Sunday, 8 June 2025
ค้นหา พบ 48635 ที่เกี่ยวข้อง

เติบโตต่อเนื่อง!! ‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! อัญมณี-เครื่องประดับไทย ส่งออกพุ่งเกือบ 50% จ่อดัน ภาคอุตสาหกรรมฯ คาด ปี 66 โตเพิ่มอีก 10 - 15%

(9 มี.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานจาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถึงมูลค่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของประเทศไทย ปี 2565 ชื่นชมเป็นอีกอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการเติบโตที่สูง มีตัวเลขการส่งออกเป็นอันดับที่ 3 ของไทย โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2566 การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย จะสามารถเติบโตได้อีกถึง 10 - 15%

นายอนุชา กล่าวว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เป็นอุตสาหกรรมที่มียอดการส่งออกสูงสุด เป็นอันดับที่ 3 ของไทย โดยจากสถิติช่วงเดือน มกราคม-ธันวาคม 2565 อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ มีมูลค่าการส่งออกถึง 15,057.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการขยายตัวกว่า 49.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ซึ่งสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ทองคำ, เครื่องประดับทอง, เพชรเจียระไน, เครื่องประดับเงิน, พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน โดยมีตลาดการส่งออกที่สำคัญ (ไม่รวมการส่งออกทองคำ) ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, ฮ่องกง, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, สิงคโปร์, สวิตเซอร์แลนด์, เบลเยียม, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และญี่ปุ่น ตามลำดับ

นายอนุชา กล่าวว่า มูลค่าตลาดการส่งออกของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมส่งออกทองคำ) ทุกตลาดมีมูลค่าเพิ่มขึ้นแตกต่างกันไป โดยจุดเด่นของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย อยู่ที่การออกแบบลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ต้องอาศัยความปราณีต ในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างมาก

นอกจากนี้ จากข้อมูลในปี 2565 ได้มีผู้ประกอบการด้านอัญมณีและเครื่องประดับไทย เป็นจำนวนกว่า 12,892 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 2.41% ซึ่งแสดงถึงการเติบโต ของภาคอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ

โชว์ฟิต!! ‘กรณ์’ นำทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เตรียมว่ายน้ำข้ามทะเลสาบ ระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ พร้อมโปรโมตการท่องเที่ยว

(9 มี.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช กล่าวว่า  ในระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2566 ตนพร้อมทีมงานจะเดินทางไป จ.สงขลา เพื่อทำกิจกรรมร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ทั้ง 4 เขต 

โดยในช่วงบ่ายวันที่ 10 มีนาคม จะพบปะพี่น้องประชาชนในเขตเมืองเก่าสงขลา และเข้าร่วมกิจกรรมงานวันสงขลาครบรอบ 181 ปี ณ ถ.นางงาม นครใน นครนอก ร่วมกับนายกัณฑ์ นวกัณฑ์ เขต 1 จากนั้นในช่วงเย็นร่วมทอล์คเศรษฐกิจ ณ ไมอามี่ สงขลา 

จากนั้นในวันเสาร์ที่ 11 มีนาคม ลงพื้นที่เขตอำเภอหาดใหญ่ เริ่มด้วยการพบกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ และรับหนังสือแก้ปัญหากลิ่นขยะเน่าเหม็นที่ตำบลควนลัง ร่วมกับทนายอาร์ม นายพงศธร สุวรรณรักษา เขต 9 และลงพื้นที่ในใจกลางเมืองหาดใหญ่ บริเวณตลาดคลองเรียนร่วมกับนายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2 เนื่องจากการลงพื้นที่ล่าสุดได้รับเสียงตอบรับจากโซนพื้นที่ค้าขาย ธุรกิจเป็นอย่างมาก และในช่วงเย็นลงพื้นที่ต่อเนื่องที่ตลาดน้ำคลองแห เพื่อทำกิจกรรมเศรษฐกิจชุมชนกับ ว่าที่ผู้สมัครเขต 3 อาจารย์อ๊อด นายประสิทธิ์ รัตนพันธ์

“โดยไฮไลท์ของการลงพื้นที่สงขลา รอบนี้ของผมคือ วันอาทิตย์ 12 มีนาคม ผมจะเข้าร่วมกิจกรรมว่ายน้ำข้ามทะเลสาบสงขลา 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการว่ายครั้งที่ 2 เพื่อโปรโมทการท่องเที่ยววิถีชุมชนเมืองเก่า-หัวเขา เริ่มจากจุดปล่อยตัวที่ โรงสีแดง ถนนนครนอก จนถึงเส้นชัย ที่ Songkhla Pier ฝั่งหัวเขา โดยความพิเศษของรอบนี้คือ ผู้จัดจะมีการร่วมระดมทุนช่วยเครื่องมือแพทย์ขาดแคลนที่ รพ.สต.หัวเขา อีกด้วย” นายกรณ์ กล่าว 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า จ.สงขลา โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่เป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่พรรคชาติพัฒนากล้าเอาจริง และมั่นใจว่าจะสามารถคว้าชัยชนะในอย่างแน่นอน ดูจากเสียงตอบรับจากประชาชนในการลงพื้นที่แต่ละครั้ง และผู้สมัครทุกคนก็เป็นคนมีศักยภาพซึ่งพรรคได้คัดเลือกมาแล้วเพื่อพี่น้องประชาชนชาวสงขลา 

เจอกันสักตั้ง 'ปานเทพ' ท้า 'ชูวิทย์' ดีเบตเรื่องกัญชา ชี้!! พูดอยู่ฝ่ายเดียว ทำข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน

เมื่อวานนี้ (8 มี.ค.66) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์’ ท้าชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ดีเบตเรื่องกัญชา โดยระบุว่า ‘ปานเทพ’ เชิญ ‘ชูวิทย์’ ดีเบตเรื่อง ‘กัญชา’ เพื่อประโยชน์สาธารณะ

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
เรื่องกัญชาเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันทั่วโลก แต่แนวโน้มในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนนาดา ยุโรป ออสเตรเลีย ฯลฯ ได้ผ่อนคลายมาตรการในเรื่องกัญชาตั้งแต่ทางการแพทย์และนันทนาการมากขึ้นเรื่อย ๆ

คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คัดค้านกัญชาเสรี จึงจะรณรงค์ให้ไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย โดยที่อ้างว่าห่วงเด็กเยาวชน แต่คุณชูวิทย์กลับมีร้านขาย ‘ช่อดอกกัญชา’ เพื่อนันทนาการอยู่ในโรงแรมของตัวเอง ทั้งของลูกชาย และเปิดให้เช่าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

ส่วนผม ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่มีร้านกัญชา ไม่มีผลิตภัณฑ์กัญชาของตัวเอง และไม่ได้ปลูกกัญชาแม้แต่ต้นเดียว มีแต่การวิจัย และรณรงค์ให้ประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ (เพราะแพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา) สามารถมีกัญชาเพื่อการพึ่งพาตัวเองได้ แต่ให้มีกฎหมายควบคุมในระดับเหล้าและบุหรี่ (รวมถึงการควบคุมเรื่องเด็กและเยาวชน) และไม่ต้องกลับไปเป็นยาเสพติดอีก

ผมเดินต่อสู้เรื่องกัญชา ตั้งแต่ปี 2561 ในเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติที่มาจดทะเบียนในประเทศไทย แต่คนไทยกลับห้ามใช้เพราะอ้างว่าเป็นยาเสพติด จนกฎหมายเริ่มคลายล็อกเรื่องกัญชามาเป็นลำดับ

ผมได้มีส่วนเรียกร้องในเรื่องน้ำมันกัญชาให้กับแพทย์พื้นบ้าน ทวงคืนตำรับยาไทยที่เข้ากัญชาซึ่งห้ามใช้มาหลายสิบปี จนกระทั่งได้ต่อสู้ด้วยหลักฐานงานวิจัยในเวทีต่างๆ และมีส่วนที่ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ซึ่งมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน) มีมติให้ต้นกัญชาไม่เป็นยาเสพติดอีก ยกเว้นสารสกัดกัญชาที่มีสาร THC เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก

ผมได้ถูกเชิญไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ได้มีโอกาสแลกทัศนะความเห็นแตกต่าง จนคณะกรรมาธิการฯเสียงข้างมาก (จากแทบทุกพรรคการเมือง) มีทิศทางในการควบคุมช่อดอกกัญชาในระดับที่เข้มกว่าเหล้าและบุหรี่แต่ไม่ถึงขั้นเป็นยาเสพติด 

เนื่องด้วยกัญชาเสพติดยากกว่าและมีประโยชน์กว่าเหล้าและบุหรี่อย่างมหาศาล และข้อสำคัญที่สุดประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ด้วยเพราะอคติ ข้อบ่งใช้ที่คับแคบ ความยุ่งยากในการจ่ายยา และผลประโยชน์ทับซ้อนของแพทย์ ฯลฯ

ผมได้ทำความเข้าใจและชี้แจงถกเถียงเรื่องกัญชาตามวาระอันสมควรในสภาผู้แทนราษฎร จนสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างกฎหมายของคณะกรรมาธิการฯ ​เสียงข้างมากทุกมาตรามาเป็นลำดับ แต่ที่น่าเสียดายคือการพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ไม่แล้วเสร็จในสภาผู้แทนราษฎรสมัยนี้

ผมได้เห็นนักการเมืองที่พยายามผลักดันให้มีกฎหมายกัญชา กัญชง ในการใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเห็นด้วย แก้ไข หรือไม่เห็นด้วย พวกผมที่อยู่ในคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากก็จะยอมรับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นกลไกตามครรลองของฝ่ายนิติบัญญัติ 

ดังนั้นผมขอขอบคุณพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญในการเป็นองค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ พรรคภูมิใจไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคพลังท้องถิ่นไทย, พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคพลังธรรมใหม่, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน

เพราะถ้าเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยก็ต้องลงมติให้แก้ไข เพื่อให้มีกฎหมายออกมาเพื่อใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ แต่นักการเมืองจำนวนไม่น้อยของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น กลับใช้วิธีเตะถ่วงกฎหมาย และไม่เข้าเป็นองค์ประชุมทำให้สภาล่มครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อไม่ให้มีกฎหมายใช้ประโยชน์และควบคุมกัญชาอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตามในขณะที่กฎหมายล่าช้าถูกเตะถ่วง จนสภาผู้แทนราษฎรกำลังจะหมดวาระลงในอีกไม่นานนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ประกาศให้ช่อดอกกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม 

ซึ่งผู้ที่จะขาย ให้ หรือแปรรูป ช่อดอกกัญชา จะต้องได้รับใบอนุญาตทุกราย และได้นำการควบคุมที่อยู่ในร่างกฎหมายกัญชา กัญชงของคณะกรรมาธิการฯ มาประยุกต์ทั้งหมดในเงื่อนไขของผู้ได้รับอนุญาต ซึ่งรวมถึง การห้ามขายและให้เด็ก เยาวชน สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร, ห้ามขายในศาสนสถาน ห้ามขายออนไลน์ ห้ามขายผ่านเครื่องขาย ห้ามโฆษณา ห้ามสูบในสถานที่ได้รับใบอนุญาตยกเว้นโดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ (ในสถานพยาบาลตามกฎหมาย) ฯลฯ

''สุชาติ ชมกลิ่น'' รมต.กระทรวงแรงงาน ผู้แก้ปัญหาแรงงานไทยใน วิกฤติโควิด-19 พร้อมเปิดตลาดแรงงานสู่ ซาอุดิอาระเบีย ในรอบหลายสิบปี

"สุชาติ ชมกลิ่น" เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ปรากฏตัวหน้าสื่อค่อนข้างบ่อย  ทั้งในบทบาทหนึ่งในการเป็นคีย์แมนของพรรคพลังประชารัฐ และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน  โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ระบาดโควิด - 19 นอกจากกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องทำงานหนักเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสแล้ว ในส่วนของปัญหาปากท้อง และผลกระทบที่เกิดกับแรงงานในและนอกระบบ ทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว ก็เป็นโจทย์ใหญ่ให้กระทรวงแรงงานต้องเร่งแก้ไข เยียวยาผลกระทบไม่แพ้กัน

สุชาติ  ชมกลิ่น หรือ "เสี่ยเฮ้ง" เริ่มผันตัวจากนักธุรกิจ เข้าสู่วงการเมืองท้องถิ่นด้วยการเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เขตอำเภอเมืองชลบุรี ก่อนเข้าสู่การเมืองสนามใหญ่ ด้วยการเป็น ส.ส.สมัยแรกกับพรรคบ้านใหญ่ชลบุรีอย่าง "พลังชล" ในปี 2554  และได้รับเลือกเป็นส.ส.เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันในปี 2562 สังกัดพรรคพลังประชารัฐ กระทั่งคล้อยหลังเลือกตั้งหนึ่งปี  เดือนสิงหาคม 2563  "สุชาติ" จึงมีโอกาสเข้ามารับตำแหน่ง "จับกัง 1" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

ด้วยบุคลิกที่เป็น "คนตรง - ขาลุย" เป็นนักปฏิบัติ โดยเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ เปรียบตัวเองเป็น "ปลาเป็น" จึงต้องว่ายทวนน้ำ ไม่ปล่อยตัวไหลไปตามน้ำเหมือนปลาที่ตายแล้ว  ประกอบกับตัวเองมีความผูกพันกับผู้ใช้แรงงานในฐานะที่เคยเป็นผู้ใช้แรงงานมาก่อน จึงทำให้เข้าใจหัวอกคนใช้แรงงาน ซึ่งหัวใจสำคัญในการดำเนินนโยบายของ "สุชาติ"  คือการทำให้แรงงานมีหลักประกัน มีกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย ที่สามารถปกป้อง คุ้มครองให้ได้รับความเป็นธรรม

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีแรงงานคนนี้ ยังเข้ามาบูรณาการข้อมูล และระบบการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้การกำกับของกระทรวง ตั้งเป็นศูนย์อำนวยการแรงงานแห่งชาติ ขับเคลื่อนทุกเรื่อง ในทุกมิติของกระทรวงแรงงาน ทั้งการพัฒนาฝีมือแรงงาน การจัดหางาน การจัดสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ถูกจุดและรวดเร็ว

ยกตัวอย่างช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังมีการร้องเรียนจากผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารคนไทย ให้ตรวจสอบคนต่างชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจไม่ถูกกฎหมาย ใช้นอมินีคนไทยจดทะเบียนตั้งบริษัทแย่งอาชีพคนไทย และจ้างลูกจ้างชาวต่างชาติเป็นพนักงาน

ชนะกฎธรรมชาติ ไม่ต้องมีแม่!! นักวิทย์ฯ ญี่ปุ่นให้กำเนิดหนู จาก 'พ่อ+พ่อ' ครั้งแรก!! เพาะไข่จากตัวผู้ คาดอีกสิบปี ทำกับคนได้

(9 มี.ค.66) เพจ 'เดือดทะลักจุดแตก' โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'วิทยาศาสตร์ มีไว้เพื่อเอาชนะธรรมชาติ?'

ชายกับชาย ให้กำเนิดบุตรธิดาได้ ... มันเกิดขึ้นแล้วกับเผ่าพันธุ์หนู และไม่แน่ มันอาจเกิดกับมนุษย์ในอีกมิช้านานเกินรอ

คาสึฮิโกะ ฮายาชิ และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยคิวชู ของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการทดลอง เพาะหนูจากเซลล์ไข่ของตัวผู้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top