Friday, 27 June 2025
ค้นหา พบ 49042 ที่เกี่ยวข้อง

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เผยผลการปฏิบัติในรอบ 3 เดือน เร่งรัดแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเสร็จสิ้นแล้ว 5,332 เรื่อง

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายรวมไทยสร้างชาติขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งการบูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมพลังกันเพื่อทำนุบำรุงสถาบันหลัก ของชาติ ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยดำเนินโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติและขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขปัญหา ชุมชนสังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน” โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข และ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า ในวันนี้ ตนได้ประชุมเพื่อขับเคลื่อนและติดตามผลการปฏิบัติกับหน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ สถานีตำรวจ 1,483 สถานีทั่วประเทศ เพื่อรับทราบและสรุปผลการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - 31 พฤษภาคม 2565 ซึ่งได้รับรายงานปัญหาที่ประชาชนเดือนร้อน จำนวน 5,578 เรื่อง และได้ติดตามขับเคลื่อนและเร่งรัดให้หน่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว 5,332 เรื่อง ได้แก่ 

1.ปัญหาด้านสังคม เช่น ยาเสพติด การแข่งรถในทาง การลักลอบเข้าเมือง กลุ่มผู้มีอิทธิพล แหล่งอบายมุขและสถานบริการ หนี้นอกระบบ อาชญากรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์และเทคโนโลยี ฯลฯ จำนวน 3,986 เรื่อง 

2.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพสูง การว่างงาน ความยากจนปัญหาหนี้สิน การขาดแคลนที่ทำกิน ฯลฯ จำนวน 241 เรื่อง 

3.ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำ มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควันโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเสื่อมโทรมในชุมชน ภัยแล้งและอุทกภัย ฯลฯ จำนวน 745 เรื่อง 

4.ปัญหาด้านความขัดแย้ง เช่น ความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนาและเชื้อชาติ ข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อน การสร้างความเดือดร้อนรำคาญในรูปแบบต่าง ๆ ฯลฯ จำนวน 360 เรื่อง

และมีปัญหาที่อยู่ระหว่างหน่วยดำเนินการแก้ไข โดยได้สั่งการเร่งรัดและคาดว่าจะสามารถแก้ไขได้ จำนวน 246 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาด้านสังคม 155 เรื่อง ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 51 เรื่อง ปัญหาด้านเศรษฐกิจ 33 เรื่อง ปัญหาด้านความขัดแย้ง 7 เรื่อง ตามลำดับ

อดีตลูกจ้าง Tesla ยื่นฟ้อง ‘อีลอน มัสก์’ เหตุสั่งโละพนักงานแบบไม่แจ้งล่วงหน้า

อดีตพนักงานจำนวนหนึ่งของ Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับท็อปของโลก ภายใต้การนำของ อีลอน มัสก์ ตัดสินใจยื่นฟ้องบริษัท ที่ได้รับผลกระทบจากแคมเปญ ‘มหกรรมเลย์ออฟพนักงาน’ ของอีลอน มัสก์ ว่าเข้าข่ายขัดต่อกฏหมายคุ้มครองแรงงานของรัฐบาลกลาง เนื่องจากบริษัทประกาศเลิกจ้างอย่างกะทันหันเกินไป ซึ่งไม่ชอบด้วยกฏหมาย 

เรียกได้ว่าเป็นงานเข้าอีกระลอกของอภิมหาเศรษฐีคนดัง อีลอน มัสก์ เลยก็ว่าได้ หลังจากที่เขาบ่นว่า รู้สึกแย่มาก ๆ กับสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ จนเป็นเหตุให้ Tesla ต้องเลิกจ้างพนักงานราว ๆ 10% 

หลังจากการบ่นครั้งนั้นไม่นาน ก็มีอีเมล์จาก อีลอน มัสก์ ส่งถึงพนักงาน Tesla ในวันที่ (3 มิ.ย. 2022) ว่าทางบริษัทตัดสินใจลดพนักงาน 10% ในหลายแผนกที่มีพนักงานล้นงาน ยกเว้นแผนกสายงานผลิตรถยนต์, แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์

นั่นจึงทำให้พนักงาน Tesla มากกว่า 20 คนที่เคยทำงานในโรงงาน Tesla ถูกเลิกจ้างทันทีภายในสิ้นเดือนนี้ (มิ.ย.) และจากการสัมภาษณ์โดยสำนักข่าว Reuters คาดว่าจะมีพนักงานในโรงงาน Tesla ในรัฐเนวาดาถูกเลิกจ้างไม่ต่ำกว่า 500 คน 

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ จอห์น ลินช์ และ เด็กซตัน ฮาร์ทฟิลด์ อดีตพนักงาน 2 คนในโรงงานที่เนวาดา ตัดสินใจยื่นฟ้องบริษัท Tesla เพราะพวกเขาถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 10 และ 15 มิถุนายน หลังจากที่มีการเผยแพร่อีเมล์ของอีลอน มัสก์เพียงไม่กี่วัน ซึ่งผิดกฏหมายคุ้มครองแรงงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่กำหนดว่านายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วันก่อนการเลิกจ้าง พร้อมค่าจ้างชดเชยเต็มจำนวน

สวนนงนุชพัทยา ลงนามความร่วมมือ MOU กับ สวนพฤกษศาสตร์ประเทศคิวบา และ The University of Havana, แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์และต้นไม้ เพื่อการอนุรักษ์พันธุ์พืชและการวิจัย

วันที่ 22  มิ.ย. 65 ณ สวนนงนุชพัทยา ชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย Mr.Carlos Manuel Perez Cuevas Director, Jardin Botanico Nacional และ Dr. Miriam Nicado García, Rector of the University of Havana ร่วมลงนามความร่วมมือ MOU แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์และต้นไม้ เพื่อการอนุรักษ์พันธุ์พืชและการวิจัย

โดยการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ สวนนงนุชพัทยา และ สวนพฤกษศาสตร์ Jardin Botanico Nacional ประเทศคิวบา ได้แลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องเมล็ดพันธุ์พืชที่หายาก ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการศึกษาและนันทนาการด้านสิ่งแวดล้อม และให้การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมแก่ผู้ที่มาเยี่ยมชมและมีส่วนร่วมในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการอนุรักษ์พืชและเชื้อราตลอดจนการสอนเรื่องสวนพฤกษศาสตร์ ในระดับมหาวิทยาลัย โดยที่สวนพฤกษศาสตร์ Jardin Botanico Nacional ประเทศคิวบา และสวนนงนุชพัทยา มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายร่วมกันในการจัดตั้งพัฒนาสวนพฤกษศาสตร์ และคอลเลกชั่นพืชเพื่อการวิจัยและการอนุรักษ์  

นายกประยุทธ์ฯ หนุน ปลูกไม้มีค่า ใช้เป็นหลักประกันกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ และช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มรายได้

นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยร่วมปลูกไม้มีค่า เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน อีกทั้งช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเชิญชวนปลูกป่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน  ปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ปี ค.ศ. 2065 มอบหมายกรมป่าไม้แจกกล้าไม้เต็มอัตรา พร้อมย้ำรับได้เลยที่ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ใกล้บ้าน   

ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการผลักดันให้มีทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ให้เป็นไปตามเป้าหมายนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ได้ร้อยละ 55 ภายในปี พ.ศ. 2580 อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถ้อยแถลงแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทย ต่อที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP 26) ที่จะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่และทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Greenhouse Gas Emission ภายในปี ค.ศ. 2065  โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการสนองตามนโยบายดังกล่าว  รณรงค์ส่งเสริมปลูกต้นไม้ยืนต้นมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครอง เพิ่มป่า เพิ่มรายได้ กรมป่าไม้ได้จัดทำเมนูส่งเสริมการปลูกไม้มีค่า จำนวน 5 โครงการ โดยยืนยันว่าไม้ที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ไม่เป็นไม้หวงห้าม ตัดแปรรูป ขายได้ พร้อมจัดบริการพิเศษ ออกแนวทางในการสำแดง และออกหนังสือรับรองไม้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนไว้แล้ว

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สนับสนุนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเร่งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ลดมลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นและหมอกควัน อีกทั้งเพื่อเป็นการออมและสร้างรายได้ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยสามารถนำไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักค้ำประกันกับสถาบันการเงินได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศกฎกระทรวงตามมาตรา 8(6) แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 และสอดรับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดให้มีพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ

รมว.ทส. กล่าวต่อไปว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้กรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เศรษฐกิจ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กรมป่าไม้มีโครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ จำนวน 5 โครงการ ที่พร้อมให้ผู้สนใจได้เลือกเข้าร่วม เพื่อให้ตรงตามความต้องการ ประกอบด้วย หนึ่ง โครงการส่งเสริมไม้โตเร็วเพื่ออุตสาหกรรม สนับสนุนเงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อไร่ โดยแบ่งจ่ายภายใน 3 ปี แบ่งเป็นปีที่ 1 : 1,500 บาท ปีที่ 2 : 800 บาท ปีที่ 3 : 700 บาท พร้อมสนับสนุนกล้าไม้ 300 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 13 ชนิด เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ไผ่ทุกชนิด สอง โครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นที่ลุ่มน้ำ ชั้น 3 , 4 และ 5 ก่อนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 (คทช.) สนับสนุนเงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อไร่ โดยแบ่งจ่ายภายใน 3 ปี แบ่งเป็นปีที่ 1 : 1,500 บาท ปีที่ 2 : 800 บาท ปีที่ 3 : 700 บาท และสนับสนุนกล้าไม้ 225 ต้นต่อไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 51 ชนิด สาม โครงการสนับสนุนการปลูกไม้เศรษฐกิจ สนับสนุนเงินอุดหนุน 1,000 บาทต่อไร่ เมื่อมีการปลูกต้นไม้ครบตามจำนวน ไม่น้อยกว่า 100 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 38 ชนิด เช่น สัก ประดู่ป่า สี่ โครงการส่งเสริมการปลูกไม้โตเร็วเพื่อพลังงานทดแทน สนับสนุนกล้าไม้ 800 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 6 ชนิด เช่น ไม้ยูคาลิปตัส กระถินยักษ์ และ ห้า โครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นที่ยางพาราและพื้นที่เกษตรกรรมสนับสนุนกล้าไม้ 50 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ เช่น สัก ประดู่ป่า ตะเคียนทอง

อัฟกาฯ เผย ยอดผู้เสียชีวิตเหตุแผ่นดินไหว ดับเฉียดพัน บาดเจ็บ 600 คาดมีเพิ่มอีก

รัฐบาลอัฟกานิสถานเผยยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวช่วงกลางดึก พุ่งขึ้น 920 คนเป็นอย่างน้อยแล้ว

ชาราฟุดดิน มุสลิม รัฐมนตรีช่วยกระทรวงรับมือภัยพิบัติของรัฐบาลตอลิบานของอัฟกานิสถาน แถลงข่าวว่า พบผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.1 เพิ่มเป็นอย่างน้อย 920 คน พร้อมผู้บาดเจ็บอีกกว่า 600 คน

ทั้งนี้ ขนาดความรุนแรงของแผ่นดินไหวแตกต่างกัน ตามแต่รายงานของสื่อแต่ละสำนัก เช่น สำนักข่าว AFP รายงานว่ารุนแรง 5.9 แต่ Reuters รายงานว่าสูงถึง 6.1 เบื้องต้น โดยยังมีผู้ประสบภัยจำนวนมากติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top