Friday, 16 May 2025
ค้นหา พบ 48149 ที่เกี่ยวข้อง

วันนี้เมื่อ 27 ปีก่อน ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ

วันนี้เมื่อ 27 ปีก่อน ซึ่งตรงกับวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ

โดยอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เกิดขึ้นจากดำริของ พลเอกสายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสร้างอนุสาวรีย์เพื่อบรรจุอัฐิของผู้เสียชีวิตในสงครามต่าง ๆ เช่น อนุสาวรีย์ทหารอาสา เป็นที่ระลึกสำหรับผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1, อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ สำหรับเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สำหรับกรณีพิพาทไทย-ฝรั่งเศส และสงครามโลกครั้งที่ 2 

แต่ยังมีการสู้รบเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม การปราบปรามผู้ก่อการร้าย มีผู้เสียชีวิตทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพเป็นประจำทุกปี แต่อัฐิของผู้พลีชีพเพื่อชาติเหล่านี้ยังคงเก็บรวบรวมไว้ และยังมิได้จัดสร้างถาวรวัตถุขึ้นเป็นอนุสรณ์อย่างสมเกียรติ

กระทรวงกลาโหมจึงได้จัดทำโครงการก่อสร้างอาคารอนุสรณ์วีรชนแห่งชาติเป็นส่วนรวม โดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 และพระราชทานนามสถานที่นี้ว่า “อนุสรณ์สถานแห่งชาติ”

โดยอนุสรณ์สถานแห่งชาติประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วน ประกอบไปด้วยหมู่อาคารต่าง ๆ อาทิ ลานประกอบพิธี อาคารประกอบพิธี อาคารประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร อาคารภาพปริทัศน์ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง นิทรรศการภายในเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์และวีรกรรมสำคัญในการสู้รบต่าง ๆ ของไทย วิวัฒนาการเครื่องแบบทหารต่าง ๆ ของไทย เป็นต้น ส่วนผนังกำแพงโดยรอบอาคารประกอบพิธี จารึกนามผู้กล้าหาญที่เสียชีวิตในการสู้รบเพื่อปกป้องประเทศชาติในการสู้รบในสมรภูมิรบต่าง ๆ ส่วนภายในอาคารปริทัศน์แสดงภาพวาดสีน้ำมันเขียนด้วยสีอคริลิค เป็นภาพจิตรกรรมไทยร่วมสมัย ร้อยเรียงประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านเหตุการณ์การสู้รบต่าง ๆ โดยมีอาจารย์ปรีชา เถาทอง เป็นหัวหน้าคณะออกแบบ

 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/อนุสรณ์สถานแห่งชาติ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสรัสเซียและได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซียอย่างเป็นทางการ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสรัสเซีย ในระหว่างการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกของพระองค์

โดยในการประพาสรัสเซียครั้งนั้น รัฐบาลสยามได้แต่งตั้งราชทูตประจำกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กคนแรก คือ พระยาสุริยานุวัตร (เล็ก บุนนาค) ซึ่งเป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำกรุงปารีสให้มาเป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศรัสเซีย โดยมีถิ่นที่พำนักในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ.1897 จนถึงปี ค.ศ. 1899 รัฐบาลสยามจึงได้ส่งพระชลบุรีนุรักษ์มาเป็นราชทูตคนที่สองประจำประเทศรัสเซีย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และเป็นราชทูตคนแรกของไทยที่มีถิ่นที่พำนักในประเทศรัสเซีย และให้มีฐานะเป็นผู้แทนส่วนพระองค์ประจำราชสำนัก 

ซึ่งเป็นกุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐเป็นความสัมพันธ์พิเศษระหว่างราชวงศ์ และขณะเดียวกันก็เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการให้พระยามหิบาลบริรักษ์ทำหน้าที่ดูแลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ภูวนาถในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยทหารมหาดเล็กคอร์ เดอ ปาฌ และทรงประทับอยู่ในพระราชวังฤดูหนาวในฐานะพระโอรสบุญธรรมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นประการสำคัญ 

จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 124 ปีแล้ว ที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและรัสเซียดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะปรากฏเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศผันแปรไปในทิศทางต่าง ๆ หากแต่ว่าการเสด็จเยือนรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ทางการทูตไทยและรัสเซีย


ที่มา : https://moscow.thaiembassy.org/th/page/76223

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2387 หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ ฉบับปฐมฤกษ์เริ่มออกวางแผง

เมื่อ 177 ปีก่อน หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ หรือ The Bangkok Recorder เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย เผยแพร่ครั้งแรกตรงกับวันชาติสหรัฐอเมริกาคือวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2387 โดยนายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley) หรือ “หมอบรัดเลย์” มิชชันนารีอเมริกันในสยามเป็นผู้จัดพิมพ์

โดยหนังสือพิมพ์ บางกอกรีคอร์เดอร์ ตีพิมพ์ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2387-2388 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยได้ออกเป็นฉบับรายเดือนและได้กลับมาฟื้นฟูในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 อีกครั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2407-2411 โดยเปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์รายเดือนเป็นรายปักษ์หรือรายครึ่งเดือน

โดยรูปแบบหนังสือพิมพ์มีจัดพิมพ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ออกปักษ์ละ 2 ใบ มี 4 หน้า โดยฉบับภาษาไทยขนาด 6"x9" ฉบับภาษาอังกฤษจะมีขนาดใหญ่กว่าคือขนาด 12"x18" รูปแบบการจัดหน้าแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ มีภาพประกอบคือภาพวาดขายปลีกใบละสลึงเฟื้อง ถ้าซื้อแบบพิมพ์เป็นเล่มรวมเมื่อปลายปีขายเล่มละ 5 บาท เล่มหนึ่งมี 26 ใบ

เนื้อหาในหนังสือพิมพ์มีลักษณะเป็นตำรา ข่าวทั้งต่างประเทศและในประเทศ ในแต่ละฉบับมีข้อมูลสิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ การแพทย์และการสาธารณสุข คำศัพท์สำนวนภาษาอังกฤษ พงศาวดารต่างชาติ ราคาสินค้า และเรื่องที่น่าสนใจอื่น ๆและมีการนำเสนอ เป็นการรายงานข่าวและการเขียนบทความแบบวิพากษ์ วิจารณ์ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ จุดประสงค์ของหนังสือพิมพ์เล่มแรกฉบับนี้ หมอบรัดเลย์พยายามเน้นให้คนเห็นว่า "หนังสือพิมพ์คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร พยายามชี้ให้เห็นว่าหนังสือพิมพ์นั้นมีคุณต่อบ้านเมืองเป็นอันมาก เป็นแสงสว่างของบ้านเมือง คนชั่วเท่านั้นที่กลัวหนังสือพิมพ์ เพราะกลัวว่าหนังสือพิมพ์จะประจานความชั่วของตน”

หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ ถือเป็นปฐมบทการพิมพ์และการสื่อสารมวลชนในประเทศไทย เป็นการริเริ่มหนังสือพิมพ์แบบตะวันตกในประเทศไทย ทำให้มีการสื่อสารสองทางระหว่างผู้สื่อสารกับผู้รับสาร เช่น จดหมายร้องทุกข์ และเนื่องจากการตอบโต้ของรัชกาลที่ 4 ต่อเนื้อหาที่ให้ข่าวที่ผิด และการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของราชสำนักอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน ทำให้เกิดหนังสือเผยแพร่ข่าวสารของราชการ คือ ราชกิจจานุเบกษา อีกด้วย

 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ บางกอกรีกอเดอ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม วัคซีนโควิด-19 ไทย รุดหน้า คาดช่วยส่งออก สร้างรายได้ให้ประเทศ

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ติดตามและแสดงความชื่นชมความก้าวหน้าผลงานวิจัยวัคซีนโควิด-19 โดยทีมแพทย์และนักวิจัยไทย เป็นอีกความหวังของประเทศในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคฯ ซึ่งนายกฯ ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ 2 แนวทางสำคัญ คือ

1.) ให้การสนับสนุนสถาบันวัคซีนแห่งชาติ คณะแพทย์ในมหาวิทยาลัย และองค์กรชั้นนำ ในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในรูปแบบต่าง ๆ

และ 2.) รับการถ่ายทอดกระบวนการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศโดยบริษัท Siam Bioscience Co,.Ltd. ของไทย สำหรับวางรากฐานในไทยเพื่อพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ลดงบประมาณการจัดซื้อและสามารถส่งออกเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคตอีกด้วย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในไทย ประกอบด้วย

1.) โครงการศึกษาวิจัยระยะที่ 1/2 เพื่อประเมินความปลอดภัย และความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีน NDV-HXP-S ในประเทศโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมกับศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มฉีดอาสาสมัครเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ซึ่งวัคซีน NDV-HXP-S มีจุดเด่น คือ โรงงานของ อภ. มีความพร้อมในการผลิตระดับอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และได้รับความร่วมมือระดับนานาชาติจากองค์กร PATH ในการสนับสนุนกล้าเชื้อไวรัส คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการร่วมกันวิจัยจากผู้ผลิตจากประเทศเวียดนามและบราซิล

2.) โครงการพัฒนา mRNA วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 โดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเช่นเดียวกับวัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และวัคซีนจาก Moderna ผลศึกษาการทดลองใน “หนู และ ลิง” พบว่า กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง ช่วยยับยั้งการติดเชื้อในสัตว์ทดลองได้ โดยเริ่มการศึกษาในมนุษย์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ทดสอบในระยะที่ 1 ใช้อาสาสมัครจำนวน 72 คน ซึ่งวัคซีน ChulaCov19 มีจุดเด่น คือ สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์

จากการทดลองในหนูทดลองชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถเกิดโรคโควิด-19 ได้ พบว่า เมื่อหนูได้รับวัคซีน ChulaCov19 ครบ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ แล้วให้หนูทดลองได้รับเชื้อโควิด-19 เข้าทางจมูก สามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า มีความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง วัคซีนชนิด mRNA ยังสามารถปรับแต่งวัคซีนต้นแบบตามพันธุกรรมของเชื้อกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

3.) โครงการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด DNA (วัคซีนโควิเจน) โดยบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ผลการทดสอบในหนูทดลอง พบว่า วัคซีนมีความปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติกับทาง อย. เพื่อทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 และคาดว่าจะวิจัยในคนระยะที่ 2 และ 3 ในปีนี้ (ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564) โดยมีแผนการทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 ในประเทศออสเตรเลียรวมด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์ฯ CU Innovation Hub ที่ใช้ใบยาสูบเป็นพืชในกระบวนการสร้างวัคซีน หลังจากที่มีการผลิตวัคซีนล็อตแรกเสร็จ จะนำไปสู่ขั้นตอนการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ คาดจะอยู่ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

น.ส.รัชดา กล่าวว่า บริษัท AstraZeneca ประเทศไทย แจ้งแผนการส่งมอบวัคซีนให้กระทรวงสาธารณสุข ครบ 6 ล้านโดสในสัปดาห์นี้ ตามแผนทั้งหมด 61 ล้านโดส และในช่วงต้นของเดือนกรกฎาคม จะมีวัคซีนจากการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น อีกจำนวน 1.05 ล้านโดส ขณะเดียวกัน ระบบ "หมอพร้อม" ได้เลื่อนการฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นแก่ผู้ลงทะเบียนกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง ในพื้นที่กทม. จากเดือน สิงหาคม เป็น กรกฎาคม

ส่วนกรมการแพทย์ ได้เปิดให้ผู้สูงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป สามารถรับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ แบบระบบ On-site เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ โดยจะเริ่ม 30 มิถุนายน-18 กรกฎาคม

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เร่งเดินหน้า ตามแผนการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ประเทศเร็วที่สุด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จัดเต็ม!! คอนเทนต์เพื่อการศึกษา 1 ก.ค. นี้ แหล่งรวมสาระเพื่อ “การศึกษาและการพัฒนาตัวเอง ” ????????

ทุกคอนเทนต์ จัดเต็มทุกวัน จันทร์-อาทิตย์

✅ข่าวการศึกษา

✅คอลัมนิสต์

✅ข้อมูลโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชื่อดัง

✅ข้อมูลการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศ

✅บุคคลในแวดวงการศึกษาที่น่าสนใจ

✅บทความ เทคนิคการพัฒนาตัวเอง

✅รายการสัมภาษณ์ THE STUDY TIMES STORY

ขนกันมาแบบจัดเต็ม!!

เพราะเราคือ THE STUDY TIMES สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์สำหรับทุกคน????✏

Education News Agency for All

????ติดตามได้ทางเว็บไซต์, Facebook, LINE, YouTube, IG และ TiktTok ???? THE STUDY TIMES


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top