‘สี จิ้นผิง’ กล่าวสุนทรพจน์แนะนำ 4 ประการ สร้างความรุ่งโรจน์ใหม่ของความร่วมมือแห่งเอเชียแปซิฟิก

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 65 นาย ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC ครั้งที่ 29 ในหัวข้อ ‘สามัคคี ร่วมมือ และกล้ารับผิดชอบ เพื่อประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของเอเชียแปซิฟิก’ 

โดยนายสี จิ้นผิงได้กล่าวขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ที่ตั้งใจและใช้ความพยายามเพื่อเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคในครั้งนี้

ทั้งนี้ยังได้กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นซ้ำหลายระลอกและจะยืดเยื้อต่อไป การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ลัทธิฝ่ายเดียวและลัทธิคุ้มครองได้ทวีความรุนแรง ห่วงโซ่การผลิตและห่วงโซ่อุปทานของโลกได้รับผลกระทบ ปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ความปลอดภัยด้านธัญญาหาร ความมั่นคงด้านพลังงาน รวมถึงปัญหาอื่นๆ มีความซับซ้อนและรุนแรงอย่างหนัก

โดยนายสี จิ้นผิงได้กล่าวเสนอแนะ 4 ประการ เพื่อสร้างความรุ่งโรจน์ใหม่ของความร่วมมือแห่งเอเชียแปซิฟิก ดังนี้

ประการแรก ปกป้องความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมระหว่างประเทศ สร้างสรรค์เอเชียแปซิฟิกให้มีสันติภาพและความมั่นคง

ประการที่สอง ยึดมั่นในความเปิดกว้าง สร้างสรรค์เอเชียแปซิฟิกให้มีความมั่งคั่งร่วมกัน

ประการที่สาม ยึดมั่นในการพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำ สร้างสรรค์เอเชียแปซิฟิกให้สะอาดและสวยงาม

ประการที่สี่ เราต้องยึดมั่นในการร่วมทุกข์ร่วมสุข สร้างสรรค์เอเชียแปซิฟิกให้สนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ นายสี จิ้นผิง ได้กล่าวเพิ่มในช่วงท้ายไว้ว่า จีนยินดีที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติและพัฒนาร่วมกันกับทุกประเทศบนพื้นฐานที่เคารพซึ่งกันและกัน เสมอภาค และอำนวยประโยชน์แก่กัน จีนจะยึดมั่นการเปิดประเทศในขอบเขตที่ใหญ่ยิ่งขึ้น เปิดกว้างทางสาขายิ่งขึ้น และในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ยืนหยัดเดินบนหนทางความทันสมัยตามอัตลักษณ์จีน สร้างระบบใหม่ทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้างในระดับสูงขึ้น และแบ่งปันโอกาสการพัฒนาของจีนกับโลกโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

“มีสุภาษิตไทยว่า ‘หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น’ เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งวิสัยทัศน์ปุตราจายาไว้ด้วยกัน ควรเพาะปลูกอย่างประณีตและร่วมกันดูแลอย่างพิถีพิถัน บ่มเพาะดอกไม้แห่งความเจริญรุ่งเรืองเพื่อการพัฒนาร่วมกันของ ‘เอเชียแปซิฟิก’ ขอขอบพระคุณทุกท่าน” สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจน กล่าว