สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แสวงหาความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนและระดับสากล มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ประชาชนและสังคม

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่มุ่งให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกประเภท ซึ่งทวีความรุนแรง เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอันมาก สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน ในระดับพหุภาคีและระดับสากล
 
จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ท.สรร พูลศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผบก.ตท., พ.ต.อ.พงษ์เดช คำใจสู้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมผู้แทนจาก บช.ก., สตม., บช.ปส., บก.ปคม., บก.ปทส., ตท. และ ป.ป.ส. เดินทางไปร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ครั้งที่ 23 (The 23rd ASEAN Senior Officials Meeting on Transnational Crimes) (SOMTC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 23 มิถุนายน 2566 ณ เมืองยอร์กยากาตาร์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ร่วมกับนายไมเคิล เทเน รองเลขาธิการอาเซียนฝ่ายประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน พร้อมทั้งผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้ง 10 ประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต และประเทศคู่เจรจา

ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น  เกาหลีใต้(ประเทศคู่เจรจา SOMTC+3) สหภาพยุโรป(EU) ออสเตรเลีย รัสเซีย อินเดีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยมี พล.ต.อ.ลิสติโย ซิกิต ปราโบโว ผบ.ตร.อินโดนีเซีย และ พล.ต.ท.อกุส อันเดรียนโต ผู้บัญชาการตำรวจฝ่ายสอบสวนคดีอาญา         
และประธานคณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ให้การต้อนรับ

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (SOMTC) ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ในการทำหน้าที่เป็นกลไกและหน่วยงานในการกำกับนโยบายของอาเซียนในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว ยังเป็นการดำเนินการภายใต้ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักที่ 1 จาก 3 เสาหลักของอาเซียน โดยจะร่วมดำเนินการ ประสานงาน ดำเนินกลยุทธ์และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อป้องกันและต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติที่มีอยู่และเกิดขึ้นใหม่ และเน้นการติดตามผลตามแผนงานความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและปรับปรุง การประสานงานข้ามภาคส่วนและระดับพหุภาคี การยกระดับความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาข้างต้นและประเทศผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายใต้ความร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ใน 10 สาขา

ได้แก่ การลักลอบค้าอาวุธ(Arms smuggling) การก่อการร้าย(Terrorism) การฟอกเงิน(Money laundering) การละเมิดลิขสิทธิ์ทางทะเล (Sea piracy) การลักลอบขนคนโดยผิดกฎหมาย (Human smuggling) การค้ามนุษย์ (Trafficking in persons) อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) อาชญากรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ(International economic crime) การลักลอบค้ายาเสพติด (Illicit drug trafficking) และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า (Illicit wildlife and timber trafficking) โดยประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการป้องกันปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติด และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งทุกประเทศที่ร่วมประชุมได้ร่วมติดตามผลการปฏิบัติและพร้อมดำเนินการตามแผนความร่วมมือ ผลการประชุมหารือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า จากการเปิดประเทศภายหลังการคลี่คลายของสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด - 19 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของหลายประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยต้องรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น อาชญากรรมทางไซเบอร์ ในประเทศไทย มีการฉ้อโกงออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ ซึ่งในห้วงที่ผ่านมา ศปอส.ตร.(PCT) ได้รับแจ้งเหตุแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กว่าหมื่นราย สร้างความเสียหาย กว่า 400 ล้านบาท ภายใน 1 สัปดาห์ โดย บช.สอท. ได้ใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ

โดยเชิญชวนผู้ใช้โทรศัพท์รายงานหมายเลขต้องสงสัย และผู้ให้บริการให้ความร่วมมือสืบสวนหมายเลขต้องสงสัยและบล็อคหมายเลขคนร้าย แล้วส่งข้อมูลมายังตำรวจไซเบอร์ ส่งผลให้การสืบสวนจับกุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับการค้ามนุษย์ ในห้วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ร่วมกับกัมพูชา ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ในเมืองสีหนุวิลล์ และช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ถูกหลอกผ่านทางโซเชียลมีเดียไปทำงาน แล้วถูกกักขัง บังคับใช้แรงงานกว่า 800 คน สำหรับการลักลอบค้ายาเสพติด ประเทศไทยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านยาเสพติดเพื่อประชาคมที่มั่นคงของอาเซียนฯ และเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งศูนย์ความร่วมมืออาเซียนด้านยาเสพติด(ASEAN-NARCO)

โดยในครั้งนี้ได้พิจารณาความร่วมมือในโครงการต่อต้านยาเสพติดร่วมกับออสเตรเลีย สำหรับการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า มีการนำเทคโนโลยีระบบนิติวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรม DNA มาใช้เพื่อระบุตัวตนและจำแนกแหล่งที่มาของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทั้งนี้ การบริหารจัดการชายแดนแบบเชิงรุก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การปฏิบัติตามแผนความร่วมมือ การเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย คือกุญแจสำคัญในการปราบปราม สกัดกั้นและจับกุมขบวนการผู้กระทำผิดในทุกรูปแบบ  
  
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันอาชญากรรมข้ามชาติพัฒนาไปสู่รูปแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่หน่วยงานความมั่นคงทั้งในและระหว่างภูมิภาคจะต้องส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับสากล นำไปสู่ความสำเร็จในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภทในภาพรวม เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน