‘อาจารย์อุ๋ย’ จี้!! ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ผลักดันนโยบาย ‘Thailand First’ ตามแบบ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ตั้งหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพ ปราบทุจริต

(15 ก.พ. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า “หลายท่านที่ติดตามข่าวต่างประเทศโดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสไตล์การบริหารที่แปลกแหวกแนว มีสีสันไม่ค่อยเหมือนใคร โดยเฉพาะนโยบาย America First หรืออเมริกาต้องมาก่อน ซึ่งเป็นแคมเปญสั้น ๆ แต่ครอบคลุมทุกมิติของนโยบาย คือทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาและชาวอเมริกัน

ซึ่งผมมองว่าประเทศไทยก็สามารถใช้นโยบายในลักษณะนี้ได้เช่นเดียวกัน แม้เราจะไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ แต่ก็ไม่เล็กเกินไปที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศไทยต้องการที่จะปกป้องปผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทย โดยไม่ให้ประเทศอื่นมาเอาเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานต่างด้าวหรือผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะมาได้รับสิทธิ์ทัดเทียมคนไทยนั้น ไม่ควรมีข่าวออกมาให้เห็น หรือถ้าการยกเลิก MOU44 จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบในการถือกรรมสิทธิ์ในขุมพลังงานบริเวณน่านน้ำรอบเกาะกูด ก็ต้องรีบทำ เพราะ ผลประโยชน์ของประเทศไทยต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด หรือแม้แต่การกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักอยู่บริเวณชายแดน หากยึดถือหลักการ ประเทศไทยต้องมาก่อน แล้ว คงไม่ต้องรอให้ทางจีนเขาส่งคนใหญ่คนโตเอาแส้มาหวดจนก้นลายกันทั้ง ครม. ถึงจะขยับเขยื้อนกัน 

อีกอันหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจคือการที่ ปธน. ทรัมป์ตั้ง อีลอน มัสค์ มหาเศรษฐีชื่อดังผู้ก่อตั้ง SpaceX และ Tesla เข้ามานั่งหัวโต๊ะคุมหน่วยงานพิเศษที่เรียกว่ากระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ทำหน้าที่ลดขนาดรัฐ ขจัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตัดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไปว่ามัสค์จะทำหน้าที่ได้สมกับที่คุยโวได้หรือไม่ จะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเปล่า แต่ล่าสุดทาง DOGE ก็ทำผลงานโดยเตรียมตรวจสอบการใช้งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงกลาโหม และอ้างว่าตัดลดการใช้งบประมาณที่ไม่จำเป็นได้ถึงวันละหนึ่งพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะประหยัดงบให้ได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน

สุดท้ายนี้ผมมองว่าหากประเทศไทยจะนำหลักการ นโยบายแบบทรัมป์กับคู่หูอีลอน มัสค์ มาประยุกต์ใช้เสียบ้าง คงไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะประชาชนคนไทยกับประเทศไทยมีแต่ได้ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการและการปราบคอร์รัปชัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนขึ้นอีกหลายเท่าเพราะดัชนีเรื่องความโปร่งใสก็เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดที่สำคัญที่สากลโลกเขาใช้วัดกันว่าประเทศนี้ประเทศนั้นน่าไปลงทุนมากแค่ไหน ก็ขอฝากท่านนายกไปคิดดูครับ ด้วยความปรารถนาดี”