Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

ครูไทยเก่งรอบด้าน!! 'ตรีนุช' ตั้งเป้า ‘อบรมพัฒนา-เพิ่มทักษะ’ ครูไทย หวังลดความเหลื่อมล้ำ-สร้างโอกาสให้ผู้เรียน

(7 มี.ค. 66) น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ใกล้ถึงเวลาที่รัฐบาลจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งในปี 2566 นี้แล้ว ซึ่งในส่วนของงานการศึกษาที่ตนอยากฝากให้มีการทำงานอย่างต่อเนื่องแม้จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน โดยเฉพาะนโยบายการสร้างโรงเรียนคุณภาพด้วยการสร้างเครือข่ายโรงเรียนในพื้นที่ของโรงเรียนขนาดเล็ก อีกทั้งวางแผนเร่งดำเนินการคืนอัตรากำลังผู้บริหารและครูโรงเรียนขนาดเล็กให้เพื่อให้ทันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 นี้ด้วย โครงการอาชีวะอยู่ประจำเรียนฟรี มีงานทำ เพราะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างโอกาสให้แก่ผู้เรียนครบทุกมิติอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งนโยบายโรงเรียนคุณภาพและโครงการอาชีวะอยู่ประจำถือเป็นนโยบายที่ตอบโจทย์เรื่องดังกล่าวอย่างดีที่สุด รวมถึงการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนไปสู่ศตวรรษที่ 21

ต่อคำถามว่า ขณะนี้มีสิ่งใดที่กังวลและยังอยากดำเนินการให้สำเร็จหรือไม่ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ยังมีอยู่แน่นอน ซึ่งก็คือประเด็นเรื่องการพัฒนาครู เพราะนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้ไปสู่การเรียนรู้ในโลกศตวรรษที่ 21 รวมถึงการเรียนการสอนผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ด้วย Active Learning ซึ่งครูผู้สอนจะต้องเติมเต็มทักษะเหล่านี้ตามผู้เรียนไปด้วย ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ครูได้รับการพัฒนาในเรื่องนี้อย่างตลอดเวลา เพราะการพัฒนาครูตนไม่อยากมีการพัฒนาแล้วจบ ๆ ไปแต่อยากให้มีการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นตนมองว่าในระยะยาวอาจศธ.อาจจะต้องมีหน่วยงานกลางหรือศูนย์พัฒนาครูขึ้น เพื่อนำครูเข้ามาอบรมพัฒนาเติมเต็มความรู้ด้านการสอนไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านดิจิทัลและภาษา โดยเรื่องการตั้งหน่วยงานกลางพัฒนาครูนั้นมีตัวอย่างของประเทศสิงค์โปรที่มีศูนย์พัฒนาครูทุกรูปแบบ ซึ่งทำได้ดีและครูประเทศสิงค์โปรมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ หากจะมีการตั้งศูนย์พัฒนาครูขึ้นจะต้องปรับโครงการ ศธ.หรือไม่นั้น ตนมองว่าก็เป็นโจทย์หนึ่งในอนาคตที่อาจจะเป็นเช่นนั้นแต่เราจะกำหนดขอบเขตการปรับโครงสร้างได้มากน้อยแค่ไหนก็คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการสานต่อไป

ครูไทยเก่งรอบด้าน!! 'ตรีนุช' ตั้งเป้า ‘อบรมพัฒนา-เพิ่มทักษะ’ ครูไทย หวังลดความเหลื่อมล้ำ-สร้างโอกาสให้ผู้เรียน

(7 มี.ค. 66) น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ใกล้ถึงเวลาที่รัฐบาลจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งในปี 2566 นี้แล้ว ซึ่งในส่วนของงานการศึกษาที่ตนอยากฝากให้มีการทำงานอย่างต่อเนื่องแม้จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน โดยเฉพาะนโยบายการสร้างโรงเรียนคุณภาพด้วยการสร้างเครือข่ายโรงเรียนในพื้นที่ของโรงเรียนขนาดเล็ก อีกทั้งวางแผนเร่งดำเนินการคืนอัตรากำลังผู้บริหารและครูโรงเรียนขนาดเล็กให้เพื่อให้ทันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 นี้ด้วย โครงการอาชีวะอยู่ประจำเรียนฟรี มีงานทำ เพราะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างโอกาสให้แก่ผู้เรียนครบทุกมิติอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งนโยบายโรงเรียนคุณภาพและโครงการอาชีวะอยู่ประจำถือเป็นนโยบายที่ตอบโจทย์เรื่องดังกล่าวอย่างดีที่สุด รวมถึงการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนไปสู่ศตวรรษที่ 21

ต่อคำถามว่า ขณะนี้มีสิ่งใดที่กังวลและยังอยากดำเนินการให้สำเร็จหรือไม่ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ยังมีอยู่แน่นอน ซึ่งก็คือประเด็นเรื่องการพัฒนาครู เพราะนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้ไปสู่การเรียนรู้ในโลกศตวรรษที่ 21 รวมถึงการเรียนการสอนผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ด้วย Active Learning ซึ่งครูผู้สอนจะต้องเติมเต็มทักษะเหล่านี้ตามผู้เรียนไปด้วย ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ครูได้รับการพัฒนาในเรื่องนี้อย่างตลอดเวลา เพราะการพัฒนาครูตนไม่อยากมีการพัฒนาแล้วจบ ๆ ไปแต่อยากให้มีการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นตนมองว่าในระยะยาวอาจศธ.อาจจะต้องมีหน่วยงานกลางหรือศูนย์พัฒนาครูขึ้น เพื่อนำครูเข้ามาอบรมพัฒนาเติมเต็มความรู้ด้านการสอนไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านดิจิทัลและภาษา โดยเรื่องการตั้งหน่วยงานกลางพัฒนาครูนั้นมีตัวอย่างของประเทศสิงค์โปรที่มีศูนย์พัฒนาครูทุกรูปแบบ ซึ่งทำได้ดีและครูประเทศสิงค์โปรมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ หากจะมีการตั้งศูนย์พัฒนาครูขึ้นจะต้องปรับโครงการ ศธ.หรือไม่นั้น ตนมองว่าก็เป็นโจทย์หนึ่งในอนาคตที่อาจจะเป็นเช่นนั้นแต่เราจะกำหนดขอบเขตการปรับโครงสร้างได้มากน้อยแค่ไหนก็คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการสานต่อไป

ผู้ใช้ไฟบ้านไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน เฮ!! ครม.เคาะมาตรการช่วยค่าไฟ นาน 4 เดือน

ครม. อนุมัติ 3.1 พันล้านบาท ให้ กฟน.และ กฟภ.สำหรับส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟบ้านไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ประจำเดือนมกราคม - เมษายน 2566

(7 มี.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติวงเงิน 3,191,740,000 ล้านบาท ให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม - เมษายน 2566 เพื่อให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยเป็นกรอบวงเงินของการไฟฟ้านครหลวงจำนวน 517,950,000 บาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจำนวน 2,673,790,000 บาท เพื่อบรรเทาผลกระทบในการลดภาระค่าครองชีพให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นกลุ่มเปราะบาง

ปตท. ติดอันดับมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด และเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าสูงสุดกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก จากการประเมินของ Brand Finance Global บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก ตอกย้ำศักยภาพการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ

Brand Finance Global ได้ประเมิน ปตท. จากการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมัน รวมถึงการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมและฟื้นฟูการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผลของการดำเนินงานที่เด่นชัดดังกล่าว ส่งผลให้เกิดมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งทัดเทียมแบรนด์ในระดับสากล

Mr. Alex Haigh, Managing Director - Asia Pacific of Brand Finance กล่าวว่า อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้เข้าสู่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการใช้พลังงานทดแทนในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านพลังงานเห็นถึงความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยปรับกลยุทธ์สู่การดำเนินธุรกิจพลังงานครอบคลุมทุกมิติ บนพื้นฐานของการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

‘อรรถวิชช์’ ชูนโยบาย ‘ALL Service Center-ยกเลิกแบล็กลิสต์’ เน้น ‘สะดวก-รวดเร็ว-เท่าเทียม-เป็นธรรม’ เปิดโอกาสให้คนทำกิน

(7 มี.ค.66) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวบทเวทีเสวนาเครือเนชั่น เปิดนโยบายพรรคการเมืองที่จะผลักดัน ‘นวัตกรรมนำไทย เชื่อมโลก’ ว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเป็นพรรคใหม่ มีแนวคิดแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย เน้นเรื่องการแข่งขัน สร้างโอกาส พรรคอื่นส่วนใหญ่มีแนวคิดเน้นเรื่องรัฐสวัสดิการเท่าเทียม แต่พรรคชาติพัฒนากล้า เน้นเรื่องโอกาสที่เสมอภาค ไม่ว่าจะรวยหรือจน สามารถเข้าถึงโอกาสในการแข่งขันได้ จึงนำเสนอ ‘นวัตกรรมสร้างโอกาส’ 2 เรื่องสำคัญ เรื่องแรกคือ ALL Service Center ราชการ 1 คำขอ จบครั้งเดียว เพราะทุกวันนี้เราใช้ระบบ One Stop Service แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเวลาไปยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการหรือทำธุรกรรมกับรัฐ เกิดปัญหาล่าช้า ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน ประชาชนต้องวิ่งไปยื่นเรื่องตามหน่วยงานต่าง ๆ เอง จะเริ่มประกอบธุรกิจขอใบอนุญาตก็ยากลำบาก 

เราจึงเสนอนวัตกรรมนโยบาย ‘ALL Service Center ราชการ 1 คำขอ จบครั้งเดียว’ ยื่นเรื่องครั้งเดียววิ่งไปทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถติดตามเรื่องได้เหมือน แอปพลิเคชันส่งของ นวัตกรรมนี้จะช่วยเสริมให้การบริการภาครัฐสะดวกรวดเร็วขึ้น สร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้มากขึ้น สร้างการลงทุนกับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น

"สมมุติอยากจะเปิดโรงแรมโฮมสเตย์สปาเล็กๆ สักหนึ่งที่ ถ้าเป็นระบบเดิม ผู้ประกอบการจะต้องวิ่งไปหลายหน่วยงานเพื่อขอใบอนุญาต เช่น ขอใบอนุญาตประกอบโรงแรม ขอใบอนุญาตประกอบกิจการขายอาหาร ขอใบอนุญาตขายสุรา ใบอนุญาตประกอบกิจการสปา แต่ถ้าเป็นระบบ All Service Center ราชการ 1 คำขอ จบครั้งเดียว ยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องครั้งเดียว ระบบจะสามารถส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาได้ทันที สมรรถนะของรัฐมีความพร้อม ทั้งเรื่องกฎหมาย ความเข้าใจของประชาชน เทคโนโลยีที่ทั่วถึง สามารถทำให้นโยบายเกิดขึ้นได้จริง สร้างโอกาสให้คนประกอบธุรกิจได้สะดวกขึ้น" นายอรรถวิชช์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top