Sunday, 29 June 2025
ค้นหา พบ 49086 ที่เกี่ยวข้อง

‘พิธา’ สับละเอียด รายงาน พ.ร.ก. เงินกู้โควิด ชี้ เป็น 11 หน้า ที่ยืนยันความไร้สามารถของรัฐบาลในการแก้ ‘วิกฤติเศรษฐกิจ’

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปราย “รายงานผลการใช้งบ พ.ร.ก. เงินกู้โควิด” ที่จัดทำโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง โดยระบุว่า รายงานฉบับนี้มีอยู่สั้นๆ 11 หน้า แต่เป็น 11 หน้าที่ยืนยันถึงความไร้สามารถของรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

“ในสถานการณ์เช่นนี้สำหรับประชาชนคนทำมาหากินเวลา 1 นาที 1 วินาทีมีค่ามหาศาล การทำงานที่รวดเร็วของรัฐบาลจะช่วยต่อลมหายใจให้ประชาชนยังพอมีแรงสู้ต่อได้ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า ขณะนี้ประเทศของเรากำลังเจอวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะถ้าดูในเชิงมหภาค ในปีที่ผ่านมา GDP ของเราติดลบ 8% หรือติดลบ 1.3 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจแค่ 5 แสนล้านบาท และในรายงานเล่มนี้บอกว่ามีการเบิกจ่ายจริงแค่เพียง 3 แสนล้านบาท หรือแค่ 37% ของวงเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ดังนั้น การอนุมัติเงินน้อยจึงแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทำงานเชิงรุกเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายล่าช้าก็แสดงให้เห็นถึงการแก้วิกฤติแบบเช้าชามเย็นชาม”

พิธา ยังได้ยกตัวอย่างจาก โครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการคลัง หรือโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่ให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงิน 5,000 บาท เป็นเวลาสามเดือน ซึ่งในรายงานระบุว่า ปัญหาและอุปสรรคของโครงการคือ การที่ไม่สามารถโอนเงินให้ผู้มีสิทธิได้ 1 แสนคน โดยสาเหตุที่ยกมาเป็นเรื่องทางเทคนิคทั้งหมด แม้ว่าต่อมาจะได้แก้ปัญหาจนสามารถโอนเงินให้เกือบครบทุกคนแล้ว แต่รัฐบาลก็จงใจเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

“ผมเคยอภิปรายในสภาแห่งนี้ว่า ผมได้เจอแม่ค้าสองคนอาชีพเดียวกันนั่งขายของแผงข้างๆ กัน คนหนึ่งได้สิทธิอีกคนหนึ่งไม่ได้ ท่านจำได้ไหมว่ามีคนไปกินยาฆ่าตัวตายหน้ากระทรวงการคลัง ท่านจำได้ไหมว่ามีคนฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกิน นี่คือปัญหาแต่รายงานฉบับนี้ไม่ได้พูดถึงว่ามันเกิดจากอะไร ถึงตอนนี้ รัฐบาลก็ยังทำผิดซ้ำซาก ทั้งที่มีเวลาเตรียมตัวหลายเดือน อย่างโครงการล่าสุด “เราชนะ” ที่จะแจกเงินที่ให้ประชาชน 3,500 บาท จำนวน 31 ล้านคน เป็นเวลา 2 เดือน ก็ยังคงใช้วิธีเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน

ทั้งที่รัฐบาลสามารถโอนเงินให้ประชาชนได้โดยตรง เพราะเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลก็เพิ่งโอนเงินให้ประชาชนมากกว่า 25 ล้านคนในโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” และรัฐบาลเองก็มีข้อมูลประชาชนจากบัตรคนจน และจาก App “เป๋าตังค์” อีกกว่า 14 ล้านคน แต่ดูเหมือนรัฐบาลก็ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาด ยังทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี บังคับให้ประชาชนใช้เงินผ่าน App เป๋าตังค์เท่านั้น ไม่ยอมให้เบิกเป็นเงินสด เพราะกลัวว่า ประชาชนจะไปใช้จ่ายสิ่งฟุ่มเฟือย”

พิธา ยังแนะนำว่า รัฐบาลต้องลงมาจากหอคอยงาช้างเพื่อมาฟังเสียงของพี่น้องประชาชนให้มากขึ้น ต้องรู้ว่ามีประชาชนหลายคนที่เขาไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ มีประชาชนหลายคนที่เขาไม่มีเงินเติมอินเทอร์เน็ต ถ้าเป็นเช่นนี้รัฐบาลกำลังทอดทิ้งประชาชนกลุ่มนี้อยู่ เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดโศกนาฏกรรมอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้ำมือของรัฐ

สำหรับข้อเสนอ พิธา ระบุว่า ยังคงมีประชาชนกำลังเดือดร้อนแสนสาหัส ขณะที่เรายังเหลือเงินกู้อีกประมาณ 6 แสนล้านบาท ถ้ารัฐบาลยังคิดไม่ออกว่าจะใช้อย่างไร ตนมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ

1.) เงิน 3,500 บาท ที่รัฐบาลจะให้เกือบถ้วนหน้าอยู่แล้ว ให้มีมาตรการ On-top ลงไปตามระดับความรุนแรงของคำสั่งพื้นที่ควบคุม โซนสีแดงเข้มให้เพิ่มเงินเข้าไปอีก 1,500 บาท โซนสีแดงให้เพิ่มเงินเข้าไปอีก 1,000 บาท โซนสีส้มให้เพิ่มเงินเข้าไปอีก 500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ทั้งหมดนี้จะใช้งบประมาณ 6 หมื่นล้านบาท

2.) สำหรับแรงงานที่อยู่ในประกันสังคม ให้รัฐบาลเข้ามาช่วยพยุงการจ้างงาน 75% ของรายได้ อยู่ที่ 7,500 บาท ในกรณีที่นายจ้างยอดขายตกมากกว่า 30% ในช่วงที่มีการควบคุมพื้นที่ แม้จะไม่มีคำสั่งปิดธุรกิจนั้นก็ตาม มาตรการนี้ถ้าทำใน 5 จังหวัดแดงเข้ม และกรุงเทพฯ 2 เดือน จะใช้เงินไม่เกิน 2-3 หมื่นล้านบาท

3.) เพิ่มเงินประกันสังคมของธุรกิจที่ถูกสั่งปิดจาก 50% เป็น 75% ให้เท่ากับในมาตรา 75 ของการจ่ายเงินให้ลูกจ้างที่ธุรกิจปิดชั่วคราว

“ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลมาชี้แจงกับสภาแห่งนี้บ่อยครั้งว่า การคลังของรัฐบาลยังเข้มแข็ง ผมก็อยากจะเชื่อท่านเช่นนั้น

แต่รัฐบาลต้องกล้าใช้เงิน ใช้อย่างตรงจุด ช่วยประชาชนในเชิงรุก ประเทศของเราจึงจะรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ต้องเลิกคิดนโยบายบนหอคอยงาช้าง เลิกมองความเดือดร้อนของประชาชนว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล และต้องสะกดคำว่าทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนให้เป็น และหันมาดูว่าชีวิตความเป็นอยู่ ปัญหาของพี่น้องประชาชนจริงๆเกิดจากอะไร และจะเยียวยาและแก้ไขความเดือดร้อนเขาได้อย่างไร” พิธา กล่าว

‘เฉลิม’ ยืนยันเพื่อไทยไม่มีพรรคนอมินี พร้อมเดินหน้าระดมบุคลากรเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งทั้งสนามเล็ก-สนามใหญ่

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเต็มพื้นที่ของประเทศ ด้วยความตั้งใจจะบริหารประเทศแบบพรรคเดียวหากเป็นไปได้ ขอยืนยันว่า พรรคไม่มีนอมินี ไม่มีพรรคเล็กพรรคน้อย ไม่มีการเอาแบงก์ร้อยไปแลกแบงก์พัน มีแต่เพื่อไทยพรรคเดียวเท่านั้น นี่คือนโยบายหลักและเป็นความจริง ซึ่งฝันของพรรคเพื่อไทยจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมีการปรับปรุงแบ่งโซนพื้นที่ กทม. ใหม่ เป็น 6 โซน มีการระดมบุคลากรทางการเมืองเข้ามาช่วยกันมากขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลง คนๆ เดียวอาจดูแลไม่ทั่วถึง เพราะพื้นที่ กทม. กว้างใหญ่ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่

ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทางพรรคอยู่ในช่วงดำเนินการ และยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะส่งหรือไม่ส่ง ส่วนสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก. พรรคจะส่งลงทุกเขต ใครที่เคยอยู่ ก็มาแจ้งความจำนงขอลงต่อ ใครที่ไม่กลับมา เราจะหาคนใหม่แทน ไม่มีปัญหา เพราะพรรคมีนโยบายชัดเจน โดยยึดหลักให้สิทธิคนเก่าก่อน เว้นแต่คนเก่าไม่กลับมา นั่นคือสิทธิของแต่ละคน ซึ่งวันนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่ก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทยเราพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทั้ง 350 เขต ทั่วประเทศ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า กรณีที่มีคนลาออกจากพรรคไปแล้วมาร่วมทำกิจกรรมกับคนในพรรค ถ้าไม่ผิดกฎระเบียบข้อบังคับ พรรคก็ไม่ตำหนิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยมารยาททางการเมือง เมื่อออกไปแล้ว ต้องไม่มายุ่งกับคนในพรรค ถ้าทำแบบนี้ เรียกว่า ‘ไม่สง่างาม’ สุดท้าย คนๆ นั้นเท่ากับว่ากินยาผิดซอง คนรักกันชอบกัน มาเจอกัน เราไม่ว่า แต่ถึงที่สุดแล้ว ต้องชัดเจน สมาชิกคนไหนไม่ชัดเจน ทางพรรคไม่บังคับ ถ้าชัดเจนเมื่อไหร่ค่อยกลับมาอยู่ด้วยกัน ยืนยันว่าไม่มีความคิดแตกแบงก์ร้อยแบงก์พัน เพราะเรามีแบงก์เดียว คือ พรรคเพื่อไทย

LPN Wisdom คาดตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 มีแนวโน้มติดลบ 3% ถึงเติบโตประมาณ 10% ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom: LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 ว่า

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ที่ส่งผลต่อเนื่องต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 LPN Wisdom ได้มีการปรับการคาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้มีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์อสังหาฯ ในปี 2564 จะมีแนวโน้มทรงตัวหรือเติบโตได้ประมาณ 3-5% และการเปิดตัวโครงการใหม่มีแนวโน้มที่จะเปิดตัวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2563 เนื่องจากการคาดการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่มีแนวโน้มที่รุนแรงกว่าการแพร่ระบาดในรอบแรก ทำให้บริษัทต้องมีการปรับการคาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564

โดยแบ่งออกเป็น 3 สถานการณ์ (Scenario) ซึ่งคาดการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯ จะติดลบ 3% ถึงเติบโตได้ 10% ทั้งนี้ขึ้นกับความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ของรัฐบาล

สถานการณ์แรก (Best Case Scenario) รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เร็วภายในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และวัคซีนสามารถเข้าถึง 50% ของประชากรไทยภายในปี 2564 ในกรณีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 4-5% จะทำให้มีมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 13-15% และจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 9-10% เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลายรายได้ระบายหน่วยคงค้างไปได้จำนวนมากในปี 2563 จะเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในด้านของกำลังซื้อ คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสแรกปี 2564 โดยประมาณการว่า จะมีอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ 6,500 หน่วยต่อเดือน หรือขยายตัวประมาณ 10% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563

สถานการณ์ที่สอง (Base Case Scenario) รัฐสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ภายในเดือนเมษายน ในกรณีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 2-3% ด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์คาดว่า มูลค่าอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% และจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 7-9% และกำลังซื้อจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 คาดการณ์ว่าอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ 6,000-6,300 หน่วยต่อเดือน หรือขยายตัวประมาณ 0-5%

และ สถานการณ์ที่สาม (Worst Case Scenario) เป็นกรณีที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ หรือควบคุมสถานการณ์ได้หลังไตรมาส 2 ของปี 2564 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทรงตัวหรือเติบโตต่ำกว่า 2% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่และกำลังซื้อในตลาด โดยคาดกว่าจะทำให้มูลค่าการเปิดตัวอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่มีแนวโน้มที่จะติดลบต่อเนื่องจากปี 2563 โดยคาดว่าจะติดลบประมาณ 15-18% และจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะติดลบประมาณ 8-12% จากความเชื่อมั่นที่ลดลงของผู้ประกอบการ ในด้านอุปสงค์ คาดว่าอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์จะลดลง 3-5% เหลือเฉลี่ย 5,700-5,800 หน่วยต่อเดือน

ขณะที่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2563 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงจากปี 2562 ประมาณ 37% หรือจากเปิดตัว 111,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 448,000 ล้านบาท เหลือ 70,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 276,000 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 2 โดยเน้นเปิดตัวบ้านพักอาศัย และชะลอการเปิดตัวคอนโดมิเนียม

โดยในปี 2563 ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายบริษัทได้มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จากคอนโดมิเนียมมาเป็นการเปิดตัวบ้านพักอาศัยมากขึ้น ทำให้ในปี 2563 มีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยคิดเป็นสัดส่วน 63% เพิ่มขึ้นจาก 42% ในปี 2562 หรือมีการเปิดตัวบ้านพักอาศัยในปี 2563 ทั้งสิ้น 44,001 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 205,578 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 เพียง 4%

ในขณะที่การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปี 2563 มีจำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงถึง 60% ขณะที่มูลค่าเปิดตัวลดลง 70% จากเปิดตัวทั้งหมดในปี 2562 คิดเป็นจำนวน 64,639 เหลือ 26,125 หน่วยในปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการหันมาระบายหน่วยคงค้างคอนโดมิเนียมที่มีจำนวน 94,000 หน่วยในปลายปี 2562 และชะลอการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่

ประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะที่กำลังซื้อในปี 2563 มีอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 6,000 หน่วยต่อเดือน ลดลงจากปี 2562 25% เหตุผลสำคัญที่ทำให้กำลังซื้อในปี 2563 ลดลงไม่มากเมื่อเทียบกับการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ลดลงมาก เป็นผลมาจากการเร่งระบายสินค้าในสต๊อกของผู้ประกอบการโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Price War)

“การคาดการณ์ตลาดอสังหาฯ ในปี 2564 ยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกใหม่ ส่งผลต่อความไม่แน่ใจในรายได้ในอนาคตของผู้บริโภค ทำให้แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในไตรมาสแรกของปี 2564 น่าจะทรงตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ บางรายเริ่มออกมาตรการทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไม่ประกาศปิดประเทศ (Lockdown) เหมือนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 ทำให้ภาคธุรกิจยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ รักษาการจ้างงานในประเทศไว้ได้บางส่วน ประกอบกับการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะกระตุ้นตลาดอสังหาฯ โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% และลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ยังมีแนวโน้มต่ำ น่าจะเป็นปัจจัยที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นกำลังซื้อ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย”

ด่วน! ประธานสภาผู้แทนราษฎร "ชวน หลีกภัย" ยื่นคำร้อง ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง "สิระ เจนจาคะ" หยุดปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งให้วินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติเป็น ส.ส. ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน ยื่นคำร้องมาหรือไม่

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือแจ้งต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะ ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า ขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หยุดปฏิบัติหน้าที่

รวมทั้งให้วินิจฉัยว่า นายสิระนั้น ได้ขาดคุณสมบัติ การเป็น ส.ส. ตามที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และ สมาชิกสภาผู้แทนราาฎร ในปีกฝ่ายค้านกว่าร้อยคน ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา หรือไม่ อีกด้วย

 

ธุรกิจโรงแรมยักษ์ใหญ่เมืองไทย ‘เซ็นทารา’ เดินหน้าขยายเชนโรงแรมใน สปป.ลาว เข้าบริหาร 2 โรงแรมที่เมืองวังเวียง คาดเปิดบริการปลายปี 2564

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

เซ็นทารา #รุกขยายธุรกิจในลาว ลงนามสัญญาบริหารโรงแรมใหม่ 2 แห่งที่วังเวียงในลาว และ 1 แห่งที่เขาใหญ่ในไทย

นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า

"..เซ็นทาราได้ลงนามสัญญา  บริหารร่วมกับ ทวีสุข โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เพื่อเข้าบริหาร 2 โรงแรมสวยวิวแม่น้ำในเมืองวังเวียง

โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำซองและมีสะพานเชื่อมตรงกลางระหว่าง 2 โรงแรม ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ของปี 2564..

โรงแรมทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรา บาย เซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท วังเวียง (ชื่อเดิม โรงแรมทวีสุข ไอส์แลนด์) และทวีสุข ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ทและสปา วังเวียง เซ็นทารา บูติกคอลเลกชัน (ชื่อเดิม โรงแรมทวีสุข ริเวอร์ไซด์)

“เซ็นทารารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับทวีสุข โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท"

 #เราเชื่อมั่นว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดลาวของทวีสุขโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท จะสามารถนำความสำเร็จมาสู่เซ็นทาราและการท่องเที่ยวในลาวได้อย่างแน่นอน” นายธีระยุทธกล่าว

“ลาวเป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์ทางธรรมชาติอันสวยงามและกำลังเติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว เรามุ่งมั่นที่จะนำประสบการณ์การบริการอันอบอุ่นเสมือนครอบครัวของเซ็นทาราก้าวไปสู่ระดับสากลในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก”


เรื่องโดย: หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top