Saturday, 31 May 2025
ค้นหา พบ 48499 ที่เกี่ยวข้อง

‘Oxford’ บรรจุ ‘pad thai’ อาหารไทยสู่ชื่อสากล หลังขึ้นแท่นเมนูยอดฮิตสุดอร่อย ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

(10 มี.ค. 66) ฮือฮาไปทั่วโลก!! หลังเว็บไซต์ Oxford Dictionaries บรรจุชื่อ ‘pad thai’ (ผัดไทย) ให้เป็นคำสากลที่ทั่วโลกรู้จัก อยู่ในหมวด C2 ซึ่งหมายถึงหมวดศัพท์ทั่วไปที่ถูกบัญญัติ ใช้เพื่อแสดงให้รู้ถึงแหล่งที่มาต้นกำเนิด หรือพื้นถิ่นของสิ่ง ๆ นั้น และใช้เป็นชื่อสากลเหมือนกับคำว่า Pizza จากอิตาลี

ทว่าหากพิมพ์ภาษาอังกฤษตัวเล็กว่า ‘pad thai’ จะพบกับความหมายว่า ‘เป็นอาหารไทย’ ซึ่งเป็นชนิดเส้น ที่ทำมาจากข้าว, เครื่องเทศ, ไข่, ผัก, เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเล

“a dish from Thailand made with a type of noodles made from rice, spices, egg, vegetables and sometimes meat or seafood”

รมว.สุชาติ ส่ง ผู้ช่วยฯ ลงสงขลา มอบวุฒิบัตรแรงงานนอกระบบที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฝึกอาชีพ เพิ่มรายได้ มีเครื่องมือทำกิน

(10 มี.ค.66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะของแรงงานอิสระยุค 4.0 (Gig Worker) หลักสูตรการฝึกยกระดับฝีมือ สาขาการประกอบขนมอบ โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายเอกชัย เลิศวิบูลย์ลักษณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลพะตง ร่วมให้การต้อนรับ นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน ณ หอประชุมโรงเรียนวัดควนเนียง ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

นายสุรชัย กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงาน ประชาชนมีทักษะฝีมือ มีงานทำ มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง กระทรวงแรงงาน โดยท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้ให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินการฝึกอาชีพให้แก่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ได้ลงทะเบียนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า 'บัตรลุงตู่' เพื่อฝึกอาชีพยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน ให้มีมาตรฐาน และมอบเครื่องมือทำกินให้หลังฝึกจบ เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพ มีรายได้ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้มากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในวันนี้ รมว.แรงงาน จึงได้มอบหมายให้ผมลงพื้นที่มามอบวุฒิบัตรพบปะให้กำลังใจแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะของแรงงานอิสระ ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งผู้ประกอบ“อาชีพอิสระ” หรือ 'แรงงานนอกระบบ' หรือเรียกว่า Gig Worker คือ คนที่ทำงานในรูปแบบงานชั่วคราว งานที่รับจ้างเป็นระยะเวลาสั้นจบเป็นครั้งๆ ไป ไม่ยึดติดกับที่ใดที่หนึ่ง เช่น งานพาร์ทไทม์ งานฟรีแลนซ์ ซึ่งแรงงานเหล่านี้ยังขาดการพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพ จำเป็นต้องได้รับการยกระดับ ทักษะฝีมือ เพื่อเพิ่มความรู้ ความสามารถ มีงาน มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง และยั่งยืน

‘นอท กองสลากพลัส’ รับสารภาพขายสลากเกินราคา ศาลสั่งปรับ 2.6 ล้าน เจ้าตัว เผย รับให้เรื่องจบ ๆ ไป

(10 มี.ค. 66) ที่ศาลเเขวงพระนครเหนือ ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลเเขวง 1 นำตัว นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ ‘นอท กองสลากพลัส’ ไปยื่นฟ้องคดีจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา โดยในวันนี้ นายพันธ์ธวัชเดินทางมาพร้อมทนายความ

เมื่อถึงเวลานัด นายศุภชัย เศวตกิตติกุล อัยการเชี่ยวชาญสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 ได้พิจารณาแล้ว จึงมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 3 ราย จากนั้น จึงนำคำฟ้องและผู้ต้องหาไปยื่นฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือทันที

นายศุภชัย กล่าวว่า วันนี้อัยการได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา 3 คนคือ ‘นอท กองสลากพลัส’ นิติบุคคล และกรรมการบริษัทลอตเตอรี่ออนไลน์จำกัด ใน 2 ข้อหา คือ ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา และขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้แก่เยาวชนที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี จำนวน 510 กรรม ตามพยานที่มีการสอบปากคำพยานมากกว่า 300 กว่าคน

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้จะสอบคำให้การจำเลย หากจำเลยให้การรับสารภาพศาลจะสั่งปรับและสามารถจบคดีได้เร็ว แต่หากจำเลยให้การปฏิเสธก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาล โดยจะมีการนัดสอบคำให้การและสืบพยานในชั้นศาลต่อไป แต่ว่าคดีนี้มีพยานบุคคลจำนวนมาก อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการสืบพยานนานพอสมควร

ด้าน นายพันธ์ธวัช ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนขณะเดินทางไปศาลแขวงพระนครเหนือซึ่งอยู่ชั้น 2 ของศูนย์ราชการฯ สั้น ๆ ว่า ตนอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ไม่สามารถพูดอะไรมากกว่านี้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา กองบังคับการปราบปรามการ กระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้นำสำนวนการสอบสวน พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายพันธ์ธวัช หลังจากได้ตรวจสอบแล้วพบว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์การขายสลากกินแบ่งเกินราคา 2 งวด คือ งวดวันที่ 16 มี.ค. 65 และงวดวันที่ 30 เม.ย. 65

โดยทั้ง 2 งวด พบว่ามีผู้ซื้อทั่วประเทศ 4,214 ราย แต่ตำรวจติดตามได้และได้รับความร่วมมือ 384 ราย จากการกระทำความผิดทั้งหมด 406 กรรม จึงได้สรุปสำนวนคดีส่งอัยการนำตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องศาลในวันนี้

‘งดออกเสียง’ ไพ่ตายของ 250 ส.ว. สยบ ‘อุ๊งอิ๊ง’ จัดตั้ง รบ. ภายใต้ 310 ส.ส.

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.66) พรรคเพื่อไทยประสานเสียงกันหนักแน่นในที่ประชุมใหญ่สมัยสามัญของพรรคว่าจะก้าวข้ามจำนวน ส.ส. 250 ที่นั่ง หรือแลนด์สไลด์ได้อย่างแน่นอน…โดยตั้งเป้าหมายปักหมุดไว้ที่ 310 เสียง

วันนี้จะพามาย้อนดูอดีตกันสักนิดว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยในอดีต (พรรคสารตั้งต้น) เคยได้คะแนนเสียงจัดตั้งรัฐบาลกันเท่าไหร่

เริ่มจากเลือกตั้งปี 2548 พรรคไทยรักไทย...สารตั้งต้นพรรคเพื่อไทยเคยกวาดมาแล้ว 377 เสียง (เขต 310 บัญชีรายชื่อ 67) ภายใต้กติกาการเลือกตั้งบัตรสองใบเหมือนปีนี้ (2566) แม้บริบทการเมืองพ.ศ.นี้ยากที่จะไปถึงหมุดหมาย 310 เสียงได้ แต่ก็ลองจินตนาการดูว่าถ้าเป็นไปได้จริงจะเกิดอะไรขึ้น…

ฟันธงแบบไม่ต้องนั่งเทียนได้เลยว่า หากได้มา 310 เสียง (พรรคเดียว) จริงๆ แล้วพรรคเพื่อไทยประกาศจัดตั้งเป็นรัฐบาลพรรคเดียว บรรดา ส.ว. ที่ยังมีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจำนวนไม่น้อยที่ยอมรับโดยส่วนลึกว่าต้องเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทย…

แต่คำถามมีอยู่ว่าแล้ว 250 ส.ว. จะพร้อมใจโหวตให้ แพทองธาร ชินวัตร หรือเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีโดยดุษฎีอย่างนั้นหรือ

คำตอบคือไม่น่าใช่...

หากดูจากการข่าว...มีโอกาสสูงยิ่งที่ ส.ว.จะงัดมาตรการ ‘งดออกเสียง’ ไม่ค้านแต่ไม่โหวตสนับสนุน…

สภาพ ‘สยาม’ ภายใต้การนำของ ‘จอมพล ป.’ คนรวยอยู่เหนือกฎหมาย คนจนกลายเป็นโจร

ใครที่ได้ดู ‘ขุนพันธ์’ ภาคแรก จะเห็นว่า ‘หลวงโอฬาร’ คนไทยใจทาส ผู้ยอมทรยศชาติอำนวยทางให้ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกอย่างสะดวกโยธิน แต่พอมาภาคสอง เราก็ได้รู้จัก ‘ไทยถีบ’ ผ่านตัวละคร ‘เสือใบ’ ผู้กล้าปล้นญี่ปุ่น ขณะที่นักการเมืองและข้าราชการไทยยอมอำนวยความสะดวกด้วยเม็ดเงินที่ได้รับ และเมื่อมาถึงภาคสาม ก็ได้สะท้อนของยุคการเมืองที่รุนแรงและสังคมอันเหลื่อมล้ำ สมัยหลังสงครามมหาเอเชียบูรพา คนรวยอยู่เหนือกฎหมาย คนจนถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร และข้าราชการทหารภายใต้ผู้นำเผด็จการพร้อมพิพากษาทุกคน 

ขอออกตัวก่อนว่าวันนี้ผมไม่ได้มาชวนท่านผู้อ่านไปชมภาพยนตร์เรื่อง ‘ขุนพันธ์’ นะครับ แต่ผมอยากมาชวนให้นึกถึงยุคสมัยนั้น ยุคที่เราต้องอาศัย ‘ศรัทธา’ มาก ๆ ถึงจะอยู่ได้อย่างปกติสุข 

หากจะเท้าความ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ต้องนับเนื่องมาจากหลังการแก่งแย่งชิงดีของคณะราษฎร 2475 จนสะเด็ดน้ำ ได้ผู้นำในแบบ Supreme Leader ไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมพร้อมยกตนขึ้นเทียมเจ้าอย่าง ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ ที่บรรดาเยาวรุ่นและอาจารย์คลั่งปฏิวัติยกเป็น Idol 

ข้อดีอย่างหนึ่งในช่วงนั้นคือการสร้างความรักชาติอย่างยิ่งยวด การสร้างรัฐชาติให้คนไทยได้เป็นทหารถ้วนทั่วกัน บรรยากาศก่อนมีสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยราวกับถูกตรึงไว้ด้วยความเชื่อของผู้นำ ที่พยายามจะสร้างให้สยามเป็นมหาอำนาจ จากการได้ศึกษาจากเมืองนอกและไปดูตัวอย่างมาจากญี่ปุ่นผสมกับความเป็นฟาสซิสต์ สร้างให้เกิดรัฐนิยมที่แตกต่างไปจากทุกยุค ซึ่งในช่วงก่อน 8 ธันวาคม 2484 ประเทศเรามีความเข้มแข็งด้วยความเชื่อและรักชาติเป็นอย่างยิ่ง 

ทำไม ? ต้องก่อน 8 ธันวาคม 2484 ...ก็เพราะก่อนหน้านั้นเราเป็นมิตรกับญี่ปุ่น เราเชื่อว่าผู้นำทหารของเราจะไม่นำประเทศให้กลายเป็นกึ่งเมืองขึ้นของญี่ปุ่น เรามีความเตรียมพร้อมในการรักษาชาติ ผู้นำประเทศปลุกเร้าความรักชาติ จนเข้าขั้นคลั่งอยู่ทุกวัน เรามีนายร้อยชาย เรามีนายร้อยหญิง เรามียุวชนทหารผู้หาญกล้า แห่งปากน้ำชุมพร ผู้ต่อต้านการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นอย่างสุดกำลังเพื่อพิทักษ์แผ่นดินไทย 

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ตั้งแต่เวลา 02.00 น. ญี่ปุ่นส่งกำลังพลเข้ารุกรานไทยในหลายพื้นที่ชายทะเลของไทยได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยจำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาถัดมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น ญี่ปุ่นที่เคยช่วยให้ไทยได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงคืนมาจากฝรั่งเศส โดยมีคำกล่าวอ้างว่าในคืนวันที่ 7 ธันวาคม ประมาณ 23.00 น. ญี่ปุ่นได้ส่งเอกอัครราชทูตเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขออาศัยดินแดนไทยเป็นทางผ่านในการเคลื่อนทัพ แต่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่ระหว่างเดินทางไปราชการที่ต่างจังหวัด เพราะคิดว่าญี่ปุ่นคงจะยังไม่ลงมือรบ ทำให้ขาดผู้มีอำนาจในการสั่งการ ส่วนฝั่งญี่ปุ่นก็ไม่คิดจะรอคำอนุญาตใด ๆ บุกขึ้นฝั่งโจมตีอย่างไม่ให้คนไทยได้รู้ตัว จึงได้เกิดการปะทะกับคนไทยผู้รักชาติตลอดการยกพล ก่อนที่จะมีประกาศให้หยุดยิงในช่วงเช้าประมาณ 07.30 น. ตามประกาศดังนี้....

“...ประกาศของรัฐบาล ได้รับโทรเลขจากจังหวัดต่าง ๆ ตั้งแต่เวลา 02.00 น. ว่าเรือรบญี่ปุ่นได้ยกทหารขึ้นบกที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และบางปู ทางบกได้เข้าทางจังหวัดพิบูลสงคราม ทุกแห่งดังกล่าวแล้วได้มีการปะทะสู้รบกันอย่างรุนแรงสมเกียรติของทหารและตำรวจไทย 07.30 น. วันนี้ รัฐบาลไทยได้สั่งให้ทหารและตำรวจทุกหน่วยหยุดยิงชั่วคราวเพื่อรอคำสั่ง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังเจรจากันอยู่ ผลเสียหายทั้งสองฝ่ายยังไม่ปรากฏ...กรมโฆษณาการ 8 ธันวาคม 2484”

ต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม 2484 ได้มีการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นการด่วนเพื่อที่รัฐบาลจะได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ทางรัฐบาลได้ยินยอมให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทย เพื่อไปมาเลเซีย สิงคโปร์ และพม่า ‘เพราะไม่มีทางจะต่อสู้ต้านทานกำลังกองทัพญี่ปุ่นได้จึงยอมตามคำขอ’ ว่ากันว่าการประชุมครั้งนั้นเป็นการประชุมที่สลดใจเป็นที่สุด ตามบันทึกของประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ อดีตเลขาธิการรัฐสภา ว่า.... 

“มวลสมาชิกสภาได้รับทราบดังนั้นแล้ว เพราะเหตุที่ได้กล่าวแล้วว่า คนไทยทุกคนได้รับการปลุกใจให้รักชาติ ให้ทำการต่อสู้ศัตรู ตามกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคนไทยในการรบเมื่อทราบว่ารัฐบาลยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไป โดยไม่ได้มีการต่อสู้ตามที่เคยประกาศชักชวนปลุกใจไว้ อันตรงกันข้ามกับจิตใจคนไทยในขณะนั้น จึงทำให้การประชุมในครั้งนั้น เป็นการประชุมที่แสนเศร้าที่สุด ทั้งสมาชิกสภา รัฐมนตรี ได้อภิปรายซักถามโต้ตอบกันด้วยน้ำตานองหน้า ความรู้สึกของทุกคนในขณะนั้น คล้ายกับว่าเด็กถูกผู้ใหญ่ที่มีกำลังมหาศาลรังแก จะสู้ก็สู้ไม่ได้ ทั้งมีความวิตกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเอกราชอธิปไตยไปแล้ว”

สรุปคือปลุกใจอย่างบ้าคลั่ง สวนทางกับการกระทำจริง ๆ ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งความเสื่อมศรัทธาต่อผู้นำ เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาประเทศก็เกินเงินเฟ้อเต็มระบบ เกิดความเหลื่อมล้ำตามที่กล่าวไว้ข้างต้น นักการเมือง ข้าราชการก็ใส่เกียร์ว่าง ใครกอบโกยได้ก็กอบโกย บ้างก็กลายไปเป็นโจรในเครื่องแบบ จนกระทั่งคนธรรมดากลายเป็นคนจน คนจนก็กลายไปเป็น ‘โจร’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top