Sunday, 29 June 2025
ค้นหา พบ 49095 ที่เกี่ยวข้อง

กระแสธุรกิจ Startup คือแนวทางของโลกยุคใหม่ การสร้าง Mindset หรือวิธีคิดให้ลูกเติบโตเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ ต้องเริ่มต้นอย่างไร ไปติดตามบทสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญกัน (ตอนที่ 1)

กระแสซี่รี่ส์เกาหลี Start up กระตุ้นหัวใจคนมีฝันหลายคนอยากจะลุกขึ้นมาสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง นอกจากซี่รี่ส์เรื่องนี้จะปลุกไฟในตัวแล้ว ยังทำให้เราเข้าใจการเป็นผู้ประกอบการรูปแบบใหม่ในยุคดิสรัปชั่นมากขึ้นอีกด้วย

ในฝั่งประเทศไทย ธุรกิจแนว startup ก็เป็นที่จับตามองไม่น้อย เห็นอย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะเริ่มสนใจอยากให้ลูกมีคุณสมบัติผู้ประกอบการในศตวรรษที่ 21 กันบ้าง วันนี้เรามีบทสัมภาษณ์จากคุณม๋ำ เมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ CEO และ Co-founder BASE Playhouse และ คุณกันต์ พสิษฐ์ ศรียาภัย Sharktank incube มาแบ่งปันประสบการณ์ความรู้ให้ฟังกันค่ะ

ถามก่อนเลย ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการมาก่อน อยากให้ลูกมีคุณสมบัติผู้ประกอบการ ควรส่งเสริมอะไร

คุณม๋ำ  : ความเป็น Entrepreneurship หรือคุณสมบัติของผู้ประกอบการ แบ่งองค์ประกอบออกเป็น 3 องค์ประกอบหลัก ๆ คือ ความรู้ ความคิด mindset ความรู้คือสิ่งที่หาได้ ความคิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนทักษะด้าน mindset ถูกสร้างได้ด้วยประสบการณ์ ถ้าจะเปลี่ยน mindset ต้องสร้างประสบการณ์ขึ้นมาใหม่หรือการลงมือทำ สร้างสิ่งแวดล้อมของผู้ประกอบการ ซึ่งสิ่งแวดล้อมผู้ประกอบการก็สามารถสร้างขึ้นในโรงเรียนได้

คุณกันต์ : ผมคิดว่าความกล้าสำคัญ หลายคนคิดแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ความเป็นผู้ประกอบการก็ไม่เกิด

การเลี้ยงดูยังไงที่จะบ่มเพาะจุดเริ่มต้นในการเป็นผู้ประกอบการ

คุณม่ำ : การเลี้ยงดูมีผลมาก เพราะ mindset มาจากประสบการณ์ ประสบการณ์ในวัยเด็กที่ได้เรียนรู้จากพ่อแม่ ย่อมส่งผลต่อชุดความคิดด้วย เช่น ถ้าลูกอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยมาก ถูกห้ามว่า ‘อย่า’ หรือ ‘ไม่’ เพื่อความปลอดภัย เด็กจะหยุดอยู่ในกรอบ สูญเสียศักยภาพนอกกรอบ เกิดเป็นชุดความคิดที่หลีกเลี่ยงความท้าทาย ถ้าท้าทายเด็กจะไม่ทำ แต่เด็กที่ได้ลองทำอะไรด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก จะได้เรียนรู้โดยไม่ต้องกลัวล้มเหลวเหมือนมี sandbox ที่พ่อแม่สร้างให้

คุณกันต์ : ผมเสริมอีกมุมหนึ่งแล้วกัน มีเด็กส่วนหนึ่ง ประมาณ 10-30 เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้จักการอดทน ไม่รู้จักคำว่ายังไม่ได้ ก็จะแก้ปัญหาด้วยเงิน เงินเป็นเหมือน cheat code ในโลกของเรา เช่น เด็กทำของหายก็ไม่หา ซื้อใหม่เลย ทั้ง ๆ ที่ถ้าหาอาจจะเจอก็ได้ ควรให้เด็กรู้ว่าการหาเงินนั้นมันไม่ง่าย โตมาเราต้องหาเงินนะ การที่เด็กไม่รู้ที่มาของเงินเป็นลูปที่ออกยากและกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ทำงานแล้ว ควรสอนให้ลูกรู้ว่า พ่อแม่เอาเงินมาจากไหน สอนให้ลูกจัดการเงินเองได้ เข้าใจการลงทุนและการได้มาของเงินตั้งแต่เด็ก 

มีวิธีที่พ่อแม่ช่วยเรื่อง mindset และทักษะได้ยังไงบ้าง

คุณม่ำ บนพื้นฐานของคุณสมบัติผู้ประกอบการ มองเป็น 3 ข้อ

1.) ความเชื่อมั่น รับรู้ ศักยภาพขอตนเอง เรียกว่า self-efficacy คือรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร เก่งอะไร self-efficacy เป็นส่วนหนึ่งใน mindset ของ entrepreneurship อีกอย่างหนึ่งคือ growth mindset ที่จะเปลี่ยนจากสิ่งที่เก่งที่ถนัดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ จะขาดสิ่งนี้ไม่ได้

2.) Take Risk หรือการกล้าเสี่ยง สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการทำงานแบบ full-time และ entrepreneur คือการเล่นกับสภาวะความมั่นคงทางการเงิน การสร้างสิ่งใหม่ที่หาเงินได้นั้นมีความเสี่ยง take risk ก็เป็น mindset อย่างหนึ่งเหมือนกัน

3.) Opportunity Finding หรือ มุมมองของการเห็นโอกาส สังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มองเห็นเป็นโอกาสแล้วหยิบสิ่งรอบตัวมาหาเงินได้ อันนี้เป็นกึ่ง ๆ ทักษะ 

อันที่จริงมีมากกว่านี้แต่ 3 สิ่งนี้คือหลัก ๆ 

คุณกันต์ : ของทาง incubator ถ้าไม่รู้อายุ ก็มี 4 สิ่งที่ต้องมี

1.) Creativity ความคิดสร้างสรรค์ เป็นผู้ริเริ่ม ไม่รอให้ใครมาสร้างให้ สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเอง

2.) Try การลอง อาจจะเป็นการลองทำในสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ลองไปเรื่อย ๆ ถ้ามันไม่เวิร์คก็หา solution หรือวิธีใหม่ การคิดอย่างเดียวไม่สามารถต่อยอดได้ ต้องลอง

3.) Impact เราอยากให้เกิดประโยชน์ขนาดไหน เกิดประโยชน์กับคนในซอยหมู่บ้าน หรืออยากทำให้ทำเงินได้จริง หรือสามารถพัฒนาชีวิตประจำวันของคนอื่นได้

4.) เติมความเป็น Entrepreneur การเป็นผู้ประกอบการเขาต้องรู้อะไรบ้าง มันมีเงินมาเกี่ยวข้อง แต่ก็อย่าให้เงินมาจำกัดความคิดสร้างสรรค์ของเราได้

ติดตามความรู้การเตรียมพร้อม mindset ผู้ประกอบการให้แก่ลูกกันต่อได้ ในตอนหน้าค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ Mindset ผู้ประกอบการสร้างได้

https://www.facebook.com/watch/live/?v=390112005622287&ref=search  

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

กระแสธุรกิจ Startup คือแนวทางของโลกยุคใหม่ การสร้าง Mindset หรือวิธีคิดให้ลูกเติบโตเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ ต้องเริ่มต้นและเข้าใจอะไรกันบ้าง ไปติดตามบทสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญกัน (ตอนที่ 2)

ตอนที่แล้ว คุณม๋ำ เมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ CEO และ Co-founder BASE Playhouse และ คุณกันต์ พสิษฐ์ ศรียาภัย Sharktank incube  แนะนำสิ่งที่ช่วยให้ลูกสร้าง mindset ของผู้ประกอบการในอนาคต ตอนนี้เรามาฟังทั้งสองคนกันต่อค่ะ

ครอบครัวที่พ่อแม่เป็นเถ้าแก่ ลูกจะเป็นเถ้าแก่ในอนาคตไปเลยไหม

คุณม๋ำ : ไม่เกี่ยวซะทีเดียว แต่ก็มีชุดความคิดหรือ mindset ที่ถูกถ่ายทอดมาเองจากสิ่งแวดล้อมในครอบครัวที่เด็กโตมา ถ้าพ่อแม่เปิดโอกาสให้ลูกได้เห็นกระบวนการหรือสิ่งที่พ่อแม่ทำ หรือได้ยินสิ่งที่พูดคุยกันเกี่ยวกับธุรกิจบนโต๊ะกินข้าวเป็นประจำ องค์ความรู้ถูกถ่ายทอดส่งต่อลูกก็เพิ่มโอกาสให้เด็กเข้าใจคอนเซ็ปต์ของผู้ประกอบการได้เช่นกัน

แล้วทำไมเด็กบางคนไม่อยากรับช่วงต่อธุรกิจที่บ้าน

คุณม๋ำ : น่าจะเป็นที่มุมการศึกษา สร้าง norm หรือค่านิยม เหมือนไม้บรรทัดที่สังคมวัดให้ อย่างยุคผมนี่จบวิศวะต้องต่อบริหาร แต่มหาวิทยาลัยสมัยนี้เค้าดิสรัปท์แล้ว รูปแบบ mindset ของมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไป ความเป็นเทรนด์ก็ค่อย ๆ ลดลง

คุณกันต์ : เราโตมากับการสอบเพื่อเข้าคณะเรียนที่ดี ที่สูงขึ้น พ่อแม่ยุคนี้ก็ยังภูมิใจถ้าลูกเป็นหมอ เป็นวิศวะ ตอนนี้มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น เด็กยุคนี้เข้าใจอาชีพเหล่านี้ อย่าง Tech Startup หรืออาชีพนักท่องเที่ยว

คุณม๋ำ : เทคโนโลยีดิจิทัล มาทำให้ตลาดแรงงานเปลี่ยนไป เกิดอาชีพใหม่ และมาล้มล้าง fact เดิม ๆ ที่ว่าแค่หมอหรือวิศวะ มีคนที่ทำงาน Smart Farming มีอาชีพของคนที่ขับโดรนได้ เทคโนโลยีทำให้เกิดอาชีพใหม่ และมากระตุ้นการสร้างผู้ประกอบการ

Startup คืออะไรกันแน่

คุณม๋ำ : สตาร์ทอัพก็คือการสร้างธุรกิจที่เกิดใหม่ แต่ความแตกต่างคือ มีธุรกิจที่เป็น Tech Startup ที่ถูกผูกกับเทคโนโลยีเพื่อมาช่วยปลดล็อคการสเกลธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ถามว่าสตาร์ทอัพมีความเสี่ยงสูงมั้ย ความเสี่ยงสูง แต่พอสำเร็จ ก็สำเร็จจริงเหมือนกัน และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคาแรกเตอร์ที่เหมาะจะมาเป็น entrepreneur คนที่เหมาะต้องมีคาแรกเตอร์ที่มีความสุขได้บนความเสี่ยงนั้น คนที่ชอบความสบายใจที่มีเงินเติมมาในบัญชีทุกเดือน อาจจะไม่เหมาะ

คุณกันต์ : สตาร์ทอัพคือธุรกิจที่พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด ถ้าให้กันต์ตอบคือมันไม่ง่าย ต้องเรียนรู้รอบด้าน ทำสตาร์ทอัพเหมือนไต่บันไดงู ขึ้นไปหน่อยเดี๋ยวก็ลงมา ลงแล้วก็ขึ้น แล้วเดี๋ยวก็ลงอีก

ถ้า mindset ได้แล้ว มีทักษะอะไรที่ต้องมีบ้าง

คุณม๋ำ : ทักษะของการลุกเป็น ล้มแล้วลุกเร็ว หรืออาจจะเรียกว่า resilience skill เป็นทักษะโดยทั่วไปพื้นฐานในการทำธุรกิจ อย่างทักษะด้านการเงิน ทักษะด้านธุรกิจ ต้องรู้จักการลงทุน เข้าใจว่าคุ้มไม่คุ้มคืออะไร แม้ว่าจะขายน้ำส้มยันธุรกิจยูนิคอร์น ต้องตอบให้ได้ว่ามีของแล้วทำกำไรได้ยังไง อันนี้เป็นทักษะพื้นฐาน แล้วจะมีแตกทักษะตามสายงานอีก อย่างเช่น CEO คือคนที่มองภาพรวม สายการตลาด อยู่มุมธุรกิจ หรือสายเทค เป็น developer เขียนโค้ดไปเลย อยู่มุมกลยุทธ์ออกแบบโซลูชั่น หรือมุมดีไซน์ เราก็เพิ่มทักษะเฉพาะทางแล้วแต่ว่าจะอยู่ในมิติไหนก็วิ่งไปตามแทร็คนั้น

คุณกันต์ : ผมเสริมเรื่องการปรับตัว (Adaptability) เช่น กับลูกค้า เราเอาฟีดแบ็คของลูกค้ามาปรับใช้มั้ย รวมถึงประสบการณ์ที่ได้จากการลงมือทำมาปรับใช้ด้วยมั้ย ผมว่าทักษะธุรกิจกับการตลาดในยุคนี้มันหาเพิ่มเติมได้

ติดตามความรู้การเตรียมพร้อม mindset ผู้ประกอบการให้แก่ลูกในตอนหน้า เป็นตอนสุดท้ายค่ะ 


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ Mindset ผู้ประกอบการสร้างได้

https://www.facebook.com/watch/live/?v=390112005622287&ref=search  

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

กระแสธุรกิจ Startup คือแนวทางของโลกยุคใหม่ การสร้าง Mindset หรือวิธีคิดให้ลูกเติบโตเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ ต้องเริ่มต้นและเข้าใจอะไรกันบ้าง ไปติดตามบทสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญกัน (ตอนที่ 3)

ความเดิมในตอนแรก คุณม๋ำ เมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ (จาก BASE Playhouse) กล่าวว่า mindset สร้างได้ด้วยประสบการณ์ และหัวใจสำคัญของผู้ประกอบการ สำหรับคุณกันต์ พสิษฐ์ ศรียาภัย (จาก Sharktank incube) คือความกล้า มาเตรียมพร้อมความแข็งแรงของหัวใจลูก สู่สนามโลกแห่งการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ

ให้ลูกเรียนอะไรดีถึงจะเป็นผู้ประกอบการได้

คุณม๋ำ : การเรียนรู้ตอนนี้ไม่ได้อยู่แค่ในมหาวิทยาลัยแล้ว น้องแค่เข้าไปเซิร์ชในกูเกิ้ลก็มีความรู้ฟรี ๆ ขึ้นมาเต็มไปหมด หลัก ๆ คือการ take action น้องได้ลงมือทำหรือเปล่า ต่อให้น้องเรียนขนาดไหน เคยเอาเงินของตัวเองออกมาลงทุนบ้างหรือเปล่า ถ้าได้ลงทุนด้วยตัวเอง mindset ก็จะเกิดความรู้สึกของการเป็นเจ้าของการลงทุนนั้น แล้วชีวิตเราขึ้นอยู่กับมัน ทุกการตัดสินใจของเรา จะมีเงินใช้หรือไม่มีก็อยู่ที่เรา

‘ถ้าเด็กได้ควักเงินตัวเองออกมา ในระหว่างทาง เขาจะหาวิธีเอาเองว่าทำยังไงให้ไม่เจ๊ง เด็กจะเซิร์ชวิธีแล้วลงมือทำเอง บทเรียนนี้จะ form skill set ขึ้นมา เด็กคนไหนเรียนรู้เร็วในวันที่ล้มได้ ก็จะเป็นการเตรียมพร้อมก่อนออกสนามจริง’

เด็กไทยมีศักยภาพพอไหม

คุณม๋ำ : เด็กไทยมีศักยภาพ เด็กไทยเรามีจุดแข็งเป็นฐานคิด ผมว่าเด็กไทยเก่งมาก แต่เขาเอามันออกมาจากหัวไม่ได้ เราเลยมองไม่เห็น ความไม่แฟร์ของโลกธุรกิจคือ ถ้าเราเอาสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาไม่เป็น มันไม่มีคุณค่าเลย ฉะนั้นทักษะที่ต้องฝึกคือ การสื่อสาร (communication) การนำเสนอ (pitching) หรือการขาย เช่น การพูดกับคนเยอะ ๆ กับการพูดกับคนรอบข้างให้เข้าใจ ในโลกธุรกิจ การพูดแค่นี้ก็ต้องฝึกฝนมหาศาล

เห็นในหลายประเทศเน้นให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม แต่เด็กไทยจะเก่งทำงานเดี่ยว เราจะทำได้ไหม

คุณม๋ำ : เป็นทักษะที่เรียกว่า collaboration หรือความร่วมมือกัน เด็กไทยมีทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งกลุ่มที่ทำได้แบบสบายเลย กับที่ยังต้องฝึกฝน เด็กเหล่านี้อาจจะมีจุดแข็งที่มีความคิดที่ลึกกว่า อันนี้ต้องกลับไปที่ทักษะ communication ที่ยังเป็นความท้าทายเด็กไทยอยู่ ยังไงก็ต้องฝึก มันไม่มี shortcut การทำไม่ได้คือการฝึก ต้องให้ได้ทำ การได้ทำนั่นแหละคือการฝึก 

‘ให้พ่อแม่เข้าใจว่าเป็นความถนัดที่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่จุดด้อยอะไร จริง ๆ สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำคือ การทำความเข้าใจว่าลูกอาจไม่ถนัดด้านการสื่อสาร เพราะ personality type ของเด็กมีความหลากหลาย ให้มองว่าเด็กมีจุดแข็งไม่เหมือนกัน’

คุณกันต์ : อันนี้ผมเห็นด้วย ที่กันต์จะเสริมคือตอนนี้โรงเรียนก็มีงานกลุ่มเยอะแล้วเหมือนกัน แต่ยังขาดการเสริมทักษะด้านบริหาร อาจารย์ยังสุ่มกลุ่ม และกำหนดวันส่งงานให้ ซึ่งแต่ละคนถนัดทำสิ่งที่ไม่เหมือนกัน อย่างด้าน people management การบริหารงานกลุ่ม เด็กบางคนทำได้เก่งมาก มีคนแบบนี้อยู่ในมหาวิทยาลัย

สุดท้ายนี้มีอะไรอยากจะฝากถึงพ่อแม่ทุกคน

คุณกันต์ : อยากให้พ่อแม่ลองเปิดใจฟังไอเดียเด็ก ๆ ดู เขาอาจจะมีความคิดที่ดีอยู่แล้วที่เป็น deep thought และฝากดูแลตัวเองในช่วงโควิดด้วยนะครับ

คุณม๋ำ : อยากให้พ่อแม่ให้โอกาสเด็ก โลกยุคนี้โหดร้ายจริง ๆ แต่ขอให้เชื่อว่าเด็กแกร่งพอ พ่อแม่เราพร้อมอยู่เคียงข้างลูกอยู่แล้วถ้าเขาล้ม ให้เขาได้ทดสอบ ทดลองด้วยตัวเอง

ยังมีสาระดี ๆ เพื่อครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์ ให้ติดตามใน The States Times Family 


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ Mindset ผู้ประกอบการสร้างได้

https://www.facebook.com/watch/live/?v=390112005622287&ref=search  

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

‘โฆษกพรรคก้าวไกล’ จี้ ‘สุพัฒนพงษ์’ รีบแจงรายละเอียดเยียวยาให้ชัด หวั่นตกหล่น ล่าช้า ซ้ำรอยรอบแรก

นาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า แม้ไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถ ใช้สิทธิในโครงการ ‘เราชนะ’ ได้ หลังจากมีคนจำนวนมากเป็นห่วงว่า ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจะไม่สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิในโครงการ

โดยยืนยันว่า ตอนที่ทำแผนกัน ทีมงานคิดละเอียดทุกเรื่องเพื่อไม่ให้คนที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือตกหล่นไปและได้วางรูปแบบไว้แล้วสำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ตนจึงอยากขอให้ชี้แจงรายละเอียดให้ชัดๆว่าหากไม่มีมือถือสมาร์ทโฟนจะให้ทำอย่างไร ซึ่งที่จริงเรื่องแบบนี้ไม่ควรต้องชี้อแจงกันหลายครั้ง หรือให้ประชาชนต้องเสียเวลามาคอยตามการชี้แจงกันรายวันหรือเมื่อกระแสสังคมวิพากษณ์วิจารณ์แค่ออกมาบอกว่าคิดไว้แล้วแบบนี้ก็ไม่พอ สิ่งที่คิดคืออะไร ประชาชนต้องทำอย่างไรบ้างต้องออกมาทันทีเพราะเขารอคอยคำตอบอยู่

นอกจากนี้ นายณัฐชา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มาตราการเยียวยาที่ผ่านมาของรัฐบาล ยังต้องให้ยืนยันตนผ่านแอพพลิเคชั่นมาตลอด ทั้งที่รัฐบาลก็มีข้อมูลของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากการเยียวยารอบก่อน เหตุใดไม่ทำการโยกข้อมูลส่วนนี้มาใช้ ทำไมต้องให้ประชาชนยุ่งยากทำซ้ำทำซาก หากมีความจริงใจจะเยียวยาจริงๆควรทำกระบวนการให้ง่ายและรวดเร็วไม่ใช่สร้างความสับสนเหมือนต้องลุ้นเสี่ยงโชคกันตลอดเวลา

ส่วนกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงเหตุผลในการไม่จ่ายเงินเยียวยาเป็นเงินสดว่าเพื่อลดการสัมผัสธนบัตรในช่วงสถานการณ์เสี่ยงนั้น การที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นม แต่คงไม่ใช่เหตุผลหลักในเวลานี้ การเยียวยาที่ตรงจุดคือการดูแลประชาชนให้สะดวกนำไปใช้จ่ายหรือลดภาระหนี้สินของเขาได้ง่าย ทั้งยังมีวิธีการที่ง่ายกว่าการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นก็คือการจ่ายผ่านระบบพร้อมเพย์

เนื่องจากประชาชนทุกคนมีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักอยู่แล้ว สามารถลงทะเบียนแล้วรับเงินเยียวยาผ่านระบบนี้ได้เลย โดยสามารถทำได้เองผ่านตู้กดเงินสด หรือถ้าใครไม่สามารถทำหน้าตู้ได้ก็สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากธนาคารได้ แต่ถ้าเป็นการจ่ายผ่านแอพพลิเคชั่น หากเขาทำไม่เป็นก็จะไม่มีระบบสนับสนุนความช่วยเหลือเหมือนธนาคาร

“การจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่นไม่เพียงแต่กีดกันประชาชนให้เข้าไม่ถึงการเยียวยาแล้ว ในอีกมุมหนึ่งยังเอื้อให้มีการทุจริตเงินได้ด้วย สมมติเช่นเขาต้องเอาเงินสดไปจ่ายค่าเช่าบ้าน แล้วจ่ายผ่านแอพไม่ได้จะทำอย่างไร ก็ต้องไปพึ่งธุรกิจรับลงทะเบียนซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านรู้ไหมว่ามันมีอยู่ ผู้เดือดร้อนยอมรับเงินสดมาแต่ก็แลกกับการถูกหักเงินไปส่วนหนึ่งทั้งที่เขาลำบากอยู่แล้ว รัฐบาลต้องไม่ไปทำตัวเป็นพ่อรู้ดีว่าเขาจะนำเงินไปใช้ทำอะไร

ถ้าจ่ายแล้วกำหนดเงื่อนไขได้ว่าไม่ให้นำเงินไปซื้อเหล้าหรือไม่ให้นำเงินไปใช้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถามหน่อยว่าเวลาประชาชนเสียภาษีจะกำหนดไม่ให้ท่านเอาเงินไปซื้อเรือเหาะ ซื้อเรือดำน้ำจีนได้ไหม ผมหวังมาตลอดว่ารัฐบาลจะมีบทเรียนและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ล้มเหลวจากการออกมาตราการเยียวยาแก่ประชาชนรอบก่อนที่มีความล่าช้าและไม่ทั่วถึง แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนพวกท่านก็ไม่ได้เรียนรู้และแก้ไขอะไรเลย ผู้ที่รับผลกรรมกับความไร้ศักยภาพของรัฐบาลก็หนีไม่พ้นประชาชน” นายณัฐชา กล่าว

แม้เสียงจะแผ่วเบาลง แต่อุดมการณ์ยังคงเดิม การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยกสุดท้ายในชีวิต จาก 'ม็อบรุ่นพี่' ผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และเมื่อถึงวันเผด็จศึก ต้องไม่มีคำว่า...ถอย!!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ ‘ตู่ ศรัทธาธรรม’ เปิดใจกับ The States Times ถึงบทบาทการเมืองในช่วงหลังที่อาจจะดูเงียบไป แต่ทิศทางบนเส้นทางการเมืองไทยของเขายังคงตื่นอยู่ตลอดว่า...

“ที่หายๆ ไป โดยเฉพาะกับช่วงที่มีการชุมนุมของม็อบคณะราษฎร์ ไม่ได้แสดงว่ายุติบทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมยังเหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าให้เปรียบเหมือนกับนักร้อง ก็คือนักร้องที่ยังร้องเนื้อเดิมได้ แค่คีย์เสียงมันเบาลง คมน้อยลงตามวัยและยุคสมัย ฉะนั้นช่วงเวลานี้ คือ การให้เกียรติกับน้องๆ ที่ปลุกปั้นยุคแห่งการต่อสู้ด้วยตัวของพวกเขาเอง”

อย่างไรก็ตาม จตุพร ก็ยังไม่หยุดการต่อสู้เพื่อ ‘ประชาธิปไตย’ เพียงแต่หากจะต้องออกมาอีกครั้ง ก็ต้องออกมาแบบ ‘ครั้งเดียว’ แล้วต้องเป็นครั้งเดียวที่มีคุณค่า สมกับเป็นการสู้ที่ตั้งใจว่าจะเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’

“ตั้งแต่วัยเด็ก จนหนุ่ม และบัดนี้ ผมงัดกับรัฐบาลหลายยุค มองเห็นและเข้าใจเกมการเมืองแบบเด่นชัด ชีวิตเจอถูกถอนประกันง่าย แล้วก็ถูกจับไปขังง่ายพอๆ กัน ผมจึงอยากใช้ครั้งเดียวต่อจากนี้ให้คุ้มค่าที่สุด คนบอกผมไม่ขยับ นั่นเพราะผมต้องเลือกเวลาที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

“แน่นอนว่าช่วงเวลาที่จะออกมาต่อสู้อีกครั้ง คือ วันที่รัฐบาลตัดสินใจฆ่าประชาชน และใช้มาตรการปราบปรามหนัก วันนั้นก็จะถึงคิวผมที่จะก้าวออกมา เหมือนกับช่วงสมัยพฤษภาทมิฬปี 35 และ ช่วงเมษายนปี 53 ผมจะออกมาสู้ร่วมกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย”

นายจตุพร เล่าต่ออีกว่า วันนั้นอาจจะมาถึงในไม่ช้า เพราะเส้นทางของรัฐบาลในตอนนี้เริ่มตีบตัน และมองว่าอีกไม่นานรัฐบาลจะต้องพังด้วยปัญหาร่วมของประชาชน นั่นก็คือ ‘ปัญหาปากท้อง’

“อย่าลืมว่าเรื่องเดียวกันที่จะกำหนดประชาชนให้ประชาชนทุกคนพร้อมใจกันออกสู้ คือ เรื่องปากท้อง ตอนนี้เราเจอโรคระบาดโหยหิวในชีวิตมนุษย์ และกำลังระบาดไปสู่ความหิวโหยของมนุษย์

“ความหิวของมนุษย์จะทำให้คนโกรธ และรัฐจะเอาไม่อยู่ ยิ่งรัฐไม่ซึมซับบทเรียนจากรอบแรก ทั้งสนามมวยในรอบแรก และตอนนี้ก็มาจากบ่อนระยอง รวมถึงแรงงานพม่าเล็ดลอดเข้ามา จนระบาดกันทั้งแผ่นดิน มันเหมือนกับคนที่เจ็บแล้วไม่จำ เป็นความบกพร่องของรัฐ ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรง คนกลัวอดตายมากกว่ากลัวโรคภัย แล้วถ้ารัฐยังบริหารประเทศแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวก็จะพัง”

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ก็ได้แนะนำรัฐบาลว่า ทุกวันนี้การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นเรื่องของคนยุคใหม่ รัฐบาลควรจะต้องเปิดใจรับฟังเสียงของคนยุคนี้ ที่จะก้าวขึ้นมาแทนคนยุคเก่า

“ผมอยากให้รัฐบาลมองเด็กๆ เป็น ‘อนาคตของชาติ อย่ามองเด็กเป็นศัตรู’ เพราะยุคนี้คือยุคของเขา ผมยอมรับว่าการเลือกวิถีทางของยุคหนึ่งอาจถูก แต่ก้าวข้ามไปอีกยุคหนึ่งอาจไม่ถูก ยุคแต่ละยุคมีพัฒนาการเป็นของใหม่ อย่าง ‘แฟลชม็อบ’ ในยุคนี้ตามมุมมองของผม เป็นความงดงามทางประชาธิปไตย ผมเห็นการเคลื่อนไหวและสนใจของนักศึกษายุคนี้มากกว่าตอน ตุลา 2516 และยุคพฤษภา 35 หรือยุค นปช.53

“ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ใช่แค่นักศึกษา แต่รวมไปถึงเด็กนักเรียนรุ่นลดหลั่นลงไปที่ออกมาร่วมแสดงออกทางการเมือง เหตุเพราะโลกมันแคบลงจากโซเชียลมีเดียที่ช่วยให้ทุกคนหาข้อมูลได้ ผู้คนได้ฟังปราศรัยพร้อมๆ กัน ไม่ต้องรอฟังสื่อกระแสหลักที่มีข้อจำกัดในการรายงานข่าว เทคโนโลยีทำให้ทุกคนเป็นสื่อกันได้หมด การรับรู้จึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า ทั้งฝ่ายม็อบ และฝ่ายรัฐ

“ดังนั้นการออกมาต่อสู้หรือเรียกร้องของคนรุ่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องฟัง และร่วมพูดคุยกัน เพราะประเทศใดไม่มีคนหนุ่มสาว ขึ้นมาลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศนั้นจะหาอนาคตไม่ได้ รัฐต้องใช้หูมากกว่าใช้อำนาจ ต้องรับฟังมากกว่าการใช้กฎหมาย หากใช้แค่อำนาจ หรือมองพวกเขาเป็นศัตรู บทสรุปจะจบไม่สวย

“บางเรื่องที่คุยกันได้ ก็คุยเรื่องนั้นก่อน เชื่อเหอะว่าคนเรามันไม่ได้คิดต่างกันได้ทุกเรื่องหรอก แต่จงไล่ความสำคัญไปจนเจอเรื่องที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมุ่งไปในทางเดียวกัน นั่นคือ ผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่คุยเรื่องของตัวเอง แต่อย่าให้ ‘ความแตกต่าง’ หรือความคิดเสนอต่าง กลายเป็นศัตรู อย่างผมเองชอบที่จะเห็นแตกต่าง บางทีก็พูดไม่เข้าหูคนบ้าง แต่เหล่านี้คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย

“ผมอยากให้รัฐบาลมองพวกเขาเป็นลูกเป็นหลาน ลองฟังสิ่งที่ไม่คุ้นเคยบ้าง แต่ทุกวันนี้เหมือนรัฐบาลจะไม่ฟังปัญหาของพวกเขา พอไม่ฟังก็แก้ด้วยอำนาจ เข้าจัดการ ซึ่งหากจัดการได้คนหนึ่งคน สิ่งที่ตามมา คือ อีกคนก็จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ แล้วนั่นจะทำให้กลุ่มคนรุ่นพ่อแม่ของพวกเขา ก็อาจจะออกมาอีกที การปราบปรามประชาชนเด็ก คือ การปลุกพ่อแม่ มันจะไม่มีวันจบ”

นายจตุพร ยังทิ้งท้ายอีกว่า “ข้อเรียกร้องบางเรื่องอาจจะไม่จบในรุ่นของผู้เรียกร้อง แต่อาจจะไปจบหรือสำเร็จกับอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นภารกิจของนักต่อสู้ และภารกิจทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นปัญหาของชาติที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ผมเชื่อว่ามันไม่มีวันจบง่ายๆ จะมีแต่ปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาอีก พูดง่ายๆ คือ โลกไม่มีวันจบ ทุกอย่างเป็นวงล้อ การต่อสู้จึงเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับรัฐบาล ไม่มีทางที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้จบในรัฐบาลเดียว เพราะไม่งั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลอีกต่อไป จงรับฟังทุกฝ่าย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top