Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49068 ที่เกี่ยวข้อง

ความขัดแย้งภายในประเทศสู่การประหารชีวิตของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 | รู้เรื่องเมืองอังกฤษ EP.2

รู้เรื่องเมืองอังกฤษ EP.2 ความขัดแย้งภายในประเทศสู่การประหารชีวิต ของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งราชอาณาจักรอังกฤษ

.

ดำเนินรายการโดย ธนธร ศิระพัฒน์ (แองจี้)

.

🎥 ช่องทางรับชม Facebook: THE STATES TIMES PODCAST

YouTube: THE STATES TIMES PODCAST

TikTok: THE STATES TIMES PODCAST

ชักศึกเข้าบ้าน!! เรื่องป่วนสยามสมัยรัชกาลที่ 5 ปฐมเหตุแห่งการยกเลิกวังหน้า

ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC 2022 ที่ดีงาม และพร้อมที่จะต่อยอดในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่ม กำลัง ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ ด้วยการ จะประท้วงในการจัดประชุมครั้งนี้ จะชุมนุมเพื่อให้สะท้อนปัญหาของพวกตัวเอง (ปัญหาที่ใครต่อใครเขาก็ไม่เดือดร้อนนะยกเว้นไอ้พวกกลุ่มนี้) 

โดยมีผู้สนับสนุนเป็นทุนจากต่างชาติ และ / หรือ อาจจะเป็นคนในชาติที่เป็นทาสตะวันตก ตั้งใจสร้างสถานการณ์ต่างๆ พร้อมด้วย ‘การข่าวปลอม’ และ ‘การข่าวป่วน’ ของพวกเขา ที่วางแผนไว้เพื่อให้การประท้วงของพวกเขาไปอยู่ในสายตาของสื่อต่างชาติที่มาทำข่าว APEC 2022 ทั้งยังพร้อมทำทุกอย่างเพื่อด้อยค่าประเทศตัวเอง ให้เกิดขึ้นในสายตาของชาติอื่นๆ 

พูดถึงเหตุการณ์ที่ไปดึงเอาต่างชาติเข้ามายุ่มย่ามในบ้านเมืองเรา มีอยู่เหตุการณ์ป่วนหนึ่งในสมัยอดีต ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ในกาลต่อมามีการยกเลิกตำแหน่งเรียกว่า ‘วังหน้า’ หรือ ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ กันเลยทีเดียว 

เรื่องป่วนที่จะเล่าในครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดินที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งขณะนั้นลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศส กำลังคุกคามประเทศรอบข้างสยาม และกำลังจ้องมองสยามอย่างตาเป็นมัน

เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีตัวละครสำคัญเป็นทหารอังกฤษตกงาน เพราะพนันม้าจนหมดตัวจากอินเดีย ชื่อ ร้อยเอก ‘โทมัส ยอร์ช น็อกซ์’ เขาเดินทางมาสยามเพื่อหางาน โดยตามเพื่อนชาติเดียวกันมาก็คือ ‘ร้อยเอกอิมเปย์’ ซึ่งเข้ามาสอนทหารวังหลวงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4  ส่วนตัว ‘ร้อยเอก น๊อกซ์’ นั้นเขาได้เข้าไปสมัครเป็นคนฝึกทหารของวังหน้าในรัชกาลที่ 4 คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเผอิญพอพูดภาษาไทยได้ประมาณนึง ก็เลยเถิดได้ไปเป็นล่ามให้สถานทูตอังกฤษ จนได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงทูต (คุณพระ !!!! ) 

นอกจากนี้ ยังมีอาชีพเสริมเป็นสื่อมวลชนสายเสี้ยมกึ่งปลุกปั่น (อันนี้ผมตั้งเอง) เขียนคอลัมน์ของตัวเองไปลงหนังสือพิมพ์ในยุโรป โดยเขียนเชียร์วังหน้าอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู (ก็นายจ้างเก่าเขาน่ะนะ) ว่าเก่งกว่าวังหลวงมาก เวลาวังหลวงออกว่าราชการก็ต้องให้วังหน้าชักใยอยู่เบื้องหลัง (จินตนาการตามข้อนี้ นี่มันเมืองจีนหรือไง? มีซูสีไทเฮาผู้ชายว่าการอยู่หลังม่านยังงี้ บ้าบอที่สุด !!!!) 

พอเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งขึ้นครองราชย์ เมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 โดยในขณะนั้น พระองค์มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา จึงได้แต่งตั้ง ‘สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)’ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และกลุ่มผู้สำเร็จราชการได้ตั้ง พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ โอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ขึ้นเป็น ‘กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ’ ซึ่งในตอนนั้นวังหน้ายังมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับ ‘ร้อยเอก น็อกซ์’ กงสุลอังกฤษลูกจ้างเก่าเป็นอย่างดี 

มาถึงจุดหลักของเรื่องราวนี้ ในกาลที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรลุนิติภาวะสามารถว่าราชการด้วยพระองค์เองได้แล้วประมาณ 2 ปี ก็มีมือดีทิ้ง ‘บัตรสนเท่ห์’ (จดหมายไร้ชื่อคนส่ง) เตือนให้วังหน้าระวังตัว เพราะว่ากำลังจะถูกลอบปลงพระชนม์ !!!! บรรดาขุนนางวังหน้าก็บ้าจี้ เชื่อตามจดหมายเปิดผนึกฉบับนั้น ก็เลยเร่งเกณฑ์ผู้คน ทั้งข้าทาสบริวาร ทั้งทหารและพลเรือนจากทั่วสารทิศเข้ามาเตรียมพร้อม 

ฝ่ายวังหลวงพอเห็นแบบนั้น ก็ไม่ไว้ใจสถานการณ์เหมือนกัน เลยเตรียมกำลังไว้เงียบๆ เหมือนกัน (คุณพร้อมผมก็พร้อมว่างั้นเถอะ) แต่จะเงียบยังไง ฝ่ายวังหน้าก็รู้จนได้ และแล้วการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นกันอย่างเปิดเผย จากบัตรสนเท่ห์แผ่นเดียวกำลังจะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟซะแล้ว 

ในช่วงที่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายตามความเชื่อของคนเสี้ยมและคนโดนเสี้ยม คือในคืนหนึ่งได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ใกล้กับตึกเก็บดินระเบิดและอาวุธต่างๆ เคราะห์ดีมากที่มีผู้พบเห็นเสียก่อนและดับไฟได้ทัน หากลุกลามลุกไหม้ไปนอกจากจะสร้างความเสียหายจากการระเบิดเพราะดินดำ ก็อาจจะลามขึ้นไปห้องเก็บพระมหาพิชัยมงกุฎและสมบัติล้ำค่าของแผ่นดินอื่นๆ ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย

เมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นนี้ กรมพระราชวังบวรฯ ก็ร้อนตัว (ซึ่งจริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะอะไร? จะร้อนตัวเพื่อ?) ก็เกรงจะเกิดภัยกับพระองค์ (ขุนนางของพระองค์นั่นแหละเสี้ยมจนเรื่องไม่จริงจะกลายเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว) จึงเสด็จลี้ภัยไปที่บ้านกงสุลอังกฤษทันที ตรงนี้แหละเป็นจุดสำคัญ เพราะนี่คือโอกาสที่เปิดช่องให้ 2 กงสุล คืออังกฤษและฝรั่งเศสถือโอกาสสอดแทรกเข้ามาเพื่อหยิบยื่นความหวังดีประสงค์ร้ายแทบจะในทันที โดยเฉพาะอังกฤษ 

โดยชาติตะวันตกเสนอให้แบ่งประเทศสยามออกเป็นส่วนๆ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน (ตูจะทะเลาะกันเอง พวกเอ็งยุ่งอะไรด้วยฟะ?) คนที่ถูกใจเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นไอ้คนทิ้งบัตรสนเท่ห์และไอ้พวกนักเสี้ยมนั่นแหละ (คล้ายๆ กับปัจจุบันไหมคุณว่า) และไม่เพียงแค่นำเสนอความคิด แต่อังกฤษยังทะลึ่งมีใบบอกไปถึงผู้สำเร็จราชการเมืองสิงคโปร์ให้เข้ามาช่วยเจรจา (มาเจรจาอะไร?) โดย ‘เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก’ ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ ได้เดินทางเข้ามาแทบจะทันที 

แต่ตรงนี้ผมคงต้องกราบแทบฝ่าละอองธุลีพระบาทองค์ในหลวงรัชกาลที่ 5 ไว้หนึ่งคำรบ เพราะพระองค์ไม่ปล่อยให้ เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก ได้ไปยุ่งเหยิงอะไรกับเรื่องการแบ่งเค้กเมืองสยาม พระองค์ชิงจัดการต้อนรับผู้สำเร็จราชการอย่างสมเกียรติและได้พูดคุยอย่างเปิดเผยเป็นกันเอง ก่อนปิดท้ายด้วยการรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “กรณีนี้เป็นเพียงความขัดแย้งในราชตระกูล พระองค์สามารถจัดการเองได้” (ชาติอื่นไม่น่าจะต้องมายุ่งว่างั้น) 

พอจัดการเรื่องของ ‘เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก’ เรียบร้อยแล้ว ทรงวิตกว่าเรื่องจะลามต่อไปอีก จึงส่งเรือเร็วไปรับ ‘สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)’ ผู้ใหญ่ของแผ่นดิน ซึ่งเกษียณจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการไปพักอยู่ที่บ้านสวนราชบุรี ให้เข้ามาปรึกษาเพื่อช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ โดยสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ไม่รอช้า ไปเข้าเฝ้าฯ กรมพระราชวังบวรฯ พร้อมด้วยพระราชหัตถเลขาของในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีข้อแสดงความจริงใจในพระราชหฤทัยถึง ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ ความว่า... 

ปราบม็อบแบบอเมริกัน ยิงก่อนถามทีหลัง สลายม็อบไทยใช้เพียงแก๊สน้ำตา – รถฉีดน้ำ

ชอบอ้างอเมริกากันจริง ๆ โดยเฉพาะตอนไปม็อบ แล้วโดนตำรวจเมืองไทยฉีดน้ำใส่ ร้องโอดโอยชักดิ้นชักงอเหมือนโดนน้ำมนต์ แล้วอ้างว่า ประเทศที่เจริญแล้วมีการควบคุมม็อบได้อย่างมีอารยธรรมมากกว่านี้  

อยากจะบอกว่าตำรวจคุมม็อบของไทยน่ะ นิ่มนวลกว่าตำรวจฝั่งยุโรปและอเมริกาเยอะ บ้านเรายังมีการเตือน พูดเพราะ ๆ ฉีดน้ำก็ออกแนวเล่นสงกรานต์ พวกที่ชอบบอกว่าตำรวจอเมริกาหรือยุโรปมีการจัดการฝูงชนที่มาประท้วงได้ดีกว่าไทย ควรไปศึกษางานด้วยตัวเองจริงๆ อย่างเวลาปราบม็อบด้วยน้ำ น้ำที่พุ่งใส่ที่ทำให้คนกระเด็นหวือ ส่วนมากไม่มีการเตือนล่วงหน้าด้วย ยิ่งตำรวจอเมริกายิ่งโหด แก๊สน้ำตาไม่ผสมน้ำหรอก ยกกระป๋องแก๊สน้ำตาฉีดใส่เลย ตามด้วยฟาดไม่ยั้งด้วยตะบอง บางหนก็เอาเข่ากดคอจนตายเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ

ก่อนจะเปรียบเทียบ ควรรู้ข้อเท็จจริงว่าตำรวจอเมริกันนั้นอย่างโหด อย่าว่าแต่การประชุมระดับนานาชาติเลย เอาแค่การประชุมในชาตินี่แหละ แถมใช้นโยบาย ‘ยิงก่อนถามทีหลัง’ เสมอ

ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวยกตัวอย่างให้ชัด ๆ เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เองคือเมื่อปีกลาย อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีปลุกเร้าบรรดาผู้สนับสนุนใกล้ทำเนียบขาว พูดย้ำไปมาว่าตัวเองนั้นถูกโกงชัยชนะในการเลือกตั้ง พร้อมทั้งยุม็อบแห่ไปที่อาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นสถานที่สภาคองเกรสกำลังประชุมรับรองโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่

กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลายพันคนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ภายหลังฟังคำปลุกระดมของทรัมป์ เลยยกขบวนไปยังอาคารรัฐสภา บุกฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่จนเข้าไปภายในอาคาร ห้องทำงานและห้องประชุมสภาได้ ทั้งนี้เพราะต้องการขัดขวางการประชุมลงมติของสมาชิกรัฐสภา เพื่อรับรองผลคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งจากมลรัฐต่าง ๆ ว่าโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต คือผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง 306 ต่อ 232 คะแนน

ผู้สนับสนุนทรัมป์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ บางคนทำลายข้าวของ ทุบกระจกแตก และมีภาพที่ผู้สนับสนุนทรัมป์คนหนึ่งซึ่งสวมกางเกงยีนส์และหมวกเบสบอลนั่งเก้าอี้ของนางแนนซี เพโลซี ประธานรัฐสภาพรรคเดโมแครต ยกขาข้างหนึ่งพาดโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีกระดาษข่มขู่วางทิ้งไว้ ขณะที่ผู้ก่อจลาจลคนอื่น ๆ ปีนอัฒจันทร์ที่จัดไว้เพื่อรองรับพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของไบเดน พร้อมกับป้ายข้อความว่า ‘พวกเราประชาชนจะทำให้ ดี.ซี.คุกเข่า’ และ ‘เรามีอำนาจ’

รมว.สุชาติ รับข้อสั่งการ นายก มอบเงินทดแทนเยียวยาลูกจ้างประสบเหตุสูญเสียอวัยวะจากการทำงานกว่า 1.2 ล้านบาท

(15 พ.ย. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีขาดรายได้และสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการทำงานให้แก่ นายณัฐพล เดชเกศรินทร์ ลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถยนต์พุ่งชนกับแนวก่อสร้างที่จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมด้วย ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน 

นายสุชาติ กล่าวว่า จากกรณีที่ นายณัฐพล เดชเกศรินทร์ อายุ 41 ปี ลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ของบริษัท โชคอมร โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการประเภทขนส่งสินค้า ตั้งอยู่เลขที่ 502/541 ซอยเดชะตุงคะ 1 ถนนเดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ได้ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถบรรทุกพุ่งชนแผงคอนกรีตที่ปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างถนนพระราม 2 ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร จนทำให้ต้องสูญเสียอวัยวะขาข้างขวาขาดในระดับหัวเข่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งภายหลังเกิดเหตุญาติของนายณัฐพลได้มีการเจรจาตกลงค่าชดเชยและเยียวยาจากอุบัติเหตุดังกล่าวกับผู้รับเหมา โดยได้เรียกร้องเงินเยียวยา จำนวน 500,000 บาท แต่ผู้รับเหมาะเสนอจ่ายได้เพียง 200,000 บาท ทำให้ตกลงกันไม่ได้ จนนายณัฐพลและญาติร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังเพจเฟสบุ๊คของท่านนายกรัฐมนตรี และท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ

ซึ่งในเรื่องนี้ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและติดตามกำชับการเร่งช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายให้มีความเป็นธรรมและถูกต้อง จนในที่สุดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ผู้รับเหมายอมจ่ายค่าเยียวยาแก่นายณัฐพลแล้วเป็นจำนวน 500,000 บาท และเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายณัฐพลและญาติจึงได้เดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข้าขอบคุณนายกรัฐมนตรีและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ให้การช่วยเหลือและแก้ปัญหาตามข้อร้องเรียน จนในที่สุดได้รับเงินชดเชยเยียวยาตามข้อร้องเรียนดังกล่าว

LANTA ซูเปอร์คอมฯพันธุ์ไทย สุดเจ๋ง! ติดอันดับ 70 ของโลก - อับดับ 1 อาเซียน

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA ของไทยติดอันดับ 70 ของโลก อันดับ 1 ในอาเซียน พร้อมเผยขณะนี้ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีระดับโลก พร้อมทั้งซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ซินโครตอน ดาราศาสตร์ โทคาแมค

(15 พ.ย. 65) ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศข่าวดีว่า ผลการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุดของโลก ซึ่งเพิ่งประกาศผลในวันนี้ พบว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา (LANTA) ของกระทรวง อว. โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการประเมินว่าเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน” โดยเป็นอันดับที่ 20 ของทวีปเอเชีย และอันดับที่ 70 ของโลก มีประสิทธิภาพในการคำนวณที่สูงถึง 8.1 พันล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยมีระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของโลก ซึ่งเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโนโลยีที่ต้องอาศัยการคำนวณขั้นสูงของประเทศไทยให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลกแล้ว

รมว.อว. กล่าวต่อว่า “รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สนับสนุนการปฏิรูปอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศอย่างเต็มที่ ซึ่งมีการพัฒนาจัดระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในรูปแบบใหม่ ส่วนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ได้สนับสนุนการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนักวิจัยในระดับมาตรฐานโลก โดยในปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยมีความพร้อมอย่างมาก เป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญ อยู่ในระดับโลก เรามีเครื่องซินโครตรอน กล้องดูดาวขนาดใหญ่ หอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์วิทยุ และเครื่องโทคาแมค ซึ่งแต่ละสถานีวิจัยนั้นเป็นอันดับหนึ่งหรือเครื่องเดียวในอาเซียน และล่าสุดซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ของไทยก็ได้รับการจัดเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียนแล้ว”

ด้านศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา หรือ LANTA เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย เป็นการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวง อว. ผ่านเครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ไทย (Thai SC) ซึ่งจัดตั้งที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. สำหรับการใช้งานของทุกหน่วยงาน เพื่อสนับสนุนนักวิจัยจากทั้งภาคการศึกษา มหาวิทยาลัย หน่วยงานจากภาครัฐ รวมทั้งส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในภาคเอกชนและอุตสาหกรรม และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีการคำนวณของไทยให้อยู่ในระดับนานาชาติ

ซึ่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตานี้สามารถใช้งานได้กับหัวข้อวิจัยที่สำคัญได้หลากหลาย ลดระยะเวลาการวิจัยที่ต้องคำนวณอย่างมากได้หลายร้อยเท่า เช่น การวิจัยการแพทย์แม่นยำ การวิจัยพัฒนายาชนิดใหม่ การออกแบบชุดตรวจวินิจฉัย การจำลองสภาพภูมิอากาศตามเวลาจริงโดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม การคำนวณออกแบบวัสดุใหม่ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง การศึกษาการทำงานของชีวโมเลกุล และความหลากหลายทางระบบนิเวศวิทยาของไทย และในด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) อย่างรวดเร็ว โดยนำไปใช้ประโยชน์การบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจราจร การบริหารการสาธารณสุข หรือประมวลข้อมูลการกระจายรายได้ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top