Monday, 9 June 2025
ค้นหา พบ 48649 ที่เกี่ยวข้อง

สิ้นชีพต่างแดน!! ‘แรงงานไทย’ เสียชีวิตปริศนาในฟาร์มหมู เกาหลีใต้ นายจ้างกลัวความผิด จัดฉากอำพลางศพทิ้งบนภูเขา

(8 มี.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน เพจเฟซบุ๊ก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ รายงานพบศพแรงงานไทย วัย 60 ปี ในฟาร์มหมู ถูกนำไปทิ้งเชิงเขาตามรายงานของสถานีตำรวจโพชอนเมื่อวันที่ 6 และวันที่ 4.03.2023 คนงานไทยอายุ 60 ปี ถูกพบเสียชีวิตที่ฟาร์มหมูบนเนินเขาในยองบุก-มยอน เมืองโพชอน จุดที่พบศพอยู่บริเวณเชิงเขาห่างจากที่พักประมาณ 200 เมตร

ในวันที่ 4/03 ตำรวจได้รับแจ้งจากแรงงานไทยอีกคนว่าไม่พบเพื่อนคนไทยชื่อ นาย B (ชื่อสมมติ) ทำงานที่ฟาร์มหมูแห่งนี้มาเกือบ 10 ปี เป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย

ตำรวจพบศพชายสัญชาติไทยนาย B อายุ 60 ปี บนเนินเขาใกล้กับฟาร์มหมูในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน 4/03 ตำรวจได้ออกหมายจับเจ้าของฟาร์มหมููชื่อนาย A (นามสมมติ) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจกล้องที่เกิดเหตุพบรถไถของเจ้าของฟาร์ม A กำลังเคลื่อนที่อยู่ในบริเวณนั้นคาดว่านำศพไปทิ้ง ตำรวจเชื่อว่านาย A อาจลงมือก่อเหตุเพราะกลัวว่าเขาจ้างคนเข้าเมืองผิดกฎหมายทำงาน กลัวถูกค้นพบ และกำลังสืบสวนค่าจ้างและสภาพการทำงานของฟาร์มต่าง ๆ

นอกจากนี้ ตำรวจยังได้สอบสวนลูกชายเจ้าของฟาร์มว่ามีส่วนร่วมในการก่อหตุหรือไม่ ข่าวในวันที่ 7/03 ผลการชันสูตรโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ไม่พบข้อสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมในร่างกายของแรงงานไทย องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจและกระทรวงการจ้างงานและแรงงานกำลังตรวจสอบ สภาพแวดล้อมการทำงานโดยรวมและการค้างค่าจ้างของฟาร์ม

อีกประเด็น คือ ความเป็นอยู่ของแรงงาน นอนข้างเล้าหมูกลิ่นเหม็น ชื้น และห้องพักไม่ถูกสุขอนามัยขนาด 3X3 มีขยะ ผู้เสียชีวิตทำงานที่ฟาร์มนี้มา 10 ปี ดูแลหมู 1,000 ตัวกวาดล้างมูลสุกรหรือดูแลสุกรในตอนกลางคืน ทำวันละหลายชั่วโมง และผู้เสียชีวิตติดต่อทางบ้านที่ประเทศไทยบ่อย แต่ในชีวิตจริงเขาปลีกตัวอยู่คนเดียวภายในห้องนอน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น

ส่วนประเด็นสาเหตุการเสียชีวิต 1. ฆาตกรรม /น่าจะถูกตัดออก ผลนิติออก 7/03 ไม่มีร่องรอย 2.ทิ้งศพ หนีความผิดจ้างแรงงานเถื่อน 3.ความเป็นอยู่ ทำให้เสียชีวิต (อาทิ หนาว เชื้อโรค อากาศกลิ่น ไม่ถูกสุขอนามัย) 4.ค้างค่าจ้างหรือไม่ และ 5.ประเด็นอื่น ๆ รอตำรวจสรุปหาสาเหตุการเสียชีวิต

ขี่ช้างหลบไป!! เท่เกิน! เด็กหญิง ป.4 เมืองตรัง ขี่ม้าไปโรงเรียน ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีสมาธิ-การเรียนดีขึ้น

เด็กหญิงชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านทุ่งส้มป่อย อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ขี่ม้าไปเรียนหนังสือโดยมีคุณพ่อคอยขี่ม้าอีกตัวตามประกบ นอกจากจะประหยัดค่าน้ำมันแล้วยังเป็นการออกกำลังกายและฝึกสมาธิได้อีกทางหนึ่งด้วย ด้านผู้อำนวยการโรงเรียนเผยหลังเลี้ยงม้าน้องกลายเป็นจิตอาสาและเด็กเรียน พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

วันที่ 8 มี.ค.66 ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ตรัง รายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 1 ต.ละมอ อ.นาโยง จ.ตรัง พบ ด.ญ.สุกัลย์ชนก ชัยทอง หรือ น้องหยก อายุ 10 ขวบนักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านทุ่งส้มป่อย อ.นาโยง จ.ตรัง กำลังขึ้นขี่ม้าลูกผสมสีขาวหม่น อายุประมาณ 6 ปีเพื่อไปเรียนหนังสือ โดยระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนเกือบ 3 กิโลเมตร มีคุณพ่อคือนายจิระพงษ์ ชัยทอง อายุ 49 ปี ขี่ม้าสีน้ำตาล-ดำ คอยตามประกบ เพื่อระวังรถเวลาข้ามถนนให้กับลูกสาว สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกในจังหวัดตรังที่ขี่ม้าไปโรงเรียนได้อย่างแคล่วคล่อง ว่องไว โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ขี่ม้าถึงโรงเรียนแล้วและเมื่อเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จแล้วคุณพ่อของน้องหยก จะพาม้าทั้งสองตัวกลับบ้าน ส่วนช่วงเย็นรถเยอะกลัวว่าไม่ปลอดภัยก็จะขับรถมารับน้องหยกแทน

น้องหยก เริ่มขี่ม้าไปโรงเรียนประมาณ 1 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ขี่มาทุกวัน เนื่องจากคุณพ่อไม่ว่างตามมารับมาส่ง แต่หากมีเวลาคุณพ่อก็จะให้น้องหยกขี่ม้ามาโรงเรียนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับม้า ประหยัดค่าน้ำมันและได้ออกกำลังกายยามเช้า โดยตลอดสองข้างทาง มีชาวบ้านให้ความสนใจ แห่บันทึกภาพและชื่นชมในความสามารถที่เกินตัวของน้องหยกตลอดทางและที่โรงเรียน น้องหยกกลายเป็นฮีโร่ของเพื่อนๆ ที่ทุกคนต่างอยากจะขี่ม้า โชว์ความเท่เหมือนอย่างน้องหยกบ้าง

สำหรับม้าลูกผสมทั้งสองตัวนี้เจ้าของคือคุณพ่อของน้องหยก ซื้อมาจาก จ.กาญจนบุรี เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยตัวแรกสีน้ำตาล-ดำ ชื่อซาร่า ซื้อมาในราคา 180,000 บาท ส่วนตัวสีขาวหม่นชื่อจัสติน ราคา 100,000 บาท เป็นม้าเพศเมียทั้งสองตัว อายุประมาณ 6 ปี นิสัยเชื่องมาก ไม่ดุร้าย อ่อนโยน โดยหลังซื้อม้ามาเลี้ยงเพิ่มอีก 2 ตัว น้องหยกก็ตั้งใจหัดขี่ม้าเรื่อยมา จนคุณพ่อวางใจและให้ขี่ม้ามาโรงเรียนได้ โดยน้องหยกยังทำหน้าที่ตัดหญ้าให้ม้า ป้อนหญ้าม้า และอาบน้ำให้ม้า จนกลายเป็นความรักความผูกพัน สมใจคุณพ่อที่อยากให้ลูกสาวทั้งสามคน มีสัก 1 คนที่ชื่นชอบม้าเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกับตน ซึ่งที่บ้านของน้องหยก มีม้าทั้งหมด 4 ตัวเป็นม้าพันธุ์พื้นเมือง 2 ตัว และม้าลูกผสม 2 ตัว และน้องหยกขี่ม้ามาโรงเรียนได้ทั้งสองตัวคือจัสตินกับซาร่า

โดยพบว่าหลังจากที่น้องหยกได้ขี่ม้าและคลุกคลีอยู่กับม้าแล้ว ทำให้นิสัยของน้องเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากลูกคนสุดท้องที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ร้องไห้บ่อย กลายเป็นเด็กเรียน ใจเย็น มีสมาธิ มีจิตอาสาสูง ร่าเริงและกล้าแสดงออกมากขึ้น โดยพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

นายจิระพงษ์ ชัยทอง คุณพ่อของน้องหยก กล่าวว่า ม้าสีขาวชื่อจัสติน ส่วนสีน้ำตาลชื่อซาร่า ส่วนลูกสาวฝึกขี่ม้ามาปีกว่าแล้ว ซึ่งลูกสาวเห็นตนเลี้ยงและดูเป็นตัวอย่าง ต่อมาจึงหัดขี่เองโดยขี่ไปโรงเรียนมานานเป็นปีแล้ว ซึ่งคุณพ่อต้องตามประกบ ส่วนสาเหตุที่น้องชอบขี่ม้าคงมาจากสายเลือด โดยระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณ 2 กิโลกว่า แต่ขี่ไม่ทุกวันเพราะนอกจากจะประหยัดแล้ว เด็กยังได้ออกกำลังกายไปด้วย โดยมีชาวบ้านชอบและสนับสนุนกันทุกคน ซึ่งเวลาตนไม่อยู่ น้องก็จัดการเองหมด

ส่วน ด.ญ.สุกัลย์ชนก ชัยทอง หรือน้องหยก กล่าวว่า ที่ชอบขี่ม้าเพราะมันคุ้นและน่ารักดี ซึ่งตนก็ต้องเลี้ยงม้าด้วยการอาบน้ำและป้อนหญ้าให้กินด้วย โดยตัวสีขาวที่ขี่ชื่อจัสติน ซึ่งการขี่ม้าทำให้ได้ออกกำลังกายและประหยัดค่าใช้จ่ายไปด้วย ชาวบ้านเห็นแล้วขอถ่ายรูปเยอะมาก ซึ่งจะขี่มามาโรงเรียนนานเท่าไหร่นั้นไม่แน่ใจ แต่ชอบ โดย 1 อาทิตย์จะขี่ม้ามาโรงเรียน 2 ครั้ง ซึ่งตอนแรกก็กลัว แต่ตอนนี้มั่นใจขึ้นมากแล้ว
 

นับถอยหลัง 'โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่' อีกตำนานเบอร์ 9 ของลิเวอร์พูล

ท่ามกลางกระแสซึ่งดูจะไม่ยอมลดราวาศอกลงง่าย ๆ กับศึกแห่งศักดิ์ศรีของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คู่ระหว่าง 'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด' กับ 'ลิเวอร์พูล' ที่ตามสำนวนดั้งเดิมของเกาะอังกฤษเรียกว่าสงคราม 'Red Heat' ก่อนแปลงมาเข้ากับปากคนไทยว่า 'ศึกแดงเดือด' นับเป็นตำนานมหากาพย์แห่งสีเสื้อนับเกินร้อยปี

ผลการแข่งขันออกมาอย่างไรผมไม่ขอขยายต่อ

แต่สำหรับเหล่า 'เธอะ ค็อป' แล้ว มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจมากกว่า เพราะไม่กี่วันก่อนหน้า ผู้เล่นหมายเลข 9 คนปัจจุบันของสโมสร 'โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่' (Roberto Firmino) เลือกจะไม่ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลหลังจากจบฤดูกาลนี้ โดยเปิดเผยการตัดสินใจผ่านตัวแทนของเขาเอง ใจความว่า

"ผมมีเวลาของผม และมันก็ถึงเวลาที่จะต้องไป กับลิเวอร์พูลนั้นช่างเป็นช่วงที่ยิ่งใหญ่ งดงาม และประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตของผม ร่วมกับผู้จัดการทีม เพื่อนร่วมงาน กับพวกเขาทั้งหมดนั่น"

ปฏิกิริยาต่อการเอ่ยลาของบ๊อบบี้ครั้งนี้ แสดงออกให้เห็นจากทุกมุมของอัฒจันทร์แอนฟิลด์ ทันทีที่เขาย่างเท้าลงเหยียบสนามหญ้า และค่ำคืนนั้นเขายังปิดสกอร์ส่งท้ายด้วยรอยยิ้มอันแสนมีความสุขที่สุดครั้งหนึ่งเช่นที่เห็นกันตลอดมา

"หลังจากเรายิงประตูที่ห้าได้ ผมหันมองไปที่ม้านั่งสำรองเพื่อคุยกับผู้เล่นที่ต้องการอยากที่จะทำประตูต่อไปให้กับทีมในค่ำนี้ และเฟอร์มิโน่ก็พูดขึ้นมาว่า 'ผมจะลงครับ ผมต้องการทำประตู' จากนั้นไม่นานเขาได้ในที่สุด" เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอดกุนซือจากเยอรมันกล่าวหลังเกมแดงเดือดอันน่าจดจำ

เชื่อว่าแฟนบอล 'ลิเวอร์พูล' วันนี้ส่วนใหญ่จะรู้สึกผูกพันกับบ๊อบบี้ เฟอร์มิโน่ เพราะเขาคือทุกอย่างของทีม ทุกครั้งที่ลงสนามเขาคือคนสร้างรอยยิ้มให้แฟนบอลได้อยู่เสมอ แต่หลังจากนี้ไป คงต้องเป็นผู้เล่นคนอื่นที่จะลงมาทำงานหนักแทนเขา

ครั้งหนึ่งคล็อปป์เคยพูดถึง 'โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่' ไว้อย่างจับใจ "...ทีมฟุตบอลก็เหมือนวงออร์เคสตรา คุณต้องการคนที่แตกต่าง เพื่อเล่นเครื่องดนตรีที่แตกต่างกัน บางชนิดดังกว่า บางชนิดดังไม่มาก แต่ทั้งหมดมีความสำคัญต่อจังหวะของเรา และสำหรับผู้เล่นอย่างบ๊อบบี้ เขาสามารถเล่นเครื่องได้ถึง 12 ชิ้นในวง!"

"...เป็นเรื่องปกติที่สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวผู้เล่นสัญญาหมดลง และผู้เล่นเองได้ตัดสินใจลงไปแล้ว เราก็แค่ต้องเคารพต่อสิ่ง ๆ นั้น และค่ำนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะพอทราบมาบ้างแล้ว เขาจึงได้รับการต้อนรับอันแสนยอดเยี่ยม และประตูที่เขาทำคือประตูที่สนามแห่งนี้ต้องการมากที่สุด และอยากจะเห็นมากที่สุด" เจอร์เก้นพูดถึงนักเตะซึ่งเขามอบความรักให้ราวน้องชายร่วมอุทร
 

คนไทยเท่าเทียมกัน!! ‘ก้าวไกล’ เปิด 10 นโยบายความเท่าเทียมทางเพศ สานต่ออุดมการณ์ 'อนาคตใหม่' สร้างสังคมคนเท่ากัน

‘ก้าวไกล’ เปิดนโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ เนื่องในวันสตรีสากล ชู คำนำหน้านามตามความสมัครใจ - ผ้าอนามัยไม่เก็บ VAT แจกฟรีในโรงเรียน - ตำรวจหญิงทุกสถานี - สมรสเท่าเทียม - ยุติตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ รับยาฟรี ทุก รพ.สต. - ศูนย์เลี้ยงเด็กใกล้บ้าน ห้องปั๊มนมในที่ทำงาน ด้าน ‘พรรณิการ์’ ชี้ภารกิจสร้างคนเท่ากันของอนาคตใหม่ยังไม่จบ หวัง ‘ก้าวไกล’ สานต่อสำเร็จ

(8 มี.ค. 66) พรรคก้าวไกล ร่วมกับ ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) จัดกิจกรรม “กาก้าวไกล เพศไหนก็คนเท่ากัน” เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคมของทุกปี โดยปีนี้ เครือข่าย International Women’s Day ได้กำหนดรูปแบบการจัดงานที่มีชื่อว่า ‘การโอบรับอย่างเท่าเทียม’ (Embrace Equity)

กิจกรรมเริ่มต้น โดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวเปิดตัวนโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ยืนยันพร้อมสานต่อภารกิจของพรรคอนาคตใหม่ ในการสร้างประเทศไทยที่ ‘คนไทยเท่าเทียมกัน ประเทศไทยเท่าทันโลก’ โดย 10 นโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศของพรรคก้าวไกล ซึ่งเรียงตามช่วงอายุของคนคนหนึ่งตั้งแต่เกิดจนแก่ ประกอบด้วย

1. ผ้าอนามัยไม่เก็บ VAT แจกฟรีในโรงเรียน

ด้วยการยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในสินค้าหมวดหมู่ผ้าอนามัยและของใช้สิ้นเปลืองสำหรับวัยเจริญพันธุ์ และแจกผ้าอนามัยฟรีในสถานศึกษาและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนผ้าอนามัยและความจนประจำเดือน (Period Poverty) โดยเฉพาะสำหรับผู้มีประจำเดือนในวัย 10-25 ปี

2. ปฏิรูปการสอนเพศศึกษา ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ

ด้วยการออกแบบหลักสูตรใหม่ ให้การสอนเรื่องเพศศึกษา (Sex education) ให้ความสำคัญกับค่านิยมต่างๆ เช่น ความเข้าใจเรื่องความยินยอม (consent) ความหลากหลายทางเพศ และสอนเรื่องทางกายภาพอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เยาวชนเข้าใจความสำคัญของการป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่ประสงค์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

3. ตำรวจหญิงทุกสถานี

ด้วยการเพิ่มจำนวนตำรวจหญิง เพื่อให้อย่างน้อยมีเพียงพอต่อการมีพนักงานสอบสวนหญิงประจำทุกสถานีตำรวจ เช่น เพิ่มจำนวนรับให้สูงขึ้น เปิดรับจากบุคคลภายนอกมากขึ้น พิจารณากลับมาเปิดรับนักเรียนนายร้อยหญิง เนื่องจากสถิติของกระทรวงยุติธรรม พบว่าไม่ต่ำกว่า 75% ของผู้หญิงไทยที่เคยถูกคุกคามทางเพศ เลือกที่จะไม่แจ้งความ เหตุผลส่วนหนึ่งคือความไม่สบายใจ เพราะผู้เสียหายสะดวกใจกับพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้หญิงมากกว่า นอกจากนี้ ต้องออกแบบกระบวนการอบรมและประเมินตำรวจทุกคนไม่ว่าเพศใด ที่รับผิดชอบคดีคุกคามทางเพศ ให้สามารถดำเนินการด้วยวิธีการและบรรยากาศที่เข้าใจถึงความละเอียดอ่อนของคดีและสนับสนุนให้เหยื่อรู้สึกปลอดภัยในการให้ข้อมูลในกระบวนการยุติธรรมด้วย

4. ปรับปรุงกฎหมายต่อต้านความรุนแรงทางเพศ

ด้วยการแก้ประมวลกฎหมายอาญา และกฎ ก.พ. เพื่อกำหนดนิยามใหม่ของการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ การกระทำอนาจาร และการกระทำชำเราเสียใหม่ เพื่ออุดช่องว่างของกฎหมายให้ครอบคลุมปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมากขึ้น
 

ทางรอดใหม่ของประเทศ!! ‘อิหร่าน’ โวพบแหล่งลิเทียม ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก คาดมีมากถึง 8.5 ล้านตัน เป็นรอง ‘ชิลิ’ ที่มีอยู่ 9.2 ล้านตัน

อิหร่านประกาศพบแหล่งลิเทียม (Lithium) ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกในจังหวัดทางตะวันตก ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณลิเทียมสำรองอยู่มากถึง 8.5 ล้านตัน

สถานีโทรทัศน์แห่งชาติอิหร่านอ้างคำแถลงของ โมฮัมหมัด ฮาดี อาห์มาดี เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม เหมือง และพาณิชย์เมื่อวันเสาร์ (4 มี.ค.) ที่ผ่านมาว่า “เราพบแหล่งลิเทียมที่จังหวัดฮาเมดัน (Hamedan) ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งแรกในอิหร่าน”
 

ลิเทียมซึ่งได้ฉายาว่า “ทองคำสีขาว” (white gold) คือหนึ่งในแร่หายาก หรือ “แรร์เอิร์ธ” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ไฟฟ้า

 

ทั้งนี้ หากตัวเลข 8.5 ล้านตันของกระทรวงอุตสาหกรรมอิหร่านได้รับการยืนยัน จะทำให้สาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้กลายเป็นเจ้าของแหล่งลิเทียมใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจาก “ชิลี” ซึ่งมีปริมาณลิเทียมสำรองอยู่ 9.2 ล้านตัน ตามข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS)

ลิเทียมเป็นวัสดุจำเป็นที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในรถยนต์ EV รวมถึงแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่สามารถชาร์จซ้ำได้ โดยในปีที่แล้วราคาของโลหะหายากชนิดนี้พุ่งสูงขึ้นมากตามความต้องการชิ้นส่วนรถยนต์ EV ในตลาดที่เพิ่มขึ้น
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top