Tuesday, 29 April 2025
ค้นหา พบ 47725 ที่เกี่ยวข้อง

ส.ว.ยก 'ชัชชาติ' คลื่นลูกใหม่ทางการเมือง สะท้อนปรากฏการณ์ คนเบื่อ 'สลิ่ม-สามกีบ'

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดดังนี้...

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คลื่นลูกใหม่ทางการเมือง

ถึงจุดที่คนไทยเบื่อความขัดแย้ง ความแตกแยกของคนในชาติ เบื่อเหลืองแดง เบื่อสามกีบ เบื่อสลิ่ม เบื่อคนรุ่นใหม่รุ่นเก่า เขาจึงแสดงออกโดยเลือกชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เชื่อว่าจะเป็นตัวแทนของคนที่เป็นกลางๆ ไม่ซ้ายไม่ขวา เชื่อมต่อได้ทุกรุ่นทุกสี มีความทันสมัย ไม่เจ้าขุนมูลนาย ไม่พิธีรีตองเกินความจำเป็นและไม่ติดกับระบบราชการมากเกินไป เป็นผู้บริหารที่เป็นของคนทุกๆ คน แค่ทำงานไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติของการจัดการกรุงเทพมหานคร เป็นความหวัง ตอบความหิวกระหายของคนไทยที่อยากได้นักการเมืองเช่นนี้

เชื่อว่าชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงการเมืองใหม่ ลดความขัดแย้งในสังคมไทย สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ก้าวข้ามปัญหาทั้งปวงที่ทับถมอยู่ในประเทศนี้ถึง 20 ปี เป็นคลื่นลูกใหม่และพายุทางการเมืองที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

นายวันชัย กล่าวอีกว่า พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้ว่ากทม. 2 สมัยในอดีต จากป้ายฝาเข่ง ใส่เสื้อม่อฮ่อม รองเท้าแตะ ถีบจักรยานหาเสียง กลายเป็นจำลองฟีเวอร์ พัฒนาไปสู่การเมืองยุคใหม่ในขณะนั้น เป็นพรรคพลังธรรม มี ส.ส.ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อยู่ในระดับพรรคการเมืองขนาดกลาง สร้างคนสร้างบทบาททางการเมือง สร้างความหวังให้กับคนไทยได้ในระดับหนึ่ง ยังมีนักการเมืองจากพลังธรรมที่โลดแล่นอยู่ในเวทีขณะนี้รวมทั้งทักษิณ ชินวัตร 

พายุลูกใหม่ทางการเมืองอย่างชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็คงจะพัฒนาไปเช่นนั้น เป็นพายุและคลื่นทางการเมืองที่สาดซัดไปทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัดในอนาคตทางการเมืองต่อไป

'กลาโหมจีน' กร้าว!! 'ไม่ลังเลที่จะเริ่มสงคราม' หากไต้หวันกล้าประกาศเอกราชแยกตัวจากจีน

รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ประกาศต่อรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ว่า จีนไม่ลังเลที่จะเริ่มสงคราม หากไต้หวันประกาศเอกราช

โดยคำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการประชุมด้านความมั่นคง ‘แชงกรี-ลา ไดอะลอก’ ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่เปิดฉากขึ้นแล้วในวันนี้ 10 มิถุนายน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เจ้าหน้าที่ระดับสูง และเหล่าผู้นำภาคธุรกิจจากทั้งภูมิภาคเอเชีย และกลุ่มประเทศตะวันตกเข้าร่วม

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีกลาโหมจีน 'เว่ย เฟิ่งเหอ' เผชิญหน้ากับ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แบบต่อหน้าเป็นครั้งแรก โดยเฟิ่งเหอเตือนออสตินว่า “หากใครกล้าแยกไต้หวันออกจากจีน กองทัพจีนจะไม่ลังเลที่จะเริ่มสงคราม ไม่ว่าจะต้องสูญเสียเท่าไหร่ก็ตาม” 

ไม่เพียงเท่านั้น เฟิ่งเหอ ยังให้คำมั่นว่าจีนจะ “ทำลายแผนการประกาศเอกราชของไต้หวันให้ป่นไม่มีชิ้นดี และจะธำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพของมาตุภูมิ” ตามแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมจีน

เขายังย้ำว่า “ไต้หวันคือของจีน...การใช้ไต้หวันเพื่อกดดันจีน จะไม่มีวันสำเร็จ”

ด้านออสตินระบุว่า สหรัฐฯ “ยืนกรานถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพทั่วช่องแคบไต้หวัน และต่อต้านความพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบัน และร้องขอให้จีนยับยั้งช่างใจต่อการกระทำที่จะบั่นทอนเสถียรภาพต่อไต้หวัน”

'รัสเซีย' ช่วยส่งน้ำมัน 'จีน' ช่วยส่งเวชภัณฑ์-ข้าว-ดูแลหนี้ น้ำใจที่ ศรีลังกา ไม่เคยได้จากการคบตะวันตกกว่า 100 ปี

ที่ผ่านมาในยามศรีลังกา มีกินมีใช้ แต่ก็มักจะถูกฝ่ายระเบียบโลกเก่า สหรัฐอเมริกา และอดีตเจ้าอาณานิคมสหราชอาณาจักร ปอกลอกจนหมดตัว ผ่านนโยบายรัฐบาลที่โปรตะวันตก เห่อตามกระแสถือครองเงินดอลลาร์, ยูโร ในสัดส่วนที่สูงมากกว่าเงินตราชาติตนเอง

ส่งผลให้เกิดการละทิ้งภาคเกษตรลงไป 50% จนรายได้ลดหายไป, พิมพ์เงินตราท้องถิ่นตนเพิ่มไม่บันยะบันยังโดยไร้ทองคำค้ำประกัน, ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อไปกับค่าพลังงานสิ้นเปลือง, ปิดโรงกลั่นน้ำมันดิบ ซื้อน้ำมันสำเร็จรูปเอาสะดวกเข้าว่า...

...ไม่นานนักอัตราเงินเฟ้อก็ทะยานกว่า 39%

พอหมดหนทาง ก็พิมพ์เงินเพิ่มไปใช้หนี้ต่างประเทศ และพันธบัตร จากนั้นจบตามสูตรด้วยการไปขอกู้ IMF กับธนาคารโลก พร้อมทั้งทำแผนขายสินทรัพย์ชาติ เช่น สายการบิน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นสูตรสำเร็จในการโจมตีค่าเงินแบบชาติตะวันตก ที่ทำกันมานานแล้วกับหลายชาติที่รัฐบาลโปรตะวันตก และรู้ไม่เท่าทัน (เฉกเช่นพิษต้มยำกุ้งทางเศรษฐกิจ)

สุดท้ายเงินคงคลังของศรีลังกาเกลี้ยง ถังแตก ไม่มีเงินชำระหนี้คงค้างค่าน้ำมันสหรัฐฯ แม้จะแค่ 53 ล้านดอลลาร์ ด้านเรือน้ำมันก็จอดจิบกาแฟ นอนตากอากาศสบายใจเฉิบอยู่นอกชายฝั่งไม่ยอมเทียบท่า ท่ามกลางปัญหาทุกข์เข็ญของคนศรีลังกาทั้งประเทศที่ขาดแคลนน้ำมัน ดับลมหายใจการเดินทางด้วยรถยนต์, เรือประมงต้องงดหาปลา, ไฟฟ้าดับแทบตลอดวัน, ขาดยารักษาโรค, อาหาร, สินค้าจำเป็นอุปโภคบริโภค ประชาชนเสียชีวิตไปหลายสิบคนเนื่องจากไม่มีน้ำมันเติมรถไปโรงพยาบาล ขณะที่อุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉินก็ขาดกระแสไฟฟ้าเชื่อมต่อ

ซ้ำร้าย!! รัฐบาลศรีลังกา ที่เคยรับคำสั่งมหาอำนาจจากระเบียบโลกเก่า ก็ได้ทำสิ่งที่ผิดร้ายแรง คือ ประกาศอายัดเครื่องบินโดยสารรัสเซีย แต่เมื่อจนตรอกยากจนทุกข์ยาก ชาติตะวันตกสุดโหดเหล่านั้นก็นิ่งดูดายเสีย ไม่ส่งน้ำมัน ยารักษาโรค หรือแม้จะส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไปให้ ทำให้รัฐบาลศรีลังกา ต้องดิ้นเฮือกสุดท้ายบากหน้ายอมขัดคำสั่งสหรัฐฯ โดยติดต่อขอซื้อน้ำมันจากรัสเซียโดยไม่มีเงิน ซึ่งรัฐบาลศรีลังกาไม่มีความหวังเลยว่ารัสเซียจะช่วยเนื่องจากไปอายัดเครื่องบินโดยสารรัสเซียไว้

>> แต่โลกไม่ได้เลวร้าย และ 'รัสเซีย' ก็ไม่ได้โหดร้ายตามที่ชาติตะวันตกปั้นภาพให้น่ากลัว เมื่อรัฐบาลศรีลังกา กล้าอ่อนน้อมมาขอ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียก็กล้าให้ ตามสไตล์ 'นักเลงโบราณ ใจถึงพึ่งได้' โดยปูตินสั่งบริษัทพลังงานรัฐวิสาหกิจของรัฐ ขนน้ำมันดิบใส่เรือมาเทียบท่าศรีลังกาในเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น 

ส่วนเรื่องเงินค่าน้ำมันน่ะหรอ!! สำหรับรัสเซียแล้วเล็กน้อยมาก ให้ติดหนี้ไว้ก่อนมีเมื่อไรค่อยมาใช้ คนจะอดตายอยู่แล้วไม่ใช่เวลามาขูดเลือดกับปู 

เรื่องนี้แม้แต่รัฐบาลศรีลังกา ยังแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาคบกับชาติตะวันตกมาเป็นร้อยปี มีแต่ถูกเอาเปรียบกดขี่เอาแต่ได้แถมยังถูกปอกลอกมาตลอด ขณะที่รัสเซียไม่เพียงแค่ช่วยขนน้ำมันมาให้ถึงท่า แต่ยังส่งทีมงานมาช่วยเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันอีกด้วย ส่งผลให้เกิดผลผลิตพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันดิบตามมามากมาย เช่น ก๊าซเหลวหุงต้ม, น้ำมันหล่อลื่น, น้ำมันเตา, ยางมะตอย ฯลฯ

งานนี้ส่งผลให้ศรีลังกา ละอายใจมากแพ้ใจนักเลงรัสเซีย จนต้องรีบปล่อยอายัดเครื่องบินโดยสารทันที

>> ล่าสุดมิตรแท้ ก็โผล่มายามยากจนข้นแค้นอีกราย คือ 'จีน' ที่ได้ขนส่งเวชภัณฑ์ ข้าว และสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อมนุษยธรรมฉุกเฉินล็อตแรก 500 ล้านหยวน ถึงศรีลังกาเป้นที่เรียบร้อย และที่คาดไม่ถึงคือ นายจ้าว ลี่เจี้ยน (Zhao Lijian) โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงว่า "จีนจะช่วยศรีลังกาจัดการกับภาระหนี้สินที่มีต่อจีน และหนี้กับประเทศอื่น รวมทั้งหนี้กับองค์กรระหว่างประเทศ (IMF, World bank) อีกด้วย"

...เพื่อนกินหาง่ายยามเรามีกินมีใช้ แต่พวกเขาจะพากันหายหัวไปเมื่อเราตกยาก แต่เพื่อนแท้จริงใจจะมาช่วยเหลือในยามที่เราไม่เหลืออะไรเลย แค่อาหาร เวชภัณฑ์ พลังงาน ให้ชีวิตรอดมีแรงเดินต่อได้ และยังช่วยดูแลหนี้ต่างๆ แค่นี้ก็ซึ้งใจ

INTERLINK บินลัดฟ้า สู่ภาคเหนือ จัดงาน Golf VIP Thank You Party 2022 (11 - 12 มิ.ย. 65)

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดทริปพิเศษให้แก่ลูกค้า VIP กลุ่ม Consultant มาร่วมตีกอล์ฟกระชับมิตร ณฺ สนามกอล์ฟ ซัมมิท กรีนวัลเลย์ เพื่อแสดงความขอบคุณกลุ่มลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ LINK รวมถึงอุปกรณ์ Cabling and Networking ด้วยดีเสมอมา 

'ก้าวไกล' ก้าวต่อ ขอทวงคืน 'ทรงผม' ให้ตำรวจ  'สั้น-ยาว' ได้ ขอแค่ 'สุภาพ-เรียบร้อย'

‘ปฏิรูปตำรวจ’ ไม่จริง ‘สารวัตรเพียว’ สะท้อน เสียงข้างน้อยแพ้โหวต ‘กระจายอำนาจ’  ยืนยัน ‘ก้าวไกล’ เป็นรัฐบาลขอปรับโครงสร้างตำรวจใหม่ เผย สัปดาห์หน้าสู้ต่อ ‘ทวงคืนทรงผม’ ให้ตำรวจ

พันตำรวจตรี ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หรือสารวัตรเพียว แสดงความเห็นต่อบรรยากาศการพิจารณา พ.ร.บ.ตำรวจ วาระที่ 2 ซึ่งเป็นการพิจารณารายมาตราช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สามารถพิจารณาไปได้เพียง 14 มาตราจาก 172 มาตรา เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีหลายมาตราที่ตนในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยได้สงวนความเห็นเอาไว้ หากผ่านก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตำรวจ ทำให้ตำรวจไทยดีขึ้นได้ทันที โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจไปให้จังหวัด ลดการรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับที่องค์กรตำรวจญี่ปุ่นใช้ โดยทั่วโลกให้การยอมรับว่าเป็นองค์กรตำรวจที่ดีอันดับต้นๆ ของโลกและมีบริบทที่คล้ายคลึงกันไม่ว่าการเป็นรัฐเดี่ยวหรือการเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

พันตำรวจตรี ชวลิต กล่าวต่อไปว่า ในการอภิปรายมาตรา 13  กรรมาธิการเสียงข้างมากมีการเพิ่มมาตราขึ้นใหม่ต่อจากมาตรา 13 หลายมาตรา ตนจึงได้ขอเพิ่มใหม่เช่นกันเพื่อไปสู่ข้อเสนอสำคัญคือ การกำหนดให้มี ‘กรรมการนโยบายตำรวจจังหวัด’ และ ‘กรรมการนโยบายตำรวจนครบาล’ และเป็นข้อเสนอที่ภูมิใจที่จะบอกว่า เป็นการปฏิรูปได้เต็มปาก

“การจัดโครงสร้างอำนาจแบบที่ผมเสนอจะเปลี่ยนระบบราชการตำรวจให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้ แต่ถึงสภานี้โหวตให้ข้อเสนอไม่ผ่าน อย่างน้อยก็จะเป็นพื้นที่ที่ทำให้ประชาชนทางบ้านได้เห็นว่า รัฐบาลก้าวไกล ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะถึงจะพลิกเปลี่ยนระบบราชการไทยให้มีประสิทธิภาพ มีอนาคตที่สดใส เทียบประเทศที่เจริญแล้วได้อย่างไร”

พันตำรวจตรี ชวลิต กล่าวต่อไปว่า การบริหารองค์กรยุคใหม่ต้องเลิกสายบังคับบัญชาที่ยาว ทำให้ระบบงานอุ้ยอ้าย เปลี่ยนเป็นสายบังคับบัญชาสั้นลง เคารพกันมากขึ้น เจ้านายเคารพลูกน้อง ลูกน้องเคารพเจ้านาย
เปลี่ยนจากโครงสร้างที่ต้องให้เจ้านาย กด ขี่ ควบคุม ลูกน้อง เจ้านายถูกเสมอ ใช้อำนาจแบบบนลงล่าง
เปลี่ยนเป็น โครงสร้างที่ให้ความสำคัญกับคนหน้างาน โดยเจ้านายเป็นผู้สนับสนุนทรัพยากร ให้ลูกน้องทำงานได้ดี ทุกคนมีคุณค่าเท่ากัน การจะเปลี่ยนอนาคตให้เป็นแบบนี้ได้ จะต้องทำลายโครงสร้างอำนาจแบบรัฐรวมศูนย์

ตอนอภิปรายในมาตรา 7 เราเห็นปัญหางบประมาณ เพราะจากส่วนกลางคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นหน่วยรับและจัดงบ กว่าจะไหลหยดไปทีละชั้น ก็มองแต่อะไรใกล้ตัว จนกลายเป็นงบซื้อเครื่องบิน สร้างตึกหรู ทำให้งบที่ไหลลงตำรวจภาคเหลือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น พอไปถึงระดับตำรวจภาคก็ทำแบบเดียวกัน กว่าจะถึงสถานีตำรวจ คนหน้างานที่บริการรับใช้ประชาชนก็ขาดแคลนงบตลอดเวลา

สำหรับการจัดโครงสร้างอำนาจใหม่ให้เป็นการกระจายมากกว่าเป็นรัฐราชการรวมศูนย์ พันตำรวจตรี ชวลิต อภิปรายว่า ต้องทำให้สายบังคับบัญชาสั้นลง โดยตัดอำนาจบังคับบัญชาระหว่างตำรวจภาคกับตำรวจจังหวัด และตัดอำนาจบังคับบัญชาระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับตำรวจนครบาล แล้วเปลี่ยนจากอำนาจบังคับบัญชาให้เป็นการสนับสนุน จากนั้นจึงให้มี ‘คณะกรรมการนโยบายตำรวจจังหวัด’ และ ‘คณะกรรมการนโยบายตำรวจนครบาล’ มาเป็นผู้บังคับบัญชาแทน เพื่อให้สามารถดูแลจัดการพื้นที่ได้ตามสภาพแต่ละจังหวัดที่มีบริบทแตกต่างกันไป

สำหรับคุณสมบัติหรือที่มาของ คณะกรรมการนโยบาย ได้เสนอให้ คณะกรรมการนโยบายตำรวจนครบาล มาจาก ‘ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร’ สรรหามาจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ ในทางด้านนิติศาสตร์ การบริหารรัฐกิจ การเงินการคลัง จิตวิทยาองค์การ และสังคมวิทยา ด้านละหนึ่งคน และให้ สภา กทม. รับรอง ส่วนของจังหวัดแต่ละจังหวัด ก็ทำไปในกระบวนการลักษณะเดียวกัน และกำหนดให้ตั้งอนุกรรมการทำหน้าที่ต่างๆ เช่น ติดตามผลการดำเนินงานและรับเรื่องร้องเรียน การประชุมต้องโปร่งใส ประชาชนเข้าถึงรายงานการประชุม และมติการประชุมได้ง่าย

“โครงสร้างอำนาจแบบกระจายอำนาจแบบนี้ เอาแบบมาจากตำรวจญี่ปุ่น พ.ร.บ. ตำรวจ ญี่ปุ่น วางโครงสร้างไว้ตั้งแต่หลังจบสงครามโลก โดยไม่แก้เลยเป็นเวลา 70 ปีแล้ว ผลก็คือได้รับการจัดอันดับให้เป็นองค์กรตำรวจที่ดีอันดับต้นๆ ของโลก นี่คือพิสูจน์มาแล้ว ประเทศไทยคงไม่ต้องมาลองผิดลองถูกอีกแล้ว การปรับนิดๆ หน่อยๆ แต่ยังคงความเป็นอำนาจรวมศูนย์เหมือนเดิมไม่ใช่การปฏิรูป การปฏิรูปตำรวจ จริงๆ คือ ต้องกระจายอำนาจให้เกิดขึ้นจริง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top