Friday, 13 June 2025
ค้นหา พบ 48772 ที่เกี่ยวข้อง

'เชียงราย' ตม.ท่าขี้เหล็กส่งกลับไทย ตม.ปส.ปปส.ตำรวจ ทหาร รับตัวต่อจับต่อตามหมายจับชายแดนแม่สาย

(16 ธันวาคม 2565) ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล ผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง5สั่งการให้ พันตำรวจเอก เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผู้กำกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายพร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวนปราบปรามตรวจคนเข้าเมืองเชียงรายและเจ้าหน้าที่ ปปส ปส ตำรวจภูธรแม่สาย ทหาร พร้อมหน่อยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมรอรับตัวจากการประสานจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็กสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าจะมี

การส่งตัวผู้ต้องหาซึ่งได้กระทำความผิดกฎหมายโดยถูกทางเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีในประเทศเมียนมาและคดีได้สิ้นสุดแล้วจึงได้ประสานมากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายเพื่อจะส่งตัวกลับมายังประเทศไทยพร้อมกันนี้ทางเจ้าหน้าที่ไทยจึงได้ตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์พบข้อมูลระบุชื่อนาย สมเกียรติ ปัญญาบุญ และจากการตรวจสอบในระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLlS)ระบบสารสนเทศสถานี

ตำรวจ(CRIMES)และระบบศูนย์ข้อมูลอาชญากรรม(PDC)พบว่าเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาและได้หลบหนีไปอยู่ในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กประเทศเมียนมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปรับตัวนาย สมเกียรติ ปัญญาบุญ ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพชายแดนไทย-เมียนมา แห่งที่2หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่

กุหลาบแห่งโตเกียว ‘Tokyo Rose’ อาวุธร้ายแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่ใช้โจมตีขวัญกำลังใจของทหารสัมพันธมิตรใน WW II

ขึ้นชื่อว่าสงคราม หลายคนคงจะนึกถึงการใช้ความรุนแรง อาวุธ หรือกำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คาดหวังหรือมุ่งหมาย แต่จริงๆ แล้วในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญมากกว่าอาวุธและขาดไม่ได้เลยคือ ‘สงครามจิตวิทยา’ (Psychological warfare) 

‘สงครามจิตวิทยา’ คือการทำสงครามที่ใช้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบต่อ ‘ความคิด’ และ ‘ความเชื่อ’ ของบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อร่วมกับปฏิบัติการจิตวิทยา 

สงครามจิตวิทยานั้นสามารถทำได้ทั้งในยามสงบและยามสงคราม ทั้งฝ่ายข้าศึกและฝ่ายเดียวกัน รวมถึงฝ่ายเป็นกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และระดับยุทธวิธี

เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เช่นกัน ในสมรภูมิตะวันออก (เอเชีย-แปซิฟิก) สงครามจิตวิทยาที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้กับกองกำลังสัมพันธมิตรคือ ‘การโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุ’ โดยหญิงที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีฉายาว่า ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo Rose) อันเป็นชื่อที่ทหารกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ปฏิบัติการในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้เรียกโฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษราว ๆ ๑๒ นาง

โฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายขวัญและกำลังใจของกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ฟังการแพร่สัญญาณ โดยเน้นย้ำถึงความยากลำบากในการทำสงครามและความสูญเสียทางทหารที่เกิดขึ้นมากมาย ผู้ประกาศหญิงหลายคนดำเนินการโดยใช้นามแฝงที่แตกต่างกัน และกระจายเสียงในเมืองต่าง ๆ ทั่วดินแดนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง รวมถึง โตเกียว มะนิลา และเซี่ยงไฮ้ 

ทั้งนี้ ชื่อ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ไม่เคยถูกใช้โดยฝ่ายญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1943 ทหารอเมริกันในแปซิฟิกมักฟังการแพร่สัญญาณโฆษณาชวนเชื่อเพื่อรับทราบถึงผลของการปฏิบัติทางทหารของพวกตน โดยจับความหมายโดยนัย นอกเหนือจากการปฏิบัติแล้ว ยังมีการขวัญในหมู่ทหารอเมริกันว่า เรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอ มักมีความแม่นยำอย่างน่ากลัว สามารถกล่าวถึง หน่วยทหารและกระทั่งชื่อของทหารบางคนได้ แม้ว่าเรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอเหล่านี้ไม่เคยมีเอกสารพิสูจน์ เช่น บทและการแพร่สัญญาณที่ถูกบันทึกเอาไว้ 

Iva Ikuko Toguri D'Aquino (4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 – 26 กันยายน ค.ศ. 2006) เป็นนักจัดรายการและนักจัดรายการวิทยุชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยร่วมจัดรายการวิทยุภาษาอังกฤษที่ส่งโดย Radio Tokyo ไปยังกองทหารสัมพันธมิตรในรายการวิทยุ The Zero Hour แม้ว่าเธอจะออกอากาศโดยใช้ชื่อ ‘Orphan Ann’ แต่ Iva Toguri ก็เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Tokyo Rose’ 

Iva Toguri เป็นพลเมืองอเมริกัน เกิดที่นครลอสแองเจลิส พ่อ-แม่ของเธอเป็นผู้อพยพชาวญี่ปุ่น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตนครลอสแองเจลิส ในปี ค.ศ. 1940 ด้วยปริญญาตรีด้านสัตววิทยา 

ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 เธอต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมอาการป่วยของญาติ โดยพักอยู่กับครอบครัวของป้า ก่อนการโจมตีอ่าวเพิร์ลของกองทัพญี่ปุ่น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกใบรับรองประจำตัวให้เธอ เพราะเธอไม่มีหนังสือเดินทาง และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน Iva Toguri ได้ยื่นขอหนังสือเดินทางต่อรองกงสุลสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น โดยระบุว่า เธอต้องการกลับบ้านในสหรัฐฯ 
 

คำขอของเธอถูกส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และท้ายที่สุดเธอไม่สามารถเดินทางออกจากญี่ปุ่นได้เมื่อเกิดสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทั้งยังไม่สามารถอยู่กับครอบครัวของป้าได้ เพราะเธอเป็นพลเมืองอเมริกัน ซ้ำร้ายเธอยังไม่สามารถรับความช่วยเหลือใด ๆ จากพ่อแม่ของเธอที่ถูกกักไว้ในค่ายกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในมลรัฐแอริโซนาอีกด้วย และที่เจ็บปวดที่สุดคือหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ (7 ธันวาคม ค.ศ. 1941) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะรับรองการเป็นพลเมืองของเธออีก

เมื่อชีวิตดูมืดมิดและมาถึงทางตัด Iva Toguri จึงต้องจำใจยอมรับงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดชั่วคราวที่ Radio Tokyo (NHK) 

ต่อมาเธอได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ประกาศของ The Zero Hour รายการโฆษณาชวนเชื่อความยาว ๗๕ นาทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งรายการนี้ประกอบด้วย เรื่องตลก รายงานข่าว และเพลงอเมริกันยอดนิยม 

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เธอถูกกองทัพสหรัฐฯ ควบคุมตัวเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่เธอจะถูกปล่อยเนื่องจากขาดหลักฐาน เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมเห็นพ้องต้องกันว่า การออกอากาศของเธอ ‘ไม่มีพิษมีภัย’

'ขันทีจีน' ตัวแทนอารยธรรมพิเศษ ข้ามพ้นกำแพงแห่งเพศ สู่ วัฒนธรรมใหม่ที่กระจายไกลไปทั่วโลก

เวลาเราดูซีรี่ย์จีนย้อนยุค โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องในรั้ว ในวัง หนึ่งตัวละครที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ‘ขันที’ มนุษย์เพศชายที่ถูกจับมาตอน ‘ตัด’ เอาอวัยวะเพศออก เพื่อให้สามารถรับใช้ ทำงาน และดำเนินชีวิตอยู่ในฝ่ายในที่มีเพียงสตรีและบุรุษเดียวคือ ‘ฮ่องเต้’ เท่านั้น ที่เข้าออกได้

คำว่า ‘ขันที’ น่าจะเป็นคำที่ผูกโยงกับอัตลักษณ์แบบจีนจนเราคุ้นชิน โดยในภาษาจีนเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ไท้เจี๋ยน’ แต่ในเอาจริงๆ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในภูมิภาคอื่นก็พบเห็นการมีอยู่ของ ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน กระจายออกไปเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมโลกเลยทีเดียว ทีนี้ในแต่ละภูมิภาคเขาเรียก ‘ขันที’ กันอย่างไรบ้าง ? มาลองติดตามอ่านกันก่อน

สำหรับสยาม ในสมัยอยุธยาเราเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘นักเทษขันที’ ซึ่งมีมาอย่างยาวนานก่อนจะมายกเลิกในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ส่วนข้าง มอญ - พม่า เรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ก็อมนอย’ ส่วนในเกาหลีก็มี ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า ‘แนซี’ การตอนของเกาหลีนี่โหดมาก เพราะเขา ‘ตอน’ โดยให้สุนัขกัดอวัยวะเพศจนขาด (คุณพระ !!!) 

สำหรับเรื่องราวของ ‘ขันที’ ที่น่าจะเก่าแก่ที่สุด ว่ากันว่าเกิดขึ้นที่เมืองลากาสช์ แคว้นสุเมเรียน ในเมโสโปเตเมีย ราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และถือเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนักของเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ ภาษาละตินและอาหรับเรียกขันทีว่า ‘ยูนุก’ ซึ่งนี่คือต้นธารแห่ง ‘ขันที’ 

โดยวัฒนธรรมการใช้ ‘ยูนุก’ แตกแขนงออกเป็น 2 สายคือ สายแรก แพร่หลายไปตามเส้นทางสู่จีนในสมัยราชวงศ์สุย ซึ่งวันนี้เราจะมารู้จัก ‘ขันที’ ในวัฒนธรรมที่จีนกัน ส่วนสายที่ 2 แพร่หลายในเอเชียตะวันตกและเอเชียใต้ สู่เปอร์เซียโบราณและจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์

ส่วนต้นกำเนิดของขันทีในจีนก็ยังมีความคลุมเครือ ไม่สามารถหาหลักฐานที่บ่งชี้ต้นทางได้อย่างชัดเจน แต่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่พบนั้นเกี่ยวข้องกับ ‘โจวกง’ พระอนุชาของ ‘พระเจ้าโจวอู่หวัง’ ผู้ปราบพระเจ้าโจ้วและสถาปนาราชวงศ์โจว ประมาณ 1,046 ปีก่อนคริสตกาล 

โจวกง มีชื่อจริงว่า ‘ต้าน แซ่จี’ เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าโจวเหวินหวัง เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพระเจ้าโจวอู่หวัง ปราบพระเจ้าโจ้ว ในยุคนั้น ‘โจวกง’ เป็นผู้วางระบบกฎหมายทั้งในบทข้อห้ามและบทลงโทษ หนึ่งในบทลงโทษที่กระทำต่ออาชญากรและเชลยศึกนั่นก็คือ ‘การตอน’ เพื่อให้เป็น ‘ขันที’ โดยขันทีจะแยกออกเป็น 2 ประเภทตามรูปแบบการตอนคือ...

ประเภทแรกเป็น ‘ขันทีที่ถูกตัดแค่ส่วนขององคชาติ’ แต่เหลือส่วนของอัณฑะเอาไว้ ซึ่งการตัดในลักษณะนี้จะส่งผลให้ ขันทีประเภทนี้ยังคงมีลักษณะภายนอกเหมือนกับผู้ชายทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นของหนวดเครา ขนแขนหรือขนขา รวมถึงเสียงของขันทีเหล่านี้ก็ยังคงมีความทุ้มและห้าวอยู่ เพราะว่า ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญ ยังผลิตจากอัณฑะอยู่ (แค่ไม่มี ‘ลำ’) ทำให้ยังเป็นผู้ชายอยู่ พวกนี้โดยมากจะเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมา ต้องโดนตอนเพื่อไม่ให้สืบพันธุ์ได้ มักจะได้รับหน้าที่ให้ทำงานได้แค่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น 

ประเภทที่สอง ‘ขันทีที่ถูกตัดทั้งองคชาติและถุงอัณฑะ’ ขันทีประเภทนี้จะสูญเสียความเป็นชายไปทันทีหลังจากที่ได้ทำการเฉือนเอาถุงอัณฑะออกไปแล้ว อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ‘อัณฑะ’ คืออวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนโทสเตอโรน (Testosterone) ของผู้ชาย เมื่อตัดออกไปทั้งพวง ผลที่ได้คือ เสียงที่เล็กแหลมเหมือนผู้หญิง ลักษณะทางกายภาพภายนอกจะดูต่างไปจากเพศชายในช่วงวัยเดียวกัน ไม่มีลูกกระเดือกใหญ่โต ขนแขนขนขาและหนวดเคราไม่มี แสดงออกเหมือนกับสตรีเพศ เนื่องจากว่าเขาสูญเสียฮอร์โมนสำคัญในเพศชายไปแล้ว พวกนี้คือ ‘ขันที’ ที่เราคุ้นชิน สามารถทำงานเขตพระราชฐานชั้นใน ได้

ขันทีทั้ง 2 ประเภทหลังจากแผลการ ‘ตอน’ สมานดีแล้ว จะใช้ท่อที่ทำจากโลหะ ไม้ไผ่ หรือฟาง สอดเข้าไปเพื่อช่วยในการปัสสาวะ และใช้ระบาย ‘อสุจิ’ ออกมาเมื่อมันเต็มจนล้นตามการผลิตที่ทำได้ (เสียบลึกขนาดไหนกันนั่น ?) 

ส่วนใหญ่แล้ว การตอนเป็น ‘ขันที’ แบบสมัครใจ มักทำตั้งแต่เด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ เพราะการ ‘ตอน’ หลังจากวัยเจริญพันธุ์แล้วถือเป็นเรื่องเสี่ยงถึงแก่ชีวิตมากกว่า โดยอัตราการเสียชีวิตในหมู่ผู้ตอนหลังวัยเจริญพันธุ์แล้วอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งผู้ที่รับใช้องค์ ‘ฮ่องเต้’ มีผู้ที่ผ่านการตอนทั้ง 2 ช่วงอายุ แต่ตอนแล้วใช่ว่าความต้องการทางเพศจะถูก ‘ตอน’ ไปด้วย 

แน่นอนว่า ‘ขันที’ หลังวัยเจริญพันธุ์ ย่อมต้องเคยรับรู้เรื่องความต้องการทางเพศและด้วยการที่ ‘ขันที’ มีทรัพยากรและเวลาอย่างเหลือเฟือให้ทดลองกิจกรรมทางเพศที่เชื่อว่าอาจช่วยให้อวัยวะที่สูญเสียไปนั้นกลับคืนมา (ตัดเพราะอย่างมีอำนาจ พอมีอำนาจก็เลยอยากต่อคืน ประมาณนั้น) โดยเฉพาะเรื่องของ ‘พลังหยิน’ ที่เชื่อว่าต้องใช้ผู้หญิงมากระตุ้นส่วนที่ถูกตัดไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าความซาบซ่าน (จากกิจกรรมกระตุ้น) จะทำให้เกิดพลังหยาง สรุปมีผลลัพธ์ที่บันทึกในศตวรรษที่ 13 บรรยายว่า “ส่วนที่เป็นแผลที่สมานกันแล้วกลายเป็นเสียหายด้วยเพลิงราคะอย่างบ้าคลั่ง มีความรู้สึกว่าเส้นเลือดกำลังจะระเบิดออกมา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเลยมันไม่สามารถฟื้นฟูได้” (ก็นะ มันจะไปงอกคืนได้ยังไง ???)  

รำลึกถึงพ่อ ตามรอยสถานที่พระประสูติกาลของรัชกาลที่ 9 จากพลเมืองอเมริกัน สู่ องค์ราชันผู้ยิ่งใหญ่

หลายคนอาจไม่รู้ว่ารัชกาลที่ 9 ทรงมีพระประสูติกาลในอเมริกา ไม่ใช่สวิตเซอร์แลนด์ โดยพระองค์เสด็จพระราชสมภพใน 'โรงพยาบาลเคมบริดจ์' ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น' (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ และสหรัฐอเมริกามีกฎหมายว่า เด็กทุกคนที่เกิดในอเมริกาให้ถือเป็นพลเมืองอเมริกัน ดังนั้นพระองค์ทรงมีสถานภาพเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด

ก่อนหน้าจะทรงมีพระประสูติกาล สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกของรัชกาลที่ 9 นับเป็นพระราชนิกุลพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา โดยทรงเข้าศึกษาในชั้นเตรียมแพทย์ก่อนเป็นเวลา 1 ปี และลงทะเบียนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดในปี พ.ศ. 2460

ระหว่างทรงศึกษาในอเมริกา พระโอรสพระองค์ที่สองมีประสูติกาลที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ 2470 ภายใต้การดูแลของนายแพทย์ DR. W. STEWART WHITTEMORE เมื่อแรกพระบรมราชสมภพ โดยรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระนามในสูติบัตรว่า 'เบบี้สงขลา' (Baby Songkla) ซึ่งมาจากพระนามของสมเด็จพระบรมราชชนก ที่มีพระนามในต่างประเทศว่า Mr.Mahidol Songkla

หลังจากที่ทรงพระราชสมภพได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมง สมเด็จพระบรมราชชนกทรงส่งโทรเลขถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ว่า...

"ลูกชายเกิดเช้าวันนี้ สบายดีทั้งสอง ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย"

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามว่า 'ภูมิพลอดุลยเดช' ซึ่งแปลว่า 'พลังแห่งแผ่นดิน'

ผอ.ศรชล.ภาค 1 นำคณะ ร่วมลงนามถวายพระพรฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ

วันที่ 16 ธ.ค. 65 เวลา 13.30 น. พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ผอ.ศรชล.ภาค 1) พร้อมด้วยบุคลากรของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ร่วมพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ ห้องประชุม อาคารศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top