‘สนธิ’ แฉ!! คนใกล้ตัว ‘ชูวิทย์’ เปิดบาร์กัญชาสุดหรูกลางกรุงฯ

(27 ก.พ. 66) นายสนธิ ลิ้มทองกุน ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ตอนหนึ่งว่า จากกรณีที่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและเจ้าของธุรกิจอาบอบนวด ได้ออกมาโจมตีในกรณีปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์ โดยโพสต์ข้อความ 2 โพสต์ติด ๆ กัน คือ กัญชา พี้เพื่อชาติ! และ กัญชา เหรียญสองด้าน สนองกิเลสพรรคภูมิใจไทย

ต่อมาได้มีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กเข้าไปโพสต์แสดงความเห็นในเฟซบุ๊กนายชูวิทย์ ระบุข้อความว่า “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ขอให้กิจการรุ่งเรือง เฮง ๆ นะครับ” พร้อมแนบภาพ ร้าน ชูหวีด บาร์ (Chuweed Bar) ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายกัญชาเพื่อสันทนาการภายในโรงแรมดังกลางกรุง ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวนายชูวิทย์ด้วย และช่วงค่ำวานนี้ เฟซบุ๊กเพจ Channel Weez Thailand ได้โพสต์ภาพ และรายละเอียด Chuweed Bar ของครอบครัวนายชูวิทย์ ระบุว่า “กัญชาพรึ่บ! บาร์สมุนไพรสุดฟิน ในโรงแรมของชูวิทย์ การตกแต่งร้านโดดเด่นมีสไตล์ เรียบง่ายบนความหรูหรา มีหลายโซนให้ลูกค้าได้ฟินกับความ high เหนือระดับ เช่นเดียวกับโลโก้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วรู้เลยว่า คือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

โดยบาร์กัญชาดังกล่าว ตั้งอยู่ในโรงแรมของเสี่ยชูวิทย์ แว่วมาว่า ปัจจุบันโรงแรมนี้บริหารงานโดยรุ่นลูกและคนในครอบครัว ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของก็ตาม แต่ร้านนี้ถือเป็นบาร์สมุนไพรที่น่าแวะไปชมสักครั้ง แถมยังได้รับแรงบันดาลใจจากคนชื่อดัง เผื่อมีโอกาสได้นั่งเติมกัญสักครั้ง เห็นร้านสวย ๆ แบบนี้แล้ว สหายสายเขียวฝากสะกิดมาบอกพี่น้องว่า อย่าอคติกับสมุนไพรไทยโบราณเลย มาช่วยกัญรันวงการเพื่อเศรษฐกิจของลูกหลานดีกว่า กัญชาถูกย่ำยีจากเกมการเมืองมามากพอแล้วท่าน อนึ่ง จากการสืบค้นข้อมูลย้อนหลังพบว่า บาร์กัญชา Chuweed Bar ภายในโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ของครอบครัวนายชูวิทย์นั้นมีการเปิดให้บริการเชิงสันทนาการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 หรือกว่าครึ่งปีแล้ว

สำหรับโรงแดมดังกล่าว เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว มีจำนวนห้องพัก 240 ห้อง ของครอบครัวนายชูวิทย์นั้นบริหารงานโดย บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ซึ่งหุ้นทั้งหมดถือครองในครอบครัวนายชูวิทย์ทั้งหมด โดย ณ เดือนกรกฎาคม 2565 ผู้ถือหุ้น ประกอบไปด้วยลูกสาว น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฎ์ ถือหุ้น 24.75%, ลูกชาย 3 คน คือ นายต่อตระกูล กมลวิศิษฎ์ถือหุ้น 24.75%, นายต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์ ถือหุ้น 24.75%, นายเติมตระกูล กมลวิศิษฎ์ ถือหุ้น 24.75%, บริษัท ต้นตระกูล จำกัด ถือหุ้น 1% และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ถือหุ้น 0.01%

ทั้งนี้ บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด มีกรรมการ 5 คน ประกอบด้วย นายต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์, นายต่อตระกูล กมลวิศิษฎ์, นายเติมตระกูล กมลวิศิษฎ์, นางสาวตระการตา กมลวิศิษฎ์ และ พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี

ส่วนผลประกอบการตามรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปรากฏข้อมูลงบการเงินล่าสุด บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด สิ้นสุด ณ ปี 2563 ระบุว่า มีรายได้รวม 22,313,415 บาท ขาดทุน 27,758,836 บาท โดยมีสินทรัพย์รวม 211,023,896 บาท

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น นายสนธิ ได้พูดฝากเตือนไปถึงนายชูวิทย์ จากกรณีที่ออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์ ปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะความไม่โปร่งใส โครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม พร้อมอ้างมีเงินตกหล่นอยู่สามหมื่นล้าน ใจความสำคัญตอนหนึ่ง ระบุว่า ในฐานะที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของนายชูวิทย์ และทำวิชาชีพสื่อมวลชนมากว่าห้าสิบปี มีประเด็นที่อยากจะเตือน ให้ข้อคิดแก่นายชูวิทย์ในการแฉ เปิดโปงเรื่องเหล่านี้ ว่า มีเรื่องที่นายชูวิทย์ต้องระวังให้มากๆ เพราะภาพรวมตอนนี้ นายชูวิทย์ต้องรู้ว่าเป็นการฟาดฟันกันระหว่างกลุ่มคนรอบตัว ‘ลุงตู่’ และกลุ่มคนรอบตัว ‘ลุงป้อม’ โดยใช้ลูกน้องออกมาฟาดฟันกัน จึงอยากจะเตือนว่าอย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร

“คุณชูวิทย์ไปหานายกฯ ทีไร ไม่ว่าจะเป็นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ หรือที่ทำเนียบรัฐบาล ก็จะมี ‘เสธ.หิ’ คุณหิมาลัย ผิวพรรณ หรือมีคนอย่างคุณวรัญชัย โชคชนะ ยืนอยู่ข้าง ๆ พอพูดเสร็จ คนโน้นคนนี้ลงมาจัดการ กรณีนี้ คุณพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรคฯ เลขาธิการนายกฯ ก็ลงมาจัดการ คุณชูวิทย์ต้องระวังว่า คนจะมองว่าคุณมีนอกมีในกับคนพวกนี้หรือเปล่า

“ที่สำคัญ คุณชูวิทย์ ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังจะยุบสภาฯ ภายในเดือนหน้า คือมีนาคมนี้ คงมีการจัดการให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม เรื่องเหล่านี้คุณชูวิทย์ต้องระวังให้มากๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะขณะนี้สายลุงตู่ กับสายลุงป้อม ฟาดฟันกันอย่างหนัก”

พร้อมย้ำว่า “การพูดจาอะไรต้องระวัง เพราะว่าในการประมูลของภาครัฐทุกครั้ง ทุกรอบ ทุกยุค ทุกสมัย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีทั้งเอกชนที่สมหวังและผิดหวัง มีคนได้ มีคนเสีย ผมเกรงว่าจะมีคนกล่าวหาคุณชูวิทย์รับงานมา ว่า พอคุณชูวิทย์เริ่มดังขึ้นมา ก็เริ่มรับงานร้องเรียนที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาการประมูลที่เป็นคู่แข่งระหว่างเอกชนกับเอกชน”

ส่วนประเด็นเรื่องเม็ดเงินสามหมื่นล้านบาท ที่นายชูวิทย์เปิดประเด็น พบวมีการโอนเงินโอนทองไปสิงคโปร์ ผ่านธนาคาร HSBC นายสนธิ ระบุว่า “คุณชูวิทย์ครับ เราอยู่ในวงการนี้กันมานานแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องเตือนคุณหรอก แต่การที่คุณพูดเช่นนี้ว่ามีเงินทอนสามหมื่นล้านบาทเข้าไปที่สิงคโปร์ คุณชูวิทย์ต้องเอามาเปิดเผย คุณอย่าไปพูดลอย ๆ แบบนี้ เอาสนุก ปรักปรำไปเรื่อยว่าคนอื่นทุจริต

คุณชูวิทย์ต้องรับผิดชอบนะ เพราะเดี๋ยวคนอื่นก็จะบอกว่าคุณชูวิทย์ก็รับเงินรับทองเขามาเหมือนกัน เพื่อมาหาทางล้มประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม แล้วถ้าเกิดมีใครออกมาพูดว่าคุณชูวิทย์รับเงินไปแล้ว มีเงินโอนเข้าไปที่เคย์แมนไอส์แลนด์ จำนวนหมื่นล้าน สองหมื่นล้าน คุณชูวิทย์ครับ อย่างนี้ใครๆ ก็พูดได้ ใครๆ ก็กล่าวหาใคร ๆ ได้เหมือนกัน ซึ่งนี่ผมคิดว่าไม่ดี ถ้าคุณชูวิทย์มั่นใจในข้อมูล เอาตัวเลขมาเปิดกันเลย เอาชื่อ เอาเบอร์บัญชีมาเปิดให้เห็นชัดเจนกันเลยดีกว่า อย่าอมพะนำเอาไว้อย่างนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าอมพะนำไปอย่างนั้นแล้ว เป็นการตีกินข้างเดียว เดี๋ยวคนเขาจะว่าคุณชูวิทย์รับงานมา ซึ่งผมไม่เชื่อว่าคุณชูวิทย์รับงานมา แต่ผมเป็นห่วงคุณชูวิทย์”


ที่มา : https://www.topnews.co.th/news/608631