯ ที่ออกโดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลของไทย ซึ่งมีรหัสบาร์โค้ดชัดเจน เหตุไฉนจึงไปโผล่ขายยังประเทศเมียนมาได้ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ได้กำหนดเปิดจุดจำหน่ายสลาก 80 บาท ทั้งสิ้น 1,000 จุด ทั่วประเทศ โดยให้ผู้จำหน่ายสลากฯ ต้องดาวน์โหลด QR Code ยืนยันตัวตน เพื่อจำหน่ายสลากฯ ในราคา 80 บาทเท่านั้น

ไม่ต้องตื่นตระหนก!! ‘แบงก์ชาติ’ ชี้ SVB ล้ม กระทบระบบการเงินไทยจำกัด เหตุ ธ.พาณิชย์ไทย ไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกรณีธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ที่ประสบปัญหา ซึ่ง Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) มีคำสั่งให้ปิดกิจการเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. 2566 ว่า สถานการณ์ในไทย ผลกระทบจากกรณี SVB ต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัด เนื่องจากไม่มีธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีธุรกรรมโดยตรงกับ SVB และปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1 % ของเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์

อีกทั้งพบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่กลุ่มธุรกิจของ ธพ. ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับต่ำที่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่ง ธปท. ขอย้ำว่ามีการกำกับดูแลธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและ venture capital ที่เข้มงวด เช่น การให้หักเงินลงทุนในเหรียญออกจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1) ในทุกกรณี รวมทั้งกำหนดเพดานการลงทุนและการกำกับความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ต่อเงินฝากของประชาชน

ส่วนค่าเงินบาท ล่าสุดปรับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ภายหลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ข้างต้นจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าลงเร็ว ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะถัดไป

ไม่ให้ตั้งตัว!! ‘เสี่ยเฮ้ง’ แถลงกวาดล้างต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย สุ่มตรวจทั่วประเทศกว่า 2 แสนราย พบกระทำผิดอื้อ!!

(13 มี.ค.66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีพบคนต่างชาติเร่ขายสินค้า ตามแหล่งท่องเที่ยวและย่านการค้าซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในกลุ่มชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนกระทบต่อบรรดาผู้ประกอบการในพื้นที่ นั้น พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทราบเรื่องแล้วรู้สึกห่วงใยพ่อค้าแม่ค้าคนไทยจะถูกแรงงานต่างชาติแย่งอาชีพครไทย แย่งรายได้อย่างมาก จึงสั่งการให้กระทรวงแรงงานกวาดล้างแรงงานต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย รวมถึงแรงงานต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาตทำงาน โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ซึ่งตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับข้อสั่งการแล้วไม่เคยนิ่งนอนใจ ใช้มาตรการลงพื้นที่สุ่มตรวจโดยไม่แจ้งล่วงหน้าในทุกจังหวัด 

“จากผลการดำเนินการปีงบประมาณ 2566 (วันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 12 มีนาคม 2566) มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างชาติทั่วประเทศแล้ว จำนวน 18,966 แห่ง ดำเนินคดี 685 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 240,918 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 177,134 คน กัมพูชา 40,750 คน ลาว 12,311 คน เวียดนาม 140 คน และสัญชาติอื่น ๆ 10,583 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 1,550 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 846 คน กัมพูชา 245 คน ลาว 269 คน เวียดนาม 65 คน และสัญชาติอื่น ๆ 125 คน ซึ่งพบเป็นการแย่งอาชีพคนไทย ทั้งสิ้น 883 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 392 คน กัมพูชา 195 คน ลาว 139 คน เวียดนาม 55 คน อินเดีย 68 คน และสัญชาติอื่น ๆ 34 คน โดยอาชีพที่พบคนต่างชาติแย่งอาชีพมากที่สุด ได้แก่ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ และงานนวด ตามลำดับ” รมว.แรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดี คนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายฯ ของกรมการจัดหางาน และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ รับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปูพรมตรวจสอบทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลัก ทั้งกรุงเทพมหานคร ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ ที่เป็นแหล่งประกอบอาชีพของคนไทย และย่านการค้าแหล่งเศรษฐกิจสำคัญที่พบเห็นแรงงานต่างชาติทำงานจำนวนมาก อย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อาทิ เยาวราช ห้วยขวาง ปากคลองตลาด และจังหวัดปริมณฑล อาทิ สมุทรสาคร นครปฐม สระบุรี ปทุมธานี ซึ่งหากตรวจสอบพบมีความผิดจะดำเนินคดีตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยไม่มีข้อยกเว้น 

มือปราบยานรก!! ‘บิ๊กต๊ะ’ นำทีม ‘ด่านแม่พริก’ จับกุมก๊วนขนยาเสพติด ตั้งแต่ ต.ค.65 - มี.ค.66 รวม 72 คดี มูลค่ากว่า 337 ลบ.

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในด้านการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบนโยบายให้เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจังตามแผนปฏิบัติการด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาตอนในของประเทศให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม 

(13 มี.ค.66) ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ รอง ผบช.ภ.5, พ.ต.อ.พิทักษ์ นาสมวาส รอง ผบก.สส.ภ.5, พ.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง และ นายอภิกิต ฉ. โรจน์ประเสริฐ ผอ.ปปส.ภาค 5 ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ผู้ต้องหา 3 คน ตรวจยึดยาบ้าจำนวน 2 ล้านเม็ด รถยนต์ 3 คัน โดยเป็นการจับกุมร่วมกันของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจยาเสพติดแม่พริก สภ.แม่พริก จว.ลำปาง, ชุดสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน บก.สส.ภ.5 และ กก.สส.ภ.จว.เชียงราย เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2566 เวลา 19.00 น. 

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากวันที่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจยาเสพติด สภ.แม่พริก ได้ตรวจพบรถต้องสงสัยเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับขบวนการลำเลียงยาเสพติดจำนวน 2 คัน จึงได้กำหนดไว้เป็นเป้าหมายเฝ้าระวังเป็นพิเศษและติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประสานข้อมูลนี้ให้กับ ชุดสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน บก.สส.ภ.5 และ กก.สส.ภ.จว.เชียงราย 

ต่อมาช่วงบ่ายของวันที่ 6 มีนาคม 2566 ชุดสกัดกั้นฯ และ กก.สส.ภ.จว.เชียงราย ได้ตรวจพบความเคลื่อนไหวของรถต้องสงสัยในกลุ่มที่เฝ้าติดตามนี้จำนวน 2 คัน ขับติดตามกันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จึงได้เข้าสกัดแต่กลุ่มขบวนการนี้ไหวตัวได้ขับรถหลบหนีไปได้

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ากลุ่มขบวนการเพียงหลบเจ้าหน้าที่ชั่วคราวแต่ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ โดยเส้นทางขาล่องเข้ากรุงเทพใน พื้นที่ อ.งาว อ.เกาะคา อ.สบปราบ จว.ลำปาง และจะเข้าสู่พื้นที่ อ.แม่พริก จว.ลำปาง เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจยาเสพติดแม่พริก จึงได้นำกำลังไปตั้งจุดสกัดตามเส้นทางรอง บริเวณหน้าตู้ยามแม่ปุ และพบว่ามีรถต้องสงสัยจำนวน 2 คัน ตรงกับเป้าหมายที่เฝ้าระวังขับเข้ามา จึงได้แสดงตัว แต่ปรากฏว่า รถทั้งสองคันได้จอดและทิ้งรถวิ่งหลบหนีเข้าป่าข้างทาง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ขับขี่ได้จำนวน 1 คน อีก 1 คนหลบหนีไปได้ จากการตรวจค้นรถยนต์ พบยาบ้าของกลางจำนวน 2,032,000 เม็ด จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ขับขี่ ยาบ้าและรถยนต์ของกลางมาที่ สภ.แม่พริก 

ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบว่ามีรถต้องสงสัยที่เฝ้าระวังในของขบวนการกลุ่มนี้ ขับเข้ามาในเส้นทางขาขึ้น เชื่อว่าน่าจะมารับตัวผู้ขับขี่รถอีก 1 คนที่หลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ไปตั้งจุดสกัดบริเวณหน้าที่ทำการหน่วยป่าไม้แม่พริก และพบรถยนต์ต้องสงสัยเข้ามา 1 คัน และสามารถควบคุมตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้จำนวน 2 คน ซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้ขับขี่รถยนต์นำทางคันที่จอดรถหลบหนีเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา จึงได้ทำการจับกุมตัวทั้งสองคน และนำส่ง สภ.แม่พริก เพื่อขยายผลต่อไป

ประชันนโยบาย 'สนธิรัตน์' ย้ำจุดยืน 'พปชร.' ก้าวข้ามความขัดแย้ง โว!! ‘ลุงป้อม’ นั่งนายกฯ ค่าครองชีพลด ศก.ฐานรากฟื้น

(13 มี.ค.66) ที่โรงแรมพลูแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมแสดงนโยบายในงาน มติชน: เลือกตั้ง’66 บทใหม่ประเทศไทย ประชันนโยบาย ‘ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง’ ที่จัดขึ้นโดยบริษัทในเครือมติชน

โดย นายสนธิรัตน์ ได้กล่าวถึงจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐต่อคำถามเรื่องหากได้เป็นรัฐบาลจะแก้ไขร่างใหม่ หรือดำเนินการอย่างไรกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่เป็นข้อถกเถียงในปัจจุบัน ว่า รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขได้ เมื่อบังคับใช้ไประยะเวลาหนึ่งแล้วจะเห็นจุดอ่อนจุดแข็ง หากเรื่องใดไม่สามารถขับเคลื่อนตามเจตนารมย์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ หรือเกิดข้อถกเถียงในเรื่องมุมมองความคิดก็สามารถแก้ไขได้ และหัวใจสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือประโยชน์ของประชาชน

"ขอย้ำว่าจุดยืนของพรรคคือเราไม่ใช่พรรคของการสืบทอดอำนาจอย่างที่หลายคนกล่าวถึง พรรคพลังประชารัฐดำเนินการภายใต้กติกา และกฎเกณฑ์เดียวกันทุกอย่าง สิ่งที่พรรคยึดมั่นได้แสดงออกผ่านจดหมายน้อยของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ว่าเคารพในหลักการของประชาธิปไตย และเคารพเรื่องของประเทศต้องมีการเปลี่ยนผ่าน เราเชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องนำไปสู่รัฐบาลที่ดี และสร้างรัฐบาลที่ไม่ก่อเกิดความขัดแย้ง" นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พรรคเป็นห่วงมากที่สุดคือไม่อยากเห็นการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการหยิบจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ และพรรคการเมืองมาสร้างความแตกแยก ทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งไปสู่ความขัดแย้ง พรรคจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง

นอกจากนี้ นายสนธิรัตน์ ยังได้ตอบคำถามในเรื่องการกระจายอำนาจ ว่าคิดอย่างไรที่ประเทศไทยมีทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้ง นอกจากนี้ยังมีอบต. เทศบาล และอบจ. และจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีผู้ว่าฯ จากการเลือกตั้ง ว่า หนึ่งในหัวใจที่นำไปสู่ความมั่นคงของประเทศคือการกระจายอำนาจ แต่ทำได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากส่วนกลางทั้งกระทรวง ทบวง กรมมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการ ต้องยอมรับว่าคนที่อยู่ใกล้พี่น้องประชาชน และเข้าใจปัญหาพื้นที่ได้ดีที่สุดคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขอเรียนว่าพรรคพลังประชารัฐเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ เพราะทำให้ท้องถิ่นแข็งแรงขึ้น แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่การกระจายอำนาจ การรวมศูนย์ต้องลดบทบาทลง พร้อมกับเพิ่มศักยภาพให้ท้องถิ่น ทั้งในด้านงบประมาณ กฎหมายและอัตรากำลัง ขณะที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น เป็นโมเดลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ บางจังหวัดที่มีสภาพเศรษฐกิจที่โต และมีรูปแบบพร้อมต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ได้ ก็เช่น จ.ภูเก็ต ซึ่งจะทำให้พี่น้องประชาชนได้มีบทบาทในการดูแลจังหวัดของเขามากยิ่งขึ้น

จากนั้น นายสนธิรัตน์ ได้ร่วมดีเบตกับพรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อนโยบายเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และซอฟต์พาวเวอร์ ว่า ประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก นักท่องเที่ยวมาไทย เพราะเรามีทุนทางวัฒนธรรม และนิสัยใจคอของคนไทย ซึ่งทุนทางวัฒนธรรม สามารถทำให้กลายเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจที่สำคัญได้ โดยการขับเคลื่อนมีหลายมิติ 5 ด้าน ได้แก่ 1.อาหาร ต้องมีการผลักดันอาหารไทย 2.เฟสติวัล เรามีเสน่ห์ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม 3.แฟชั่น ประเทศไทยต้องเป็นศูนย์กลางแฟชั่น 4.ฟิล์ม และ 5.มวยไทย

โดยการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ 1.นโยบายต้องชัดเจน ไม่เป็นนโยบายที่เป็นวาทกรรม 2.งบประมาณ ต้องมีเพียงพอในการขับเคลื่อน และ 3.กลไกรัฐ องค์กรที่เกี่ยวข้อง กระทรวงต่างๆ ที่ต้องบูรณาการ และปรับแผนงาน สามสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย

ทั้งนี้ ในช่วงสุดท้ายเป็นการเปิดโอกาสให้แสดงวิสัยทัศน์ นายสนธิรัตน์ กล่าวในตอนหนึ่งว่า หากเลือกพรรคพลังประชารัฐ ได้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ และจะมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย ได้แก่…

1.ไม่มีความขัดแย้ง นี่คือจุดยืนสำคัญของพรรค จะสร้างสมดุลทางการเมือง ไม่เข้าสู่กลไกความขัดแย้ง เพราะ พล.อ.ประวิตร เปิดใจแล้วว่าอยากนำพาคนไทย และการเมืองไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง 

2.ค่าครองชีพลดทันที จะปฏิรูปราคาน้ำมัน สร้างรายได้ให้ประชาชน โดยโซล่าเซลล์ และ Net metering 

3.ปรับโครงสร้างราคาแก๊ส โดยดูโครงสร้างแก๊สในอ่าวไทย 

4.ประชาชนจะมีรายได้เพิ่มจากบัตรสวัสดิการ 700 บาท และต่อยอดสิ่งเหล่านี้ด้วยกลไกสร้างอาชีพ ให้โอกาส และเพิ่มทักษะ 

5.คนไทยทุกช่วงวัยได้รับการดูแล เบี้ยยังชีพ 3,000 - 5,000 บาท ตามช่วงอายุ 60 - 80 ปี 

6.เศรษฐกิจฐานรากต้องฟื้น จะนำพาทุกคนสร้างงาน เราประกาศนโยบายมีที่ทำกิน ไม่มีแล้ง รวมถึงโรงไฟฟ้าชุมชนกระจายสู่ฐานราก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top