‘ตู่ - จตุพร’ ลากไส้ ‘ทักษิณ’ หลอกใช้คนเสื้อแดง จวกเละ พอหมดประโยชน์ถีบหัวเรือส่ง

เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก ประชาชนคนไทย (ปท.) เผยแพร่คำกล่าวของ ‘ตู่ - จตุพร พรหมพันธุ์’ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน โดยระบุว่า

“ผมมักพูดเสมอว่า การซื่อสัตย์กับคนไม่ซื่อสัตย์ ถ้าเป็นเรื่องเฉพาะตัว ก็ยอมรับกันได้ เมื่อรักเองต้องเจ็บเอง ให้ถูกใช้เอง ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ จะนำพาสู่ความหายนะ เกิดความเสียหาย เพราะชัยชนะที่ได้มันสั้นทุกครั้งคราว และต้องแลกกับการถูกล้มกระดานแล้วแพ้ระยะยาว และสู่ความพินาศย่อยยับทุกครั้ง”

แม้ปัจจัยการยึดอำนาจเป็นสิ่งภายนอก ควบคุมไม่ได้ แต่สามารถป้องกันได้ โดยผู้มีอำนาจต้องไม่โกง ไม่ลุแก่อำนาจ และต้องไม่คิดว่าประเทศนี้เป็นเจ้าของ จะทำอะไรก็ได้ ยิ่งได้รับคะแนนมากเท่าไรก็หลงใหล ว่า ตนเองมีอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า อำนาจมากก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น

แม้วันนี้ประชาชนสิ้นหวัง แต่ยังคาดหวังว่า เมื่อมีเลือกตั้งจะยังไปเลือกตั้ง ผมจึงมาบอกให้สงสารประชาชนบ้างกับการพาประชาชนไปแพ้ทุกครั้ง แล้วโทษแต่การยึดอำนาจอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม หากเป็นรัฐบาลไม่โกง และซื่อสัตย์ต่อประชาชน ทหารหน้าไหนจะกล้ามายึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ยึดอำนาจปี 2557) และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ยึดอำนาจปี 2549) ก็ไม่มีวันมายึดอำนาจได้เลย

การย้ายขั้วสลับข้างมาสังกัดพรรคเพื่อไทย แล้วมีการแถลงขอโทษนายทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า เรื่องแรกถ้าไม่สถาปนาตัวเองว่าเป็นเจ้าของประชาธิปไตย ลำพังด้วยการประกาศว่า ย้ายออกเพื่อไทยเป็นคนทรยศ เป็นพวกงูเห่า ไปไล่หนูตีงูเห่า ที่ศรีสะเกษ จนทำให้สังคมประจักษ์กับพฤติกรรมนักการเมืองย้ายพรรคไม่ได้นั้น หากทำได้ตามที่พูดแล้ว คนจะสรรเสริญว่า เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง และประชาชนก็ไม่อาจยอมรับพฤติกรรมนักการเมืองแบบนี้ได้

คุณทักษิณ จะพูดอะไรก็ได้ พูดถึงเสียงปืนนัดแรก พูดพายเรือมาส่ง ความจริงก็ถีบหัวเรือเลย แต่เราจะปล่อยให้ความผิดพลาดมันเดินต่อไปไม่ได้ เราจึงวิจารณ์ เมื่อเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ย่อมมีถูก มีผิด ไม่ใช่ถูกทุกเรื่อง กำลังสถาปนาตัวเองเป็นเทพเจ้าหรืออย่างไร คือ หมายความว่า พูดอะไรก็ถูกหมด ทั้งที่พูดผิดหลายเรื่อง ทำไม่ถูกหลายเรื่อง และทำถูกก็มีหลายเรื่อง นี่เป็นหลักมนุษย์ธรรมดา ถ้าไม่วิพากษ์วิจารณ์กันในวันที่เรากำลังวิจารณ์กันได้ เรากำลังเดินเข้าไปในวงจรเดิม ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น

อดีตประธาน นปช. กล่าวต่อไปว่า การต่อสู้ของประชาชน เมื่อปี 2553 ไม่ได้อะไรที่คุ้มค่าตามเจตนารมณ์เลย รัฐบาลในยุคนั้น (ชุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ยังไม่กล้าลงนามกับศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือที่เรียกว่า ICC (International Criminal Court) แค่กลัว พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจ แต่สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด ถูกพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจนได้ อีกทั้งไม่สร้างขบวนการต่อสู้ของประชาชนแล้วยังไปแบ่งแยก และทำลายขบวนการของประชาชนในแต่ละที่อีกด้วย

“มีคนมาถามผมว่า ทำไมคนเสื้อแดงกลายเป็นคนเสื้อส้มจำนวนมาก ผมเล่าแบบขำ ๆ และเจ็บใจตัวเองว่า สมัยก่อนพรรคอนาคตใหม่ (ชื่อเดิมพรรคก้าวไกล ก่อนถูกยุบ) ตึกติดกับพรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มาเก็บเสื้อแดงที่ถังขยะหน้าเพื่อไทย ไปล้างทำความสะอาด เอาไปใส่ แล้วเอาเสื้อส้มมาให้ใส่ ซึ่งจะสังเกตว่า หลังปี 2554 มา ไม่ได้ใช้ขบวนการเสื้อแดงในการหาเสียงเลย ไม่ว่าจะไปในฐานะพรรคเพื่อไทย หรือพรรคไทยรักษาชาติ ที่ถูกยุบก็ตาม แต่มาครั้งนี้เพื่อไทยต้องการเสียงแลนด์สไลด์ ก็ปลุกคนเสื้อแดงขึ้นมาใหม่อีก เหมือนปลุกผีที่เคยถูกทอดทิ้งขวางไปแล้ว และคงเพิ่งนึกได้ เวลาอยากก็ต้องการ เมื่อไม่อยากก็ทิ้งขวางไป”

มีการเรียกร้องหาความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงในเหตุการณ์ชุมนุม เมื่อปี 2553 ว่า คุณไม่ได้กระทำเลย ตนทนเยอะแยะมากมาย ความจริงคดีก่อการร้ายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องนั้น จำเลยที่หนึ่งคือ ทักษิณ ส่วนผมเป็นจำเลยที่สาม แต่อัยการไม่สั่งฟ้องทักษิณ ซึ่งต่อมาอัยการคนนี้ก็เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเป็น รมต. หมายความว่าอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องไม่อดทนไปตลอดชีวิต เราต้องอธิบายถูกเป็นถูก ผิดก็เป็นผิด

“วันนี้ ใครวางแผนที่จะมาตอบโต้ผมนั้น ให้ลองนึกกันช้า ๆ ว่า มีตรงไหนไม่เป็นความจริงบ้าง ขณะเดียวกันผมขอสงวนสิทธิ์ตอบโต้ทุกกรณี และจะหนักมากกว่านี้อีก วันนี้ผมไม่ได้ขัดขวางชัยชนะของเพื่อไทย แต่ไม่เห็นด้วยกับการชนะด้วยท่วงทำนองการสถาปนา ว่า ตนเองเป็นนักประชาธิปไตย”

นั่นเป็นคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. หรือคนเสื้อแดง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำการชุมนุมคนเสื้อแดงมาอย่างยืดเยื้อยาวนานนับปี ซึ่งในตอนนั้นหลายคนมองว่า มีเป้าหมายเพื่อทวงคืนอำนาจให้กับนายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขาให้กลับมาเป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายในบั้นปลายบรรดาแกนนำหลายคน รวมทั้งตัวเขา (จตุพร) ต้องติดคุก และยังมีคดีความเหลืออยู่ ขณะเดียวกัน ด้วยการมีประวัติต้องคดีอาญาดังกล่าว ทำให้เขาขาดคุณสมบัติทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ

แม้ว่าในคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ไลฟ์สดดังกล่าวจะผ่านมาสองสามวันแล้ว แต่เนื้อหาทุกคำพูดเหมือนกับ ‘กลั่น’ ออกมาจากความรู้สึกข้างใน และที่สำคัญ ล้วน ‘เป็นความจริง’ อย่างที่สุด เป็นความจริงที่คนอื่นที่มองจากข้างนอกมองเห็นกันได้ชัดเจนอยู่แล้วว่า ‘พฤติกรรมของนายทักษิณเป็นแบบนี้’ มาตั้งแต่แรก นั่นคือ ‘หลอกใช้คนเสื้อแดง’ ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ กลับมามีอำนาจอีกครั้งเท่านั้น เหมือนกับครั้งนี้ที่เป้าหมายหลัก คือ ‘อยากกลับบ้านโดยไม่มีความผิด’ เท่านั้น ทั้งที่สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า ‘กลัว’ และไม่กล้ามาเท่านั้นเอง

ดังนั้น คำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ถือว่าเป็น ‘อดีตลูกน้องเก่า’ เคยต่อสู้ให้กับเขา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องติดคุกอย่างเจ็บปวด เหมือนกับอดีตแกนนำเสื้อแดงอีกหลายคน เป็นคำพูดที่นาทีนี้เป็นการ ‘ตอกย้ำให้เห็นภาพความจริง’ ที่คนอื่นที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง มองเห็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของ ‘ประธาน นปช.’ ที่พรั่งพรูออกมาแบบนี้ ถือว่า ‘ย้ำน้ำหนัก’ แบบเน้นหัวตะปูลงไปอีกว่า มันใช่เลย

มันเป็นความจริงที่ทำให้นายทักษิณ ชินวัตร หรือ ‘โทนี่’ แทบ ‘กระอักเลือด’ เลยทีเดียว กลายเป็นความแค้นที่ฝังอยู่ในอก ที่สำคัญ การออกมาคราวนี้มันเหมือนกับทำลายน้ำหนักเป้าหมาย ‘แลนด์สไลด์’ ของพรรคเพื่อไทยเข้าอย่างจัง เพราะคำพูดที่ว่า พอไม่เห็นประโยชน์ก็ทิ้งขว้าง (คนเสื้อแดง) แต่พอถึงเวลาอยากใช้ก็หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ และอีกคำพูดของ นายจตุพร ที่ระบุว่า นายทักษิณ เป็นจำเลยที่หนึ่งในคดีก่อการร้าย แต่มีอัยการบางคนสั่งไม่ฟ้อง และคน ๆ นั้นได้เป็นรัฐมนตรี เป็นแคนดิดเดตนายกฯ ขณะที่ตัวเองถูกฟ้อง ถูกติดคุก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด

อย่างไรก็ดี จากคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เขาพูดแบบนี้มาสามสี่ครั้งแล้ว แต่ยังไม่เห็น นายทักษิณ ชินวัตร ออก ‘คลับเฮาส์’ ออกมาตอบโต้หรือชี้แจงเลย รวมไปถึงคนในพรรคเพื่อไทย ก็ยังเงียบ อาจเป็นเพราะเป็นเรื่องจริงที่พูดไม่ออก หรือว่า ‘กลัวจะมีดอกที่ตามมาหนักกว่านี้หรือเปล่า’ จึงต้องเงียบ เพราะ นายจตุพร ประกาศไว้แล้วว่าพร้อมตอบโต้ แต่ก็บอกว่าก่อนออกมาก็ให้คิดให้ดีก่อนว่าแต่ละคำที่พูดนั้น ‘มันไม่จริงตรงไหน’

นี่แหละถึงได้บอกว่าคนอื่นร้อยพันแม้จะพูดแรง พูดจริงแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังไม่มีน้ำหนัก หรือคนเชื่อเท่ากับคนในบ้าน หรือคนที่อยู่ในบ้านเคยรับใช้ใกล้ชิดออกมาเปิดโปง ขณะเดียวกัน คนที่พูดแบบนี้แบบไม่เกรงใจ มันก็ต้องเหลืออดจริง ๆ เท่านั้น แต่งานนี้รอฟังเสียง ‘โทนี่’ ว่าจะทนเงียบต่อไปได้นานแค่ไหน เพราะเชื่อว่าคงไม่จบแค่นี้แน่นอน!!


ที่มา : https://www.facebook.com/100068987506731/videos/709050967532821
https://mgronline.com/politics/detail/9660000006812