‘บิ๊กโจ๊ก’ เผย ‘แอม ไซยาไนด์’ เล่นพนันสูงสุดวันละ 10 ล้าน!! เตรียมจับเจ้าของเว็บฯ ก่อนส่งสำนวนอัยการ 15 คดี อาทิตย์หน้า

(19 พ.ค. 66) พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังจากเมื่อวานที่ผ่านมาได้เข้าไปสอบปากคำนางสาวสรารัตน์ หรือ ‘แอม’ ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง แล้วพบว่า ไม่ยอมให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน และไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำให้การที่ให้ไว้เดิม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ไม่เหนือความคาดหมายที่ผู้ต้องหาไม่ให้การ หลังจากที่ได้รับคำปรึกษาจากทนายความซึ่งยังคงเป็นนางสาวธันย์พิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ‘ทนายพัช’ และยังไม่มีการเปลี่ยนตัวทนายความ และแม้ว่าผู้ต้องหายังไม่ได้รับสารภาพในข้อหาฆ่าผู้อื่น แต่รับในข้อเท็จจริง ซึ่งก็ยังยืนยันว่าตำรวจมีพยานหลักฐานที่แน่นหนา สามารถดำเนินคดีในชั้นศาลได้

ส่วนการกลับคำให้การไปมาของนางสาวแอม ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาในการดำเนินคดี แต่จากการเข้าไปสอบปากคำด้วยตัวเองในเรือนจำ ยังพบว่านางสาวแอม ยังไม่สำนึกผิด ส่วนจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับนางสาวแอมจะมีความผิดหรือ ขณะนี้ยังไม่พบความผิด

นอกจากนั้น ยังได้สืบสวนถึงแหล่งที่มาของไซยาไนด์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยปละละเลย รวมทั้งกลุ่มเว็บไซต์พนันออนไลน์ ที่พบว่านางสาวแอมโอนเงินไปเล่นพนันกว่า 78 ล้านบาท ขณะนี้ทราบถึงเจ้าของเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว และพบว่าไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว

ส่วนนางสาวแอม ยังยอมรับว่า เล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2563 โดยรวมเงินจากกลุ่มเพื่อน และวงแชร์ วงจำนำรถ และกลุ่มเงินกู้ เพื่อไปเล่นพนัน โดยบางวันเข้าเว็บพนันมียอดเงินสูงถึง 10 ล้านบาท และจากการตรวจสอบยังไม่พบว่า พันตำรวจโทวิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีของนางสาวแอม เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเล่นพนัน แต่ได้ช่วยเหลือด้านการเงิน ทั้งกู้เงินจากสหกรณ์ และจำนองบ้าน เพื่อเอาเงินไปให้นางสาวแอม

โดยภายในสัปดาห์หน้าจะพบความชัดเจนในการแจ้งข้อกล่าวหา และการออกหมายจับกับบุคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนนางสาวแอม ก็จะถูกแจ้งข้อความหา ใช้เอกสารปลอมเพิ่มเติม หลังจากพบว่าปลอมทะเบียนรถของนายแด้ อดีตสามี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังระบุว่า สำนวนคดีนี้ได้ปรึกษาร่วมกับอัยการอยู่โดยตลอด เพื่อให้การส่งสำนวน และการตรวจสอบสำนวนไปในทิศทางเดียวกัน และพร้อมที่จะส่งสำนวนคดีทั้ง 15 คดี ไปให้อัยการพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า โดยคดีนี้จะรวมทั้ง 15 สำนวน ดำเนินคดีศาลอาญา

โดยจะมอบหมายให้พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้ารวบรวมสำนวนคดี และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ซึ่งเป็นผู้ทำคดีและเป็นผู้มีประสบการณ์ในการร้อยเรียงสำนวนทั้ง 15 สำนวนขึ้นเบิกความให้ศาลรับฟัง

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยและ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งได้รายงานความคืบหน้าคดีให้ทราบโดยตลอด ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจและตนเองได้กำชับเร่งรัดคดีโดยให้ทำให้เร็วแต่ก็ต้องรอบคอบ  ซึ่งทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เองก็มีการประชุมชุดคลี่คลายคดีทุกวัน โดยเฉพาะพนักงานสอบกองปราบปรามและตำรวจภูธรภาค 7 ในการทำงานร่วมกัน และคงจะดำเนินเสร็จสิ้นเร็ว ๆ นี้

ส่วนสำนวนคดีทราบว่าจะมีการรวบรวมและส่งให้อัยการไปมีเดียว 15 สำนวน เน้นย้ำให้ทำอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ดีที่สุด พร้อมระบุว่า บางกรณีที่ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือและหลักฐานบางชิ้นไม่สมบูรณ์ ก็ได้กำชับไปแล้วว่าให้ทำให้ดีที่สุดในการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ แม้ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือก็ให้หาหลักฐานส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานแวดล้อม รวมถึงหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ นำมาร้อยเรียงให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งย้ำว่า คดีนี้ตำรวจมีหลักฐานขอให้มั่นใจว่าเอาผิดผู้ต้องหาได้แน่นอน