จับสัญญาณ ‘การเมือง’ รวมขั้วใหม่ หลังเลือกตั้ง ‘ก้าวไกล - ลุงตู่’ ส่อถูกลอยแพ

แม้ขณะนี้ จะยังไม่มีความชัดเจนว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ครบเทอม หรือ ‘บิ๊กตู่’ จะชิงยุบสภา ก่อนครบกำหนด

แต่ในที่สุดแล้วการเลือกตั้งก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเราเริ่มเห็นพรรคการเมือง และนักการเมือง ขยับปรับทัพเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้งกันอย่างคึกคัก

ขณะเดียวกัน เริ่มเห็นการส่งสัญญาณการจับขั้วกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งออกมาเป็นระยะ ๆ มีทั้งขั้วเก่าที่เป็นพรรครัฐบาล หรือ ฝ่ายค้านด้วยกัน ที่ยืนยันว่าจะจับกลุ่มกันเหนียวแน่นต่อไป 

หรือแม้แต่การสลับขั้วกัน ระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ที่ส่งสัญญาณพร้อมจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งหากคุยกันแล้วทุกอย่างลงตัว

เพราะในวิถีการเมืองแบบไทย ๆ แล้ว ก่อนเลือกตั้ง มักจะมีการต่อสายแตะมือให้คำสัญญากันก่อนในระดับหนึ่ง ส่วนจะจับมือกันภายหลังการเลือกตั้งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองและผลการเลือกตั้ง

หากจับตาท่าทีของแกนนำพรรคการเมืองล่าสุด จะเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่างหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าใครจะอยู่ขั้วไหน หรือใครจะยอมจับมือกับใคร บนเงื่อนไขอะไร 

ย้อนกลับไปสแกนท่าทีของพรรคการเมืองใหญ่ ๆ ในช่วงรอบเดือนนี้ จะเริ่มเห็นสัญญาณอะไรบางอย่าง!

เริ่มจาก รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ที่กล่าวเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 65 ว่า พรรคก้าวไกล ยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าผลักดันแก้ไขมาตรา 12 ต่อไป หากได้เป็นรัฐบาล

ซึ่งเป็นพรรคเดียวในขณะนี้ ที่ยืนยันชัดเจนจะแก้ไข มาตรา 112 ให้ได้

ถัดมาอีกไม่กี่วัน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาย้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 65 ว่า จะไม่ขอทำงานร่วมกับพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์

ไม่เพียงเท่านั้น ในวันถัดมา แกนนำพรรคเพื่อไทยอีกคน สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ยังออกมาสำทับอีกรอบว่า ถ้าจำเป็นจริง ๆ ไม่มีทางเลือก พรรคเพื่อไทยก็พร้อมจับมือกับฝ่ายรัฐบาลทุกพรรค เป็นไปได้ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคอื่น ๆ บนเงื่อนไขว่า พรรคนั้นต้องไม่ชู ‘บิ๊กตู่’ เป็นนายกฯ

จากคำพูดของแกนนำพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 คน ย้ำชัดเจนว่า หลังการเลือกตั้งพร้อมจับมือกับทุกพรรค ที่ไม่สนับสนุน บิ๊กตู่ นั่นเอง

ขณะที่ ‘ตู่ใหญ่’ เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ก็ประกาศพร้อมจับมือกับทุกพรรคเช่นกัน รวมถึงพรรคพลังประชารัฐด้วย แต่ต้องไม่สนับสนุนบิ๊กตู่ เป็นนายกฯ ถ้าเป็นบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยอมรับได้

และเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 65 ทางฟาก ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาประกาศชัดๆ ว่า พรรคภูมิใจไทย พร้อมจับมือกับทุกพรรค มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น คือ ไม่เอาพรรคการเมืองที่จะแก้ไขมาตรา 112 

คำยืนยันของ บิ๊กโอ๋ ในครั้งนี้ เท่ากับปิดโอกาส ในการจับมือพรรคก้าวไกลไปทันที

หากฟังจากแกนนำพรรค ที่มีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งหน้า โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยหากสามารถกวาดจำนวนส.ส.แบบแลนด์สไลด์ตามที่ตั้งเป้าหมาย และต้องรวมเสียงจากพรรคอื่นๆ เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาล นั่นหมายถึงว่า หากจะจับกับภูมิใจไทยก็ต้องเทก้าวไกล 

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ (บนสมมติฐานเพื่อไทยแลนด์สไลด์) หากยังต้องการเป็นรัฐบาล ก็ต้องชั่งใจว่าจะยังชูบิ๊กตู่ เป็นนายกฯต่อไปหรือไม่

เพราะแม้ว่าชื่อของบิ๊กตู่ จะยังขายได้ หลายฝ่ายให้ความเชื่อมั่น และผลโพลภาคใต้ล่าสุดก็ยังยกให้เป็นอันดับ 1 ที่คนใต้อยากให้เป็นนายกฯต่อ แต่ก็ยังติดตรงที่ว่า บิ๊กตู่ จะสามารถนั่งในตำแหน่งนายกได้ถึงปี 2568 และเมื่อถึงเลือกตั้งก็จะเหลือเวลาเพียง 1 ปี กว่าๆ เท่านั้น 

ข้อนี้น่าจะเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐต้องชั่งใจ กระทั่งเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ส่งบิ๊กป้อม เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพิ่มไปอีกคนในการเลือกตั้งครั้งหน้า

และที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า ชื่อของบิ๊กตู่ ยังมีความนิยมมากพอที่จะช่วยให้พรรคพลังประชารัฐ ได้ส.ส.กลับเข้ามาเท่าเดิมหรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์การเมืองหลายคนประเมินว่าเป็นไปได้ยาก แถมส.ส.เก่ายังไหลออกไปอยู่กับพรรคอื่นอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น หากพรรคพลังประชารัฐ อยากจะเป็นรัฐบาลต่อก็ต้องเลือกตัดสินใจไม่ชู ‘บิ๊กตู่’ เพราะเพื่อไทยและขั้วฝ่ายค้านยืนยันไม่ร่วมด้วย ยกเว้นแต่ว่า พรรคพลังประชารัฐยังมั่นใจว่า จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม แบบนี้การจะชู ‘บิ๊กตู่’ ให้อยู่ต่อก็ไม่มีปัญหา 

และแม้ว่าขณะนี้จะเร็วไปที่จะสรุปว่า ใครจับมือกับใครในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่สัญญาณที่ส่งออกมาจากแกนนำพรรคต่างๆ ก็พอจะเห็นภาพได้ลาง ๆ และคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ระหว่าง ‘พรรคก้าวไกล’ กับ ‘บิ๊กตู่’ ใครจะถูกลอยแพกันแน่ หรือ อาจจะโดนเททั้งคู่ ที่แน่ ๆ การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้