Sunday, 27 April 2025
ค้นหา พบ 47686 ที่เกี่ยวข้อง

'ปวิน' พอใจ ศาลญี่ปุ่นสั่งจำคุก 20 เดือน คนร้ายบุกบ้าน เจ้าตัวเชื่ออำนาจเก่าอยู่เบื้องหลัง เพราะไม่มีศัตรูในญี่ปุ่น

(8 มิ.ย) ศาลแขวงโตเกียว ออกคำพิพากษาจำคุก ทัตสึฮิโกะ ซาโตะ (Tatsuhiko Sato) ชายชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปีในความผิดบุกเข้าบ้านที่กรุงโตเกียวของ รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการชาวไทยและเป็นคนร้ายคดีหมิ่นที่กำลังลี้ภัยอยู่ในญี่ปุ่นเวลานี้ เมื่อปี 2019 และทำร้ายร่างกาย โดยศาลแขวงโตเกียวตัดสินโทษจำคุกนาน 20 เดือนในเรือนจำ เจ้าตัวยืนยันเชื่อกลุ่มอำนาจเก่าอยู่เบื้องหลังยืนยันพอใจต่อคำตัดสิน

เอเอฟพีรายงานว่า ทัตสึฮิโกะ ซาโตะ (Tatsuhiko Sato) ชายชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปีผู้ต้องหาคดีบุกทำร้ายนักวิชาการคนดังสายเสื้อแดง รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ล่าสุด (วันพุธ 8) พบว่า ศาลแขวงโตเกียวได้ออกคำพิพากษาลงโทษจำคุก 20 เดือนในเรือนจำ จากการที่บุกรุกเข้าบ้านผู้อื่นยามวิกาลและทำร้ายผู้เสียหายและอีกคนที่อยู่ด้านในด้วยการพ่นแก๊สน้ำตาใส่ อ้างอิงเวลาเกิดเหตุจากการให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ปวินสำหรับสื่อไทยพบว่าเกิดขึ้นราวตี 4 ของวันนั้น 

สำหรับคดีนี้อัยการต้องการให้ศาลสั่งลงโทษจำคุกซาโตะในเรือนจำ 2 ปี

เจแปนไทม์สรายงานก่อนหน้าว่า ในการไต่สวนนัดแรกของศาลแขวงโตเกียวพบว่าคนร้ายยอมรับต่อข้อหาและกล่าวว่า การบุกรุกเข้าบ้านของผู้เสียหายที่กรุงโตเกียวเมื่อกรกฎาคม ปี 2019 นั้นเป็นไปตามคำสั่งของ “รุ่นพี่” โดยเขาใช้คำว่า “เซ็นไป” (senpai) แต่ปฎิเสธที่จะเปิดเผยต่อในรายละเอียดรวมไปถึงชื่อของผู้สั่งการรายนั้น

นักวิชาการเสื้อแดงกล่าวต่อศาลว่า เขายังคงมีชีวิตอยู่ในความกลัวต่อไป

อ้างอิงการรายงานจาก NHK อัยการญี่ปุ่นกล่าวต่อศาลว่า พบว่าซาโตะเคยไปดูลาดเลาที่บ้านพักมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ครั้ง

ขณะที่ รศ.ปวิน ได้กล่าวต่อศาลโดยชี้ให้เห็นว่า เขาไม่มีศัตรูอยู่ในญี่ปุ่นและการที่เขาเป็นผู้ทำลายขนบด้วยการเปิดการอภิปรายอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับระบบสถาบันกษัตริย์ของไทยทำให้เขาเชื่อว่า รัฐบาลไทยอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีบุกทำร้ายนี้

'อดีตบิ๊ก ศรภ.' ข้องใจ!! ใครเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภากันแน่ แนะ 'หมอชลน่าน' ควรทวงศักดิ์ศรีหัวหน้าพรรคด่วน

'พล.ท.นันทเดช' บอกในฐานะ FC หมอชลน่าน แนะต้องทวงคืนศักดิ์ศรีหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด่วน ไม่งั้นศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็พ่ายยับเหมือนกฎหมายงบประมาณ

(9 มิ.ย.65) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ 'พรรคฝ่ายค้านใครเป็นผู้นำใครกันแน่' มีเนื้อหาว่า...

ในระยะนี้ ผมสงสารหมอชลน่าน ทั้งในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภา เพราะ...

1.การออกพบปะประชาชน ที่ จ.สุรินทร์ ของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (คุณอุ๊งอิ๊ง) ซึ่งไม่สามารถมาได้ เนื่องจากป่วยนั้น ตามปกติผู้ที่มาปฏิบัติหน้าที่แทน ควรเป็นหัวหน้าพรรคคือ คุณหมอชลน่าน แต่กลับมีการมอบหน้าที่เรื่อง การพบปะประชาชนนี้ "ข้าม" ผ่าน หมอชลน่าน ไปให้ "คุณโอ๊ค" แทน…เสียหน้าหมอหมดไหมล่ะ

2.คราวนี้มาดูบทบาทของหมอ "ชลน่าน" ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้านบ้าง ผลการอภิปราย เรื่องงบประมาณ ที่ออกมาแพ้ยับเยินเกินความคาดหมาย หมอจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังมาถึงนี้ มีแนวโน้ม จะ "แพ้" ในรูปแบบเดิมอีก
 

อึ้ง!! หอยหวานหาดแม่รำพึง จานละ 1,530 นักท่องเที่ยวโอดแพงกว่ากุ้งมังกรอีก

นักท่องเที่ยวอึ้ง!! เจอร้านอาหารริมหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง วางบิลเรียกเก็บค่าหอยหวาน 1 จาน ราคา 1,530 บาท

โดยผู้ที่ออกมาร้องเรียน คือ นางสาวอัจฉรารัตน์ หงษา พนักงานโรงงานอุตสาหกรรม อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ได้พาเพื่อนๆ ที่มีทั้งคนจีนและคนไทย รวม 6 คน ไปกินอาหารทะเลที่ร้านอาหารริมหาดแม่รำพึง ตำบลตะพง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง และสั่งอาหารทะเลมาจำนวน 14 รายการ เช่น กุ้งมังกรเผา หอยนางรมสดทรงเครื่อง ปลานึ่งซีอิ๊ว ปูม้านึ่งและเผา ปลากะพงเผาเกลือ และอื่นๆ

1 ใน 14 เมนู มีหอยหวาน 1 จาน น้ำหนักรวมไม่น่าจะถึง 1 กิโลกรัม หลังจากที่กินกันเสร็จ ก็เรียกเช็กบิล ปรากฏว่า ราคารวมแล้ว 8,484 บาท แต่ที่ทุกคนตกใจคือเมนูหอยหวาน จานเดียวคิดราคา 1,530 บาท แพงกว่ากุ้งมังกร 1 ตัว ที่มีราคา 1,500 บาทเท่านั้น ส่วนราคาอาหารอย่างอื่นปกติ อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบลงมากำกับดูแล เพราะอาจจะส่งผลกระทบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะหาดแม่รำพึง ที่อยู่ในช่วงของการฟื้นฟูจากผลกระทบคราบน้ำมัน


ที่มา: https://news.ch7.com/detail/574906

'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม สหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติที่ภูเก็ต

(9 มิ.ย. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งน่ายินดีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติ ครั้งที่ 58 (The 58th ISU Congress) ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2565 เชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสแสดงศักยภาพด้านการจัดประชุมนานาชาติ รวมทั้งผลักดันการท่องเที่ยวไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมนำเสนอความเป็นไทย การเป็นเจ้าภาพที่ดีเพื่อเปิดรับโอกาสในการจัดกิจกรรมและการประชุมระดับนานาชาติในอนาคต

นายธนกร กล่าวว่า ภายหลังรัฐบาลได้ปรับมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์โลก ประเทศไทยก็กลับมาสู่กระแสการท่องเที่ยว การกีฬา และการจัดการประชุมระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติ ครั้งที่ 58 (The 58th Congress of the International Skating Union (ISU) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรมฮิลตัน ภูเก็ต อาร์คาเดีย รีสอร์ต แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต ภายใต้แนวคิดต้นแบบการประชุมรักษ์โลก (Green Meeting) 

'อุตตม' ชี้!! เร่งฟื้นท่องเที่ยว รัฐบาลต้องมี '3 พร้อม'

อุตตม โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้เร่งฟื้นภาคท่องเที่ยวสร้างรายได้ประเทศรองรับแรงกระแทกจากปัญหาเศรษฐกิจรอบด้าน แนะรัฐบาลต้องมีความพร้อม 3 ด้าน ทั้งการสร้างความได้เปรียบประเทศคู่แข่ง การช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ใช้โอกาสนี้เร่งสร้างรายได้ชดเชยความเสียหายจากโควิด และส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยว
 
นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กส์ ระบุว่า หลังจากที่ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเมื่อ 1  มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนเชื่อว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวต่างก็รู้สึกกลับมามีความหวังอีกครั้ง ซึ่งตนก็รู้สึกเช่นนั้น และยังคิดหวังต่อไปอีกว่า หากเราสามารถพลิกฟื้นการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว จะส่งผลดีต่อประเทศในแง่แหล่งรายได้ ที่มาช่วยดูดซับแรงกระแทกจากปัญหานานับประการที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และที่สำคัญจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันของผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม เป็นโอกาสให้พวกเขาฟื้นฟูกิจการและกลับมาเข้มแข็งได้อีก


 
อย่างไรก็ตาม การจะพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนนั้น รัฐบาลต้องมี '3 พร้อม' ประกอบด้วย
 
1.พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเสริมสร้างให้เกิดความได้เปรียบเหนือประเทศคู่แข่งในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
 
2.พร้อมช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ ให้เข้มแข็งสามารถฟื้นฟูกิจการ และใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างรายได้โดยเร็ว

3.พร้อมสนับสนุนและลงทุน เพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวโดยเร็ว

“เราต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์โควิดและเศรษฐกิจในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กระทบผู้ประกอบการอย่างรุนแรง นอกจากรายได้จะหายไปแล้ว ทุนที่มีอยู่ก็ถูกนำมาใช้จนร่อยหรอแทบหมดลง ผมเสนอว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยว ต้องร่วมกันจัดหามาตรการที่ถือเป็นมาตรการพิเศษ มาช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินทุนได้อย่างเพียงพอโดยรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้โอกาสที่การท่องเที่ยวมีสัญญาณพลิกฟื้นได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งบรรเทาปัญหาหนี้สินก่อนที่จะทรุดหนักไปมากกว่านี้”

นายอุตตม ระบุอีกว่า การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องเกิดการลงทุนใหม่ ซึ่งจากการที่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการเอกชนหลายรายในพื้นที่การท่องเที่ยวต่างๆของประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการต้องการลงทุน แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจที่ยังมีความท้าทายและความเสี่ยงมากเช่นนี้ มองว่ารัฐบาลสมควรพิจารณามาตรการที่จะส่งเสริมจูงใจให้เอกชนลงทุน พร้อมทั้งสื่อสารให้ผู้ประกอบการทราบอย่างชัดเจน เช่น แผนการลงทุนที่เกื้อหนุนภาคการท่องเที่ยวในทันที การช่วยผู้ประกอบการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรในภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการพิจาณาสิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อกระตุ้นและจูงใจให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนในรูปแบบใดบ้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการในเรื่องเหล่านี้และอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้รวดเร็ว ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนเดินหน้าลงทุน ทั้งกลุ่มผู้ลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top