เซเลนสกี้ วอน สหรัฐฯ ส่งทหารหนุ่มสาวมาช่วยรบ หลังยูเครนขาดนักรบ ถึงขั้นเกณฑ์คนพิการเข้ากองทัพ
สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปี 2 ยังคงตึงเครียดที่ต่างฝ่าย ต่างไม่มีใครหยุดยิง แถมปัดโอกาสในการหันหน้าเข้าสู่วงเจรจา จึงเชื่อว่าในใจลึก ๆ ของชาวโลกจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกท้อแล้วกับความขัดแย้งนี้ คือถ้าอยากจะรบกันไปเรื่อย ๆ ก็อย่าให้เดือดร้อนคนอื่นมากก็แล้วกัน
ชาวโลกประเทศอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง อาจจะคิดแบบนี้ได้ แต่กับชาวอเมริกันที่จ่ายภาษีทุกวัน แล้วต้องมาเห็นรัฐบาลเซ็นเช็คเหมือนเทน้ำ เพื่อส่งไปสนับสนุนกองทัพยูเครนคงทำใจให้ปล่อยวางในเรื่องนี้ได้ยากหน่อย
แต่วันนี้ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ มีคำตอบให้ชาวอเมริกัน เมื่อสื่ออเมริกันขอสัมภาษณ์ผู้นำยูเครนในวันครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเขาได้พูดถึงการสนับสนุนของรัฐบาลอเมริกันในสงครามครั้งนี้ว่า สิ่งที่ชาวอเมริกันเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับจำนวนเงิน และความคุ้มค่าที่รัฐบาลสหรัฐจะได้จากการส่งทรัพยากรมหาศาลมาช่วยยูเครน เป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ (คือจ่ายแล้วอย่าไปคิด)
เพราะอะไรนะหรือ? เพราะถ้ายูเครนแพ้ นั่นหมายถึงรัสเซียจะได้ครองดินแดนทางฝั่งบอลติก ซึ่งเป็นภัยอย่างยิ่งกับ NATO และจะทำให้สหรัฐสูญเสียความเป็นมหาอำนาจ และสิ่งที่สหรัฐจะต้องทำอีก คือ ต้องส่งบุตรหลานของพวกท่านลงสนามรบ เหมือนอย่างที่เราได้สละลูกหลานของเราพลีชีพในสมรภูมิไปแล้ว ให้สมกับที่สหรัฐบอกว่าจะยืนเคียงข้างเราเพื่อชัยชนะ มันอาจจะโหดร้าย และพวกเขาอาจต้องตาย แต่สงครามมันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ
และนี่เป็นครั้งแรก ที่เซเลนสกี้เอ่ยปากขออย่างอื่นที่ไม่ใช่อาวุธในการทำสงคราม แต่ไอ้ 'อย่างอื่น' นี่มันยากยิ่งกว่าส่งเงินทุน ส่งอาวุธไปให้มากมายนัก ที่ชาวอเมริกันฟังแล้วถึงกับเอามือทาบอก ที่ได้ยินว่า เซเลนสกี้ขอให้ส่งหนุ่มสาวอเมริกันไปรบในประเทศอื่นอีกแล้วหรือ ที่ยูเครนมีทหารไม่พอหรือไง?
แต่ถึงเซเลนสกี้จะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่ดูทรงแล้วมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
ซึ่งตั้งแต่กองทัพรัสเซียบุกยูเครน ทางรัฐบาลยูเครนได้ประกาศกฎอัยการศึกในสถานการณ์สงคราม ที่จะเรียกระดมพลทหารกองเกิน กองหนุน และอาสาสมัครจากทั่วประเทศมาลงกองทัพ หรือแม้แต่รับสมัครนักรบต่างชาติ บีบให้ฝ่ายรัสเซียต้องประกาศเกณฑ์ทหารเข้ากรมครั้งใหญ่เพิ่มเช่นเดียวกัน
จนกระทั่งช่วงปลายปี 2022 กองบัญชาการภาคพื้นดินของยูเครนได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางรัฐบาลจะยังไม่เรียกระดมพลระลอกใหม่ในเร็ว ๆ นี้ จนกว่าจะมีการประกาศกฤษฎีกาฉบับใหม่ หลังวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปีหน้า (2023) แต่ผู้ที่ชำนาญการรบพิเศษ หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย ยังคงเรียกให้เข้ากองทัพอยู่เรื่อย ๆ
นั่นเป็นคำพูดของฝ่ายกองทัพยูเครนเมื่อปีที่แล้ว แต่ทว่าตั้งแต่ต้นปี ชาวยูเครนที่กลุ่มที่หลุดเงื่อนไขเกณฑ์ทหาร อย่างกลุ่มคนพิการกลับได้รับจดหมายเรียกเข้ากรม เพื่อไปประจำในสนามรบที่ห่างไกล ที่ไม่ใช่บ้านเกิดของพวกเขาด้วยซ้ำ
สำนักข่าว The Economist ได้ลงเรื่องราวของนายรัสลาน คูเบย์ ชายชาวยูเครนที่สูญเสียมือทั้ง 2 ข้างตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เขาถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนพิการที่ได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหาร กลับได้รับหมายเรียกให้เข้าประจำกองทัพในเมือง Drohobych แถมยังระบุชัดว่าร่างกายของเขาเหมาะสมที่จะเข้าประจำการ
ซึ่งไม่ใช่เคสเดียว เพราะมีกลุ่มคนพิการในยูเครนที่ได้รับหมายเรียกลักษณะเดียวกันจำนวนมาก ที่บ่งชี้ว่ากองทัพยูเครนกำลังยกระดับการเกณฑ์พลเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีแล้ว และมีหน่วยลงทะเบียนย่อย ซ่อนอยู่ตามเมืองต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยูเครนกำลังเรียกระดมพลครั้งใหญ่อยู่ เพียงแค่ไม่ประกาศออกมาตรง ๆ อย่างเป็นทางการเหมือนกับทางรัสเซียเท่านั้นเอง
ถึงจะดูเหลือเชื่อที่เรียกรัฐบาลยูเครนต้องเรียกทหารกองเกินที่เป็นคนพิการ แต่ตามกฎอัยการศึกของยูเครนก็มีระบุเผื่อเรียกไว้เช่นนั้นจริงๆว่า หากในยามสงคราม บุคคลที่จัดอยู่ในกลุ่มทุพพลภาพทางส่วน ที่ยังพอมีศักยภาพก็อาจถูกเรียกตัวรับใช้ชาติได้ถ้าจำเป็น แต่ถ้าถึงขนาดนายรัสลาน คูเบย์ ที่เสียมือทั้ง 2 ข้าง ยังถูกตีทะเบียนว่าฟิตในหน้าที่ แสดงว่า จำนวนทหารเกณฑ์ในยูเครนน่าจะมีปัญหาแล้วจริงๆ
ดังนั้นสิ่งที่ฝ่ายยูเครนกังวล ไม่ใช่แค่ เงินทุน หรือ อาวุธที่ขาดแคลนเท่านั้นแล้ว แต่เป็นจำนวนทหารที่ลดลงมากจากสงครามใน 1 ปีที่ผ่านมา และหากปูติน ผู้นำรัสเซียสั่งระดมพลรอบใหม่ในปีนี้ ก็ยิ่งกดดันฝ่ายกองทัพยูเครนที่มีกำลังพลน้อยกว่า
และยิ่งชัดเมื่อเซเลนสกี้ ถึงกับเอ่ยปากขอกับชาวอเมริกันในวันนี้ให้ช่วยส่งลูก ๆ หลาน ๆ มาช่วยรบหน่อย ถ้าอยากชนะ เงินทุนก่อนหน้าที่ให้มาไม่ต้องไปนับ เพราะชัยชนะของยูเครน ก็เหมือนชัยชนะของสหรัฐนั่นแล หรือจะเห็นยูเครนแพ้ แล้วมานั่งเจ็บใจว่าจ่ายภาษีไปเหมือนสูญเปล่า
เมื่อประธานาธิบดีท่านหนึ่งกล่าว ชาวสหรัฐก็ต้องทำใจหน่อย ไหน ๆ ก็เคยจ่ายค่าสงครามด้วยชีวิตทหารหนุ่มสาวให้กับเวียดนาม อิรัก อาฟกานิสถานได้ กับยูเครนอีกสักประเทศ คงไม่เป็นไร....มั้ง?
ที่มา : หรรสาระ By Jeans Aroonrat