Saturday, 21 June 2025
ค้นหา พบ 48929 ที่เกี่ยวข้อง

‘กรณ์’ เสนอ รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ ชู ‘เศรษฐกิจเฉดสี’ เพิ่มโอกาส-สร้างรายได้ 5 ล้านล้านบาท

(9 ก.พ. 66) ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวในเวทีสัมมนา ‘อนาคตประเทศไทย Economic Drives เศรษฐกิจไทยสตาร์ทอย่างไรให้ก้าวนำโลก’ ว่า ก่อนจะไปสู่คำถามว่าเราจะสตาร์ตอย่างไรให้ก้าวนำโลก ตนขอเพิ่มคำถามว่าเราจะสตาร์ตอย่างไร ในขณะที่มีคนไทย ถือบัตรสวัสดิการคนจนถึง 14 ล้านคน เรามีคนติดแบล็กลิสต์บูโรถึง 6 ล้านชีวิต เรามีเอสเอ็มอีที่ไม่รู้จะไปต่อได้หรือไม่อีกเป็นจำนวนมาก คำตอบของปัญหาเหล่านี้คือ เราต้องรื้อโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลายเรื่อง ไทยเราจะเดินไปข้างหน้าพร้อมกันทุกคน 

นายกรณ์ ได้ยกตัวอย่าง สินค้าส่งออกยอดฮิตถือเป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยนของประเทศไทย คือรถยนต์ปิ๊กอัพ ที่มีการส่งออกเกือบ 1 ล้านคันต่อปี ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจะยกเลิกการใช้รถยนต์สันดาปแบบเดิมมาเป็นรถยนต์ EV ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องปรับรื้อ ซึ่งเขาไม่จำเป็นที่ต้องเริ่มจากศูนย์เขามีองค์ความรู้ และ supply chain ที่ถูกต้อง ประเทศไทยมีของดีเป็นจำนวนมากที่เป็นโอกาสของคนไทย ถึงเวลาที่ต้องรื้อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้ง อุตสาหกรรมพลังงาน, อุตสาหกรรมการเงิน, อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญ รื้อระบบราชการ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้า ได้นำเสนอมาตลอด

ส.ส.ก้าวไกล ส่อซบ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ หลังรับแนวทางพรรคเรื่องสถาบันฯ ไม่ได้

(9 ก.พ. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า ในวันศุกร์นี้ (10 ก.พ.) พรรคจะเริ่มคิกออฟการลงพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต กทม. ขณะที่กำลังรอเคาะรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขตอยู่ โดยการลงพื้นที่ดังกล่าว ผู้บริหารพรรคนำโดย นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค จะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคไปงานเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ ที่อาคารไปรษณีย์กลาง ย่านเจริญกรุง-บางรัก

แต่ที่น่าสนใจคือ ในรายชื่อที่ทางพรรคแจ้งกับสื่อมวลชน ปรากฏว่ามีชื่อ นายทศพร ทองศิริ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เขตราษฎร์บูรณะ-ทุ่งครุ ที่ยังไม่ลาออกจาก ส.ส.ก้าวไกล รวมอยู่ด้วย

โดยนายทศพร ให้สัมภาษณ์ว่า มีความรู้จักสนิทสนมกับนายวินท์ สุธีรชัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ลาออกจากพรรคก้าวไกล และปัจจุบันนายวินท์ ได้เข้าไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ทางนายวินท์ จึงได้ติดต่อให้ไปร่วมงานวันศุกร์นี้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เบื้องต้นยังมีคิวงานในพื้นที่ แต่ได้แจ้งกับพรรคว่าหากเคลียร์งานเสร็จทันก็จะไปร่วมด้วยแน่นอน เพราะตอนนี้ ในทางการเมือง ได้แยกทางกับพรรคก้าวไกลเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องการทำหน้าที่ ส.ส. จนถึงวันสุดท้ายของสภาฯ ชุดนี้ ซึ่งสาเหตุที่ออกจากก้าวไกล เพราะชัดเจนว่าแนวทางเรื่องสถาบันฯ กับตนเองไปด้วยกันไม่ได้

‘พิธา’ โชว์วิสัยทัศน์ ‘สร้างงาน-ซ่อมประเทศ’ เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสในการสร้างงาน

‘พิธา’ ร่วมวงถกนโยบายเศรษฐกิจพรรคการเมือง ชงแนวคิดกำหนดนโยบายต้อง ‘ถูกใจคนไทย-ตรงใจตลาดโลก’ ชู 'สร้างงาน-ซ่อมประเทศ' เปลี่ยนปัญหา-ความต้องการคนไทย เป็นอุตสาหกรรมใหม่-จ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง พุ่งเป้าเศรษฐกิจเติบโตควบคู่ลดเหลื่อมล้ำ

(9 ก.พ. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์พร้อมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในงานสัมมนา ‘อนาคตประเทศไทย Economic Drives เศรษฐกิจไทยสตาร์ทอย่างไรให้ก้าวนำโลก’ ซึ่งร่วมจัดโดยเครือโพสต์ทูเดย์และเนชั่น ให้ผู้นำพรรคการเมืองได้พูดถึงมุมมองของแต่ละพรรคที่มีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรค

พิธาเริ่มต้นการนำเสนอ โดยระบุว่าโจทย์ที่ได้รับมาวันนี้จากผู้จัดงาน คือเราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไรให้ตรงใจตลาดโลก แต่ในการนี้ตนต้องขอคิดต่าง ว่าคำถามที่ถูกต้อง คือเราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไรให้ตรงใจคนไทยและตลาดโลกไปพร้อมกัน เพราะที่ผ่านมาเรามีเศรษฐกิจที่ตรงใจตลาดโลกมามากแล้ว ทั้งของถูกและมีคุณภาพ แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าสิ่งนั้นต้องแลกมาด้วยการเสียสละของคนไทย

ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยที่ส่งออกข้าวเป็นอับดับ 1-3 ของโลกมาตลอด แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจน คิดเป็นถึง 66% หรือ 2 ใน 3 ของคนจนอยู่ในภาคการเกษตร จะมีประโยชน์อะไรกับการที่รายได้การท่องเที่ยวของประเทศก่อนโควิด สูงถึง 2 ล้านล้านบาท แต่ 74% กระจุกตัวอยู่แค่ใน 5 จังหวัดจากทั้งประเทศ และจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ประเทศไทยมีภาคธนาคารที่เข้มแข็งเป็นอันดับที่ 21 ซึ่งถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยพุ่งทะยานไปถึง 89% ของจีดีพีแล้ว

พิธากล่าวต่อไปว่า ธนาคารโลกล่าสุดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโตช้าที่สุดในรอบ 30 ปี นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลไทยต้องออกแบบนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จะเอาแต่พึ่งการส่งออก การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราต้องการวันนี้คือวิธีคิด ซึ่งพรรคก้าวไกลมีกระบวนการวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมาย ที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายอย่างเป็นระบบ พรรคก้าวไกลเริ่มต้นจากการวิเคราะห์หาจุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-ภัยคุกคาม (SWOT analysis) ที่ทำให้เราได้เห็นภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน

กล่าวคือ ประเทศไทยมีจุดแข็ง คือความสร้างสรรค์ ห่วงโซ่อุปทานที่ดีระดับหนึ่ง และมีเสถียรภาพทางการเงินการคลัง ในขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนคือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว การมีระบบรัฐราชการรวมศูนย์ที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก หากมองในแง่โอกาส แนวโน้มการลงทุนของโลกในขณะนี้กำลังมุ่งไปที่การกระจายความเสี่ยงออกจากฐานการผลิตเดิม ขณะเดียวกันกำลังจะเกิดการปฏิรูปภาษีโลกครั้งใหม่ (Global Minimum Tax) หรือ GMT แต่โลกก็กำลังมอบโจทย์ความท้าทายให้กับประเทศไทยในหลายด้านเช่นเดียวกัน ทั้งในเรื่องภาวะโลกร้อน ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์เช่นสงคราม และราคาโภคภัณฑ์ที่ผันผวน

พิธากล่าวต่อไปว่า เมื่อได้ภาพปัจจุบันของประเทศดังนี้แล้ว การกำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลจึงเกิดขึ้นภายใต้โจทย์เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปพร้อมกับการลดความเหลื่อมล้ำ นำมาสู่นโยบาย 'สร้างงาน ซ่อมประเทศ' หรือการนำปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่เรื้อรังมาข้ามทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไม่ถึงระบบขนส่งสาธารณะ น้ำประปาที่ไม่สะอาด ปัญหาพลังงาน ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ เปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการสร้างงาน เพื่อซ่อมประเทศ กล่าวคือ

‘ชาติพัฒนากล้า’ ปักธงที่ทำการพรรคจังหวัดสตูล ‘รับฟังปัญหา-ความคิดเห็น’ สมาชิกในพื้นที่

‘ดร.บลู’ เปิดที่ทำการและจัดตั้งตัวแทนพรรคชาติพัฒนากล้า จังหวัดสตูล ณ อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล

10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ครบรอบ 69 ปี วันคล้ายวันสถาปนา ‘กองอาสารักษาดินแดน’

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ของทุกปี กำหนดให้เป็น ‘วันอาสารักษาดินแดน’

‘กองอาสารักษาดินแดน’ มีฐานะเป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 นับเป็นเวลายาวนานถึง 69 ปี มาแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีกำลังสำรองในการช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ทั้งในยามปกติ และในยามสงคราม โดยการรับสมัครจากราษฎรชายหญิงที่สมัครใจอาสาเข้ามาเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ภายใต้สังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยแบ่งส่วนราชการกองอาสารักษาดินแดนออกเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนกลาง มีกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (บก.อส.) รับผิดชอบการบริหารงานในส่วนกลาง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้บัญชาการ

ส่วนภูมิภาค มีกองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด (บก.อส.จ.) รับผิดชอบการบริหารงานในส่วนภูมิภาค โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้บังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด และกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ (กองร้อย อส.อ.) โดยนายอำเภอเป็นผู้บังคับกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ เป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชา  

ปัจจุบันกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีจำนวนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) สั่งใช้ทั่วประเทศทั้งสิ้น 25,925 นาย ประจำทั้ง 971 กองร้อยทั่วประเทศ มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ กองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497 ดังนี้

(๑) บรรเทาภัยที่เกิดจากธรรมชาติและการกระทําของข้าศึก

(๒) ทําหน้าที่ตํารวจรักษาความสงบภายในท้องที่ร่วมกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top