Wednesday, 18 June 2025
ค้นหา พบ 48881 ที่เกี่ยวข้อง

มีไหม? คุณสมบัติ '3 ดี' ที่ประชาชนจะได้จาก 'ฝ่ายค้าน' หนนี้!!

เพจเฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้โพสต์ข้อความว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ

ช่วงวันที่ 19-23 ก.ค. นี้ ผมมีภารกิจเข้าร่วมชี้แจงข้อเท็จจริง ตามญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ณ สัปปายะสภาสถาน (รัฐสภาแห่งใหม่) หมายถึง  "สถานที่ประกอบกรรมดี” ซึ่งการขึ้นอภิปรายของผมช่วงเช้านี้ มีสาระสำคัญดังนี้

1. ขอให้ช่วยกันขบคิด ถกแถลง ทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุด ทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ แก้ปัญหาไปด้วยกัน ละทิ้งทิฐิ อคติส่วนตน นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

2. ช่วงวิกฤตโควิด 2 ปีที่ผ่านมา เราแก้ปัญหาไปได้ด้วยดี ทำงานแบบบูรณาการ เป็นตัวอย่างที่ดีให้หลายประเทศ จนสามารถเปิดประเทศได้มากขึ้นตามลำดับ ระบบเศรษฐกิจดีขึ้น โดยตัวเลขในด้านการท่องเที่ยวก็ดีขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวจากครึ่งปีที่ผ่านมา 2.2 ล้านคน เกิดรายได้ 1.25 ล้านบาท ไทยเที่ยวไทย 67.8 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจทุกระดับ หลายรอบ มากกว่า 4.3 แสนล้านบาท

3. ประเทศในปี 2524 ยุคโชติช่วงชัชวาล จากการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แล้วขยายผลเป็นนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึก และโครงการอิสเทิร์นซีบอร์ด ต่อมาปี 2531 ไทยขับเคลื่อนด้วยนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า"  มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก เปลี่ยนจาก Analogue สู่ Digital เป็นต้น เป็นยุคที่ไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ...แต่น่าเสียดาย เพราะไม่มีนโยบายที่โดดเด่นมากพอ และ 10 กว่าปีมาแล้วที่มีแต่ความขัดแย้ง จึงไปไม่ถึงจุดหมาย

4. เมื่อผมเข้ามาบริหารประเทศ จึงต้องการพลิกโฉมประเทศไทย โดยผลักดัน 3 เรื่องสำคัญ 
(1) ประกาศวิสัยทัศน์ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" 
(2)  ผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และปฏิรูปในทุกมิติ 
(3) ขับเคลื่อนนโยบาย "ไทยแลนด์ 4.0" เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม พร้อมทั้งส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เป็นพื้นที่การลงทุนใหม่ๆ บ่มเพาะทรัพยากรมนุษย์ยุคใหม่ ๆ  และเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนความเจริญประเทศในระยะต่อไป

WHAT...IF อะไรจะเกิดขึ้น...ถ้าสัญญาปางหลวงสำเร็จ

วันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นวันที่รำลึกถึงเหตุการณ์ที่นายพล ออง ซาน และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคนอื่นๆ คือรัฐมนตรี 6 คน และเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน ถูกลอบสังหารระหว่างการประชุมสภาก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ 6 เดือน ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ก่อนวันที่นายพล เนวิน จะยึดอำนาจในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2505 

วันนี้เอย่ามาลองคิดดูว่า หากวันนั้นไม่เกิดรัฐประหารของนายพลเนวิน และในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ไม่มีการสังหารหมู่และการเซ็นสัญญาปางหลวงหรือปางโหลงสำเร็จในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 และมีการดำเนินไปตามสนธิสัญญากำหนดไว้อะไรจะเกิดขึ้น

ก่อนอื่นเราควรจะมาทราบที่มาที่ไปของที่มาของสนธิสัญญาปางหลวงก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะมีวันนี้ ในเว็บไซต์ รักเมืองไตย ได้บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของสนธิสัญญาปางหลวงไว้ โดยเหตุการณ์ต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 กษัตริย์ธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าถูกกองทัพอังกฤษบุกเข้าจับกุมตัวและในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2429 กองทัพอังกฤษจึงประกาศว่า ได้ทำการยึดดินแดนของแผ่นดินพม่าไว้หมดแล้ว 

ซึ่งในเวลานั้น รัฐฉานของชาวไทยใหญ่ยังไม่ได้ถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน จวบจนกระทั่งเดือนมกราคม พ.ศ. 2430 อังกฤษจึงเดินทางมายึดรัฐฉาน และประกาศให้รัฐฉานเป็นส่วนหนึ่งในรัฐอารักขาของอังกฤษ ในช่วงที่รัฐฉานอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ได้มีการแบ่งแยกการปกครอง และงบประมาณของรัฐฉานกับพม่าออกจากกันอย่างชัดเจน 

โดยในสมัยนั้น พม่าจะเป็นฝ่ายที่คอยต่อต้านอังกฤษมาโดยตลอด ขณะที่เจ้าฟ้าและประชาชนไทยใหญ่ ได้ให้ ความร่วมมือกับอังกฤษ รวมทั้งให้การช่วยเหลืออังกฤษในการสู้รบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ  2 เป็นอย่างดี

หลังจากที่แผ่นดินพม่าและไทยใหญ่ ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ นานกว่าครึ่งศตวรรษ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2482 นายพลอองซานจึงจัดตั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์ใต้ดินขึ้น เพื่อให้พม่าหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยที่นายพลอองซาน ทำหน้าที่เลขาธิการของกลุ่ม นายพลอองซาน พยายามหาทางติดต่อกลุ่มกับคอมมิวนิสต์กลุ่มต่าง ๆ 

โดยหลังจากเดินทางกลับจากอินเดียมายังกรุงย่างกุ้ง เขาได้แอบเดินทางไปประเทศจีน แต่เนื่องจากลงเรือผิดลำจึงไปถึงเกาะ  อะมอย ( Amoy ) ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในการครอบครองของญี่ปุ่น ทางญี่ปุ่นจึงเรียกตัว นายพลอองซานไปยังเมืองโตเกียว หลังจากนายพลอองซานกลับจากญี่ปุ่น จึงได้รวบรวมสมัครพรรค พวกจำนวน 30 คนเดินทาง ไปฝึกการรบที่ญี่ปุ่น
ต่อมา วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2484 อองซานจึงจัดตั้งกองทัพอิสระภาพแห่งพม่า ( B.I.A : Burma Independence Army ) ขึ้นที่กรุงเทพฯ และในปี พ.ศ 2485 นายพลอองซานเริ่มนำกำลังเข้าร่วมกับทหารญี่ปุ่น โจมตีเหล่าประเทศอาณานิคมของอังกฤษ โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้เดินทางเข้ามาในแผ่นดินพม่าและรัฐฉาน และในเวลาเดียวกันนี้ ทางเจ้าฟ้ารัฐฉาน ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ข้าราชการของอังกฤษ ไปยังอินเดียและพม่า 
.
ต่อมา ญี่ปุ่นได้ทำการ ทารุณกรรมประชาชนในรัฐฉาน เช่นเดียวกับที่กระทำต่อประชาชนของประเทศต่างๆ ในเอเชีย จวบจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ญี่ปุ่นจึงถอยทัพกลับไป และในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2  เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลอเมริกาและอังกฤษ ได้จัดทำหนังสือข้อตกลง ที่ชื่อว่า "เตหะราน" (Teheran-Agreement) ขึ้น โดยมีใจความระบุไว้ว่า "หากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง จะคืนเอกราชให้แก่ดินแดนอาณานิคมของ ทั้ง 2 ประเทศทั้งหมด" เมื่อสงครามสิ้นสุดลงนายพลอองซานจึง พยายามติดต่อเข้าพบผู้นำรัฐบาลอังกฤษ ณ กรุงลอนดอน เพื่อเจรจาขอเอกราชคืน


 

ในช่วงเวลาที่อังกฤษปกครองพม่าและรัฐฉานอยู่นั้น ได้มีนักศึกษาในรัฐฉาน (ที่ไม่ใช่ชาวไทยใหญ่) เดินทางไปศึกษาที่กรุงย่างกุ้ง และซึมซับรับเอาแนวความคิดฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มมีความเกลียดชังและต้องการล้มล้างระบอบเจ้าฟ้าในรัฐฉาน โดยนักศึกษากลุ่มนี้ ได้เข้าเป็นแนวร่วมกับกลุ่ม "ต่อต้านผู้ล่าอาณานิคมเพื่อเอกราช" ของนายพลอองซาน และตกลงรับเอาภาระหน้าที่บ่อนทำลายการปกครองระบอบเจ้าฟ้าของรัฐฉาน และหันมาเข้าร่วมกับพม่า ในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษให้แก่กลุ่มของนายพลอองซาน โดยอาศัยรัฐฉานเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ 

แต่เนื่องจากเจ้าฟ้ารัฐฉานเป็นมิตรกับอังกฤษมาโดยตลอด โดยในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อังกฤษได้ให้สัญญากับเจ้าฟ้าว่า "ขอให้รัฐฉาน อยู่ในอารักขาของอังกฤษต่อไปก่อนและอังกฤษจะทำการพัฒนาด้านการศึกษา, การเมือง, การปกครอง , การติดต่อต่างประเทศ - ในประเทศ, การเศรษฐกิจ และการคมนาคมในรัฐฉานให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วอังกฤษจะคืนเอกราชให้ภายหลัง"

สำหรับนายพลอองซานในช่วงแรก เป็นผู้มีบทบาทชักจูงทหารญี่ปุ่น ให้เข้ามาในพม่าและรัฐฉาน แต่ในตอนสุดท้าย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2488 กลับนำกำลังทหารเข้าสู้รบกับทหารญี่ปุ่น ทางพม่าจึงได้ถือเอาวันนี้ เป็นวันกองทัพของพม่าสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ทางด้านเจ้าฟ้าไทยใหญ่ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และในดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 สองเดือนถัดมา เจ้าหญิงเมืองป๋อน ได้ทรงสิ้นพระชนม์ บรรดาเจ้าฟ้าจากเมืองต่างๆ จึงเดินทางมาร่วมงานพระศพ ทำให้มีโอกาสพบปะและพูดคุยกันว่า "น่าจะจัดให้มีการประชุมของเจ้าฟ้าทั้งหมด เพื่อปรึกษาหารือ เกี่ยวกับอนาคตของรัฐฉาน" และต่อมาวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2489 จึงได้มีการประชุมของเหล่าเจ้าฟ้าไทยใหญ่ขึ้นที่ เมืองกึ๋ง 

โดยที่ประชุม มีมติจัดตั้ง "คณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าแห่งรัฐฉาน" ขึ้น เพื่อให้มีสถาบันที่จะปกครองรัฐฉาน  ในแนวทางระบอบประชาธิปไตย และเพื่อทำให้รัฐฉาน ซึ่งมีดินแดนอยู่ระหว่างจีนแดงและพม่า สามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป 

นอกจากนี้ทางเจ้าฟ้าไทยใหญ่ยังมีแนวความคิดที่จะร่วมสร้างบ้านสร้างเมืองกับรัฐคะฉิ่นและรัฐชินซึ่งเป็นรัฐใกล้เคียง ดังนั้นจึงตกลงเห็นควรเชิญรัฐคะฉิ่นและรัฐชิน มาเข้าร่วมเป็นสหพันธรัฐ โดยในเวลาต่อมาเมื่อวันที่  20 - 28 มีนาคม พ.ศ. 2489 ทางเจ้าฟ้าไทยใหญ่, รัฐคะฉิ่น และรัฐชิน ได้จัดประชุมร่วมกันขึ้นที่เมืองปางหลวง หรือ ปางโหลง โดยเห็นพ้องต้องกันที่จะทำการจัดตั้ง "สหพันธรัฐเทือกเขา และสภาผู้นำร่วมสหพันธรัฐเทือกเขา(Supreme Council of the United Hill People : S.C.O.U.H.)" ขึ้น และกำหนดให้ส่งตัวแทนเข้ามาเป็นสมาชิกสภา รัฐละ 6 คน รวม 18 คน โดยเริ่มจัดตั้งภายในปี พ.ศ. 2490 และให้มีการประชุมร่วมกันอีกครั้งที่เมืองปางหลวง การประชุมในครั้งนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกัน แบบสหพันธรัฐในดินแดนแห่งนี้

แต่เนื่องจากนักศึกษาที่เป็นแนวร่วมของพม่า ได้ทำการแจ้งข่าวการประชุมร่วม 3 รัฐ ครั้งนี้ ให้ทางพม่าทราบ   ทางการพม่าซึ่งนำโดย นายอูนุและนายอูจ่อ จึงเดินทางมาเข้าร่วมประชุมด้วย แม้ว่าการประชุมครั้งนี้ตัวแทนจากพม่าจะเข้าร่วมประชุมด้วย แต่ในที่ประชุม ก็ยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ เนื่องจากเจ้าฟ้าไทยใหญ่ ได้พูดในที่ประชุมอย่างชัดเจนว่า  "ต้องการจัดตั้งสหพันธรัฐที่ไม่มีพม่ารวมอยู่ด้วย"  ดังนั้น ตัวแทนชาวพม่าที่เข้าร่วมประชุม จึงเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็นหรือลงมติใดๆ ทั้งสิ้น

ต่อมา วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 บรรดาเจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ร่วมกันจัดตั้ง  "คณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าแห่งรัฐฉาน" (EX-ective Committee of the Council of Shan State Saophas) ขึ้น ตามมติที่ตกลงกันไว้ในการประชุมที่เมืองกึ๋ง ขณะที่ทางฝ่ายพม่า ต้องการให้ไทยใหญ่ร่วมเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ แต่ทางคณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ ไม่เห็นด้วย พม่าจึงทำการยุยงให้นักศึกษาในรัฐฉานบางกลุ่ม ซึ่งเป็นแนวร่วมของพวกเขา ทำการจัดตั้งกลุ่ม "เพื่อเอกราชแห่งรัฐฉาน" ขึ้นเมื่อวันที่  20 กันยายน พ.ศ. 2489 โดยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีแนวความคิดที่จะเรียกร้องเอกราชร่วมกับพม่า และล้มล้างการปกครองระบอบเจ้าฟ้าในรัฐฉาน "คณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ" ได้พยายามเรียกร้องว่า "หากมีการให้เอกราชแก่รัฐฉาน ก็ไม่เห็นด้วยที่จะเข้าร่วมกับพม่า" โดยได้ทำหนังสือแสดงจุดยืนดังกล่าวต่อข้าหลวงอังกฤษมาโดยตลอด 

ซึ่งในขณะเดียวกันนายพลอองซานก็ได้เดินทางไปลอนดอน เพื่อเจรจาขอเอกราชคืนจากอังกฤษ และกลับมาชักชวนให้รัฐคะยาเข้าร่วมกับพม่าด้วย ในระหว่างการเดินทางไปรัฐคะยา นายพลอองซานได้แวะกล่าวปราศรัยต่อประชาชนชาวไทยใหญ่ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ในสนามฟุตบอลแห่งหนึ่ง ในเมืองตองจี ผู้ที่เข้าฟังการปราศรัย ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนและคนหนุ่มสาว โดยนายพลอองซานพยายามเรียกร้องให้ชาวไทยใหญ่ให้ความร่วมมือกับชาวพม่า 

และในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2489 นายพลอองซานได้ติดต่อขอเข้าพบกลุ่มเจ้าฟ้า ที่ปกครองทางภาคใต้ของรัฐฉาน โดยพยายามพูดจาหว่านล้อมให้เจ้าฟ้าเหล่านั้น เห็นด้วยกับการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษร่วมกับพม่า แต่การเจรจาไม่เป็นผล วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2489 นายพลอองซานจึงเดินทางกลับไปยังกรุงย่างกุ้ง เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปพบปะพูดคุย กับนายแอตลี (Attlee) นายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่ลอนดอนเกี่ยวกับเรื่องเอกราชของพม่า   

ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2489 คณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ ได้จัดประชุมขึ้นที่แสนหวี และจัดส่งโทรเลขจากเมืองล่าเสี้ยวถึง นายแอตลี มีใจความว่า "นายพลอองซานไม่ใช่ตัวแทนของชาวไทยใหญ่ เรื่องของทางไทยใหญ่นั้น ทางคณะกรรมการเจ้าฟ้าฯ จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง" โดยนายแอตลี ได้รับโทรเลขฉบับดังกล่าวในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2490 

จากนั้นในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2490 อองซานเดินทางถึงกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และได้เข้าพบกับนายแอตลี ตั้งแต่วันที่ 16 - 26 มกราคม พ.ศ. 2490 เพื่อเจรจาให้อังกฤษมอบเอกราชคืนให้แก่พม่าและรัฐฉานร่วมกัน แต่นายแอตลีได้ตอบปฏิเสธ เนื่องจากได้รับโทรเลขแสดงเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทยใหญ่ จากคณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับเอกราชร่วมกับพม่า

เมื่อนายอูนุทราบว่า ทางคณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ ได้ส่งโทรเลขถึงนายแอตลี มีใจความไม่เห็นด้วยกับพม่า ในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2490 นายอูนุจึงสั่งให้คนของเขา ไปทำการยุยงให้นักศึกษากลุ่ม "เพื่อเอกราชแห่งรัฐฉาน" ส่งโทรเลขสนับสนุนให้อองซาน เป็นตัวแทนของชาวไทยใหญ่ถึงนายแอตลีบ้าง โดยนายแอตลีได้รับโทรเลขฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2490 ต่อมาในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2490 จึงได้มีการทำหนังสือข้อตกลง อองซาน-แอตลี (Aungsan Attlee Agreement) ขึ้น ซึ่งในหนังสือข้อตกลงฉบับนี้ ในวรรคที่ 8 ได้กล่าวเกี่ยวกับรัฐฉานไว้ว่า "ให้นายพลอองซานทำการเจรจากับผู้นำของชาวไทยใหญ่ ที่กำลังจะจัดประชุมกันขึ้นที่ปางหลวง ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้" และนายแอตลีได้ส่งโทรเลขถึงคณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ, ตัวแทนรัฐคะฉิ่น, ตัวแทนรัฐชิน ให้ได้รับทราบ เพื่อที่จะได้คิดแนวทางที่จะพูดคุยกับนายพลอองซานในการประชุมสหพันธรัฐเทือกเขา ที่กำลังจะจัดขึ้นที่เมืองปางหลวง

การประชุมที่เมืองปางหลวง เป็นมติที่ตกลงจากการประชุมครั้งก่อน เมื่อปี 2489 โดยที่ประชุมได้ตกลงให้จัดการประชุมสหพันธรัฐเทือกเขาอีกครั้งในปีต่อมา คือวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ทางคณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ จึงได้จัดประชุมสหพันธรัฐเทือกเขาขึ้นที่ เมืองปางหลวงอีกครั้งหนึ่ง โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมในครั้งนี้ ทางคณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ เป็นผู้ออกเองทั้งหมด  

หลังการประชุมครั้งนี้ ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 หรือสี่วันต่อมาทางคณะกรรมการสภาเจ้าฟ้าฯ และประชาชนชาวไทยใหญ่ได้มีมติจัดตั้ง "สภาแห่งรัฐฉาน" (Shan State Council) ประกอบด้วยตัวแทนเจ้าฟ้า 7 คน และตัวแทนจากประชาชนจำนวน 7 คน และให้ "สภาแห่งรัฐฉาน" เป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทยใหญ่ทั้งปวง พร้อมทั้งมีมติประกาศใช้ "ธง" ซึ่งประกอบด้วย สีเหลือง, เขียว, แดง และมีวงกลมสีขาวอยู่ตรงกลาง  เป็นธงชาติของรัฐฉานตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 

ซึ่งสีเหลืองหมายถึงการเป็นชนชาติผิวเหลืองและพุทธศาสนา สีเขียวหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติซึ่งประเมินค่าไม่ได้ของแผ่นดินรัฐฉาน และยังหมายถึงความเป็นชนชาติที่รักความสงบร่มเย็นไม่รุกรานใคร สีแดงหมายถึงความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของชนชาติรัฐฉาน และวงกลมสีขาว หมายถึงความมีสัจจะ ซื่อสัตย์ และมีจิตใจที่บริสุทธิ์ดั่งเช่นดวงพระจันทร์ของชนชาติรัฐฉาน 

และในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เวลา 18.00 น. นายพลอองซานได้เดินทางมาถึงเมืองปางหลวงโดยไม่มีการเตรียมตัวเพื่อที่จะมาเข้าร่วมประชุมเลย โดยนายพลอองซานมาในครั้งนี้ เหมือนเป็นการเสี่ยงดวงว่าทางไทยใหญ่จะให้ความร่วมมือในการเรียกร้องเอกราชหรือไม่เท่านั้น ดังนั้น ที่มีการพูดว่า “นายพลอองซานเป็นผู้จัดการประชุมสัญญาปางหลวงนั้น จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด 

ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เวลา 10.00 น. ตัวแทนไทยใหญ่, ชิน และคะฉิ่น ได้จัดตั้ง "สภาผู้นำร่วมสหพันธรัฐเทือกเขา" (S.C.O.U.H.P)  ขึ้นตามมติการประชุมร่วมกันเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2489 โดยมีสมาชิกสภาซึ่งเป็นตัวแทนที่มาจากรัฐฉาน (ไทยใหญ่), รัฐชิน และรัฐคะฉิ่น รัฐละ 6 คนรวมเป็น 18 คน และให้เป็นสภาปกครองสูงสุดของ สหพันธ์รัฐเทือกเขา ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เวลา 11.30 น. นายพลอองซาน ได้กล่าวในที่ประชุม เรียกร้องให้ไทยใหญ่ร่วมกับพม่า ในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ แต่ตัวแทนของชาวไทยใหญ่ได้คัดค้านอย่างหนักแน่นเช่นเดิม และในขณะที่กำลังดำเนินการประชุมอยู่นั้น ได้เกิดการกระทบกระทั่งชกต่อยกันขึ้นระหว่างทหารชุดรักษาความปลอดภัยของนายพลอองซาน กับทหารชุดรักษาความปลอดภัยของเจ้าฟ้าส่วยแต๊ก แห่งเมืองหยองห้วย ซึ่งเป็นผู้นำของเหล่าเจ้าฟ้าไทยใหญ่ทั้งหลาย ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น บรรดาเจ้าฟ้าไทยใหญ่ ได้กล่าวในที่ประชุม ครั้งนี้ว่า "ถ้าไม่มีสิทธิแยกตัวเป็นอิสระ หลังจากที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ก็จะไม่ร่วมมือกับพม่าอย่างเด็ดขาด" ส่วนตัวแทนของรัฐคะฉิ่น ก็ได้เรียกร้องให้มีการกำหนดดินแดนของรัฐคะฉิ่นให้ชัดเจน ซึ่งในอดีตดินแดนของรัฐคะฉิ่น เป็นดินแดนของรัฐฉาน  แต่ต่อมาอังกฤษได้แยกเมืองกอง, เมืองยาง ออกไปเป็นรัฐคะฉิ่น เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง เป็นการชั่วคราวเท่านั้น  ซึ่งทางนายพลอองซานได้แสดงอาการโกรธ และจะไม่อยู่ร่วมประชุมต่อ แต่ทางฝ่ายนักศึกษาของกลุ่ม “เพื่อเอกราชรัฐฉาน” ซึ่งเป็นแนวร่วมกับทางนายพลอองซานได้ขอร้องให้อยู่ร่วมประชุมต่อ 

ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ที่ประชุมได้มีมติตกลงที่จะร่วมกันเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ แต่จะร่วมกันเพื่อเรียกร้องเอกราชเท่านั้น  หลังจากได้รับเอกราชแล้ว ทุกรัฐมีอิสระในการตัดสินใจทุกอย่าง ดังนั้นเป้าหมายที่ต้องร่วมกันครั้งนี้ จึงเพื่อให้เกิดพลังในการเจรจาต่อรองขอเอกราชจากอังกฤษเท่านั้น จากนั้นในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 บรรดาเจ้าฟ้าไทยใหญ่ และตัวแทนจากรัฐต่างๆ จึงได้ร่วมลงนามในหนังสือสัญญาปางหลวง (Panglong Agreement) ซึ่งนายพลอองซานเป็นผู้ร่างขึ้นเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 มีเนื้อหาสาระทั้งหมด 9 ข้อ แต่ไม่มีข้อใดที่ระบุถึงสิทธิในการแยกตัวเป็นอิสระ บรรดาเจ้าฟ้าไทยใหญ่จึงได้ท้วงถาม ซึ่งอองซานได้ตอบว่า "เรื่องสิทธิในการแยกตัวเป็นอิสระนั้น น่าจะนำไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญของสหภาพจะมีผลดีมากกว่าเขียนไว้ในหนังสือสัญญาปางหลวง" ด้วย 

เหตุนี้สิทธิการแยกตัวของรัฐต่างๆ ที่ร่วมลงนามจึงไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในสัญญาปางโหลง แต่มีปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศพม่า โดยสาระสำคัญของสนธิสัญญาปางหลวงในเว็บไซต์ รักเมืองไตย มีดังต่อไปนี้

'ชัยวุฒิ' โต้กลับ 'ศรัณย์' กรณีคนไทยถูกหลอกไปทำงานในต่างประเทศ

จากกรณีที่ นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายฯนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่คนไทยถูกหลอกไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อโทรศัพท์กลับมาหลอกคนไทย

โดย นายชัยวุฒิ ได้ชี้แจงว่า ทั้งหมดที่พูดมาเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ จึงอยากให้เข้าใจทุกประเทศมีปัญหาเช่นนี้ ขณะที่ประเทศไทยที่มีปัญหาหนัก ส่วนหนึ่งเพราะมีระบบอินเทอร์เน็ตที่ดีมาก มีคนใช้อินเทอร์เน็ตแพร่หลายไม่ต่ำ 80% ของคนไทยทั้งประเทศ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากนโยบายนายกรัฐมนตรี เรื่องไทยแลนด์ 4.0 ในการนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาประเทศ ถือเป็นผลงานของรัฐบาล แต่เมื่อมีคนดีก็มีคนร้ายเข้ามาเอาเปรียบหลอกลวงสร้างปัญหาให้กับสังคม แต่รัฐบาลได้ตั้งหน่วยงานมาแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมการแก้ไขคดีออนไลน์ทุกรูปแบบ 

ส่วนระบบสปายแวร์ที่มีการเข้าไปติดตามหรือดักฟังโทรศัพท์อะไรต่างๆ นั้น ยอมรับว่า มีจริงและเคยศึกษาถึงเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่า กระทรวงดีอีเอสไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้ เพราะไม่มีอำนาจ โดยเท่าที่ทราบจะเป็นงานด้านความมั่นคงหรือด้านยาเสพติด เช่น ในกรณีต้องจับคนร้ายก็ต้องมีการดักฟังว่ามีการส่งยาที่ไหน เป็นต้น ซึ่งใช้ในเรื่องที่เป็นคดีพิเศษและคดีสำคัญ แต่ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวกับหน่วยงานที่ตนกำกับดูแลและไม่มีอำนาจ

‘แกนนำเพื่อไทย’ ค้าน ‘กัญชาเสรี’ ถามผู้แทนราษฎร รู้หรือไม่กำลังมีส่วนในการปล่อยผีร้ายเข้าสู่สังคมไทย

เมื่อวันที่ (19 กรกฎาคม) นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2  กล่าวว่า ขณะประชุมคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 ในคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 66 ช่วงการพิจารณางบประมาณแผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 

ซึ่งสำนักงานปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) เข้าชี้แจง มีหลายคำถามคาใจที่กรรมาธิการ โดยเฉพาะเรื่องกัญชาที่ถูกทำให้ ไม่เป็นยาเสพติด ทั้งนี้ กรรมาธิการตั้งคำถามว่า เหตุใดรัฐแจกต้นกัญชาที่มี THC เกิน 0.2% ได้ หากประชาชนมีอยู่ที่บ้านแล้วลองเสพช่อดอกก็คือสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2 % อยู่ดี ซึ่งตรงนี้ ปปส. ยืนยันว่า ถ้าเสพแล้วมึนเมา ก็คือ THC เกิน 0.2% ด้วย ขณะที่ผู้แทนราษฎรก็บอกว่ารู้เรื่องนี้ แต่ขวางไม่ได้ ทีดอกฝิ่นสกัดมาเป็นเฮโรอีน ท่านยังบอกว่าผิดแต่กลับให้ประชาชนครอบครองช่อดอกกัญชาที่มี THC เกิน 0.2% ท่านบอกว่า “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้”

นายวรวัจน์ กล่าวว่า  นอกจากนี้ กรรมาธิการถาม ปปส. ว่า หากหลังเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่ เข้ามาบริหารประเทศ จะสาทารถยกเลิกกัญชาเสรีได้หรือไม่ ผลจะเป็นอย่างไร จะสามารถแก้ไขระเบียบต่างๆได้ทันหรือไม่ คำตอบที่ได่รับคือ คงทำได้ลำบาก เพราะเมื่อเสพติดไปแล้วมีผลร้ายแรงกว่าบุหรี่หลายเท่า และที่สำคัญที่สุดคือ มีผลต่อการทำลายจิตประสาท ทำลายสมอง ทำให้มีนงง เฉื่อยชา กลายเป็นคนขี้เกียจซึ่งแก้ไขได้ยาก

“ท่านผู้แทนราษฏร ท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านกำลังจะมีส่วนร่วมในการปล่อย ผีร้าย เข้าสู่ สังคมไทย เงินตรา หรือมนต์ตราเพียงไหนที่มาจูงใจท่านให้เดินผิดทางไปได้ ท่านจะถึงวัน ที่ลูกหลานท่านเสพกัญชา มึนเมา ขับรถ จิตหลอนจนเกินอุบัติเหตุร้ายแรงก่อนแล้วค่อยคิดแก้ไขหรือ ผมขออนุญาต ร่วมเรียกร้องไปยังหน่วยงานการศึกษา สถาบันศาสนา ทุกศาสนา ชุมชนทุกชุมชนฯลฯ เพื่อลูกหลาน และสังคมไทย ร่วมต่อต้านกัญชาเสรี ผมเชื่อว่า ถ้าเราช่วยกันส่งเสียงจะสามารถสกัดเรื่องนี้ได้” นายวรวัจน์ กล่าว

"ผอ.ศพดส.ตร."เผย กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯประกาศให้ประเทศไทยเลื่อนอันดับชั้นเป็น Tier 2 หลัง ลั่น..!! ต้องลุยต่อเพื่อเลื่อนอันดับให้ดีขึ้นต่อไป

"ผอ.ศพดส.ตร."เผย กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯประกาศให้ประเทศไทยเลื่อนอันดับชั้นเป็น Tier 2 หลัง ผบ.ตร.สั่งบูรณาการเข้มปราบปรามค้ามนุษย์จริงจังต่อเนื่อง ลั่น..!! ต้องลุยต่อเพื่อเลื่อนอันดับให้ดีขึ้นต่อไป

เมื่อวันที่ (20 ก.ค. 2565) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(ปป.) และผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.)เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีประกาศรายงานสถานการณ์ การค้ามนุษย์ ประจำปี 2565(Trafficking In Persons Report 2022)เมื่อวันอังคารที่ (19 ก.ค. 2565) เวลา 12.00 น.(ตามเวลา กรุงวอชิงตัน) ว่าประเทศไทยได้เลื่อนอันดับ จากเดิม  Tier 2 Watch List ขึ้นเป็น อันดับ Tier  2  

สำหรับผลงานการงานการปราบปรามการค้ามนุษย์นี้ถือได้ว่าเป็นผลงานจาก นโยบายและข้อสั่งการของ พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่ได้สั่งกำชับถึงกรณีดังกล่าวตลอดมา พร้อมต้องขอยกเครดิตให้ภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันบูรณาการกันอย่างจริงจังตลอดมา ต้องขอขอบคุณ ผู้ใต้บังคับชาทุกนาย รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ทุกหน่วยงานที่ได้ทุ่มเทสรรพกำลังร่วมกันจนได้เลื่อนอันดับขึ้นเป็น Tier  2  ในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top