ออกพรรษาในเมียนมา 'เข้าวัดทำบุญ-ขอขมาผู้ใหญ่' รากเหง้าที่คงอยู่ แต่ดูเลือนลางห่างจากสังคมไทย

ในเดือนตุลาคมนี้เป็นเดือนที่มีวันสำคัญในเมียนมา ซึ่งก็คือ 'วันตะดิงจุด' (Thadingyut) หรือ วันออกพรรษา นั่นเอง ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม ในขณะที่วันออกพรรษาของไทยคือ วันที่ 10 ตุลาคม  

เอย่าเชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามว่าทำไมวันพระพม่ากับวันพระไทยไม่ตรงกัน?

เหตุผลที่แท้จริงนั้นไม่แน่ชัด แต่เท่าที่เอย่าเคยได้ยินมา เนื่องจากเมียนมาและไทยอยู่คนละเส้นเวลา ทำให้การคำนวณวันตามจันทรคติไม่ตรงกันด้วย แต่บางข้อมูลบอกว่าพม่านั้นใช้การดูวันที่พระจันทร์เต็มดวงจริงไม่ได้คำนวนตามจันทรคติ ดังนั้นทำให้วันพระของพม่าไม่ตรงกับของไทยที่ใช้ระบบการคำนวนตามจันทรคติ ซึ่งทั้ง 2 แหล่งที่เอย่าได้ยินมาก็ถือว่ามีเหตุผลทั้งคู่ตามแต่ทุกท่านแล้วว่าจะเชื่อใคร

ย้อนกลับมาที่ วันตะดิงจุด หรือ วันออกพรรษาของคนเมียนมานั้น ตอนเช้าทุกคนจะเดินทางไปวัดทำบุญ ซึ่งสังเกตุได้ว่าตามเจดีย์ทุกที่ในวันนี้จะมีคนแน่นตลอดทั้งวัน และในยามค่ำจะมีการจุดเทียนหรือประทีบที่เจดีย์ และที่บ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการต้อนรับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จกลับมาจากดาวดึงส์ โดยประเพณีการจุดดวงประทีปนี้ไม่ได้มีแค่ในเมียนมาเท่านั้น แต่มีในประเทศรอบข้างบ้านเราด้วยเช่น ลาว เป็นต้น

ในวันที่ 15 ค่ำเดือน 11 นี้ในเมียนมาไม่ได้มีตำนานพญานาคพ่นดวงไฟเหมือนที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง แต่นอกจากการจุดดวงประทีปที่พื้นแล้ว หลายพื้นที่ก็มีการลอยประทีปบนอากาศเช่นกัน เช่น ในรัฐฉาน และบางแห่งก็ลอยดวงประทีปในน้ำเหมือนกับการลอยกระทงของบ้านเราก็มี

นอกจากกิจกรรมทางศาสนาแล้วในวันที่ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ วันนี้ยังเป็นวันที่ผู้น้อยไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่และมีพิธีกรรมที่น่ารักอันหนึ่ง คือ พิธีขอขมา โดยพิธีนี้ผู้น้อยหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่าจะขอขมาผู้ที่มีอายุมากกว่าแลละผู้อาวุโสนอกจากจะอโหสิกรรมให้ในสิ่งที่ผู้น้อยทำผิด ทั้งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม แล้วผู้ใหญ่บางที่ก็แจกเงิน แจกทองให้ผู้น้อยด้วย ซึ่งพิธีนี้นอกจากทำกันในบ้านแล้วยังกระทำกันในที่ทำงานด้วย

ประเพณีที่ดีงามเหล่านี้โดยเฉพาะการขอขมาหรือ ในภาษาพม่าเรียกว่า 'กะเด๊าะ' นั้น เป็นพิธีที่หายไปจากสังคมไทย เมื่อการพัฒนาของเมืองเข้ามาแทนที่ซึ่งนอกจากการเข้าวัดทำบุญที่ลดลงในประเทศไทยแล้ว จริยวัตรอันดีงามของคนในอุษาคเนย์อย่างการขอขมาก็หายไปจากสังคมไทยเช่นกัน  

แม้เมียนมาจะไม่ได้เป็นประเทศที่ร่ำรวยเงินทอง แต่เขามีความร่ำรวยทางวัฒนธรรมและอารยธรรมที่หยั่งรากลึกและยังอยู่ในคนหมู่มากในเมียนมา บางครั้งเอย่าก็อยากให้มีการปลูกฝังวัฒนธรรมของไทยให้แข็งแรง 

รากเหง้าทางวัฒนธรรมของคนไทย ณ วันนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพียงกิจกรรมในงานโรดโชว์ในโรงเรียน หรือแค่สินค้าสำหรับขายให้นักท่องเที่ยวเท่านั้น 

ฉะนั้นจะดีแค่ไหน หากเราปลูกฝังวัฒนธรรมอันดีงามของไทยจนมันหยั่งรากลึกและแผ่ออกมาจากการกระทำเหมือนในอดีตที่ต่างชาติเรียกไทยเราว่า 'สยามเมืองยิ้ม' เพราะที่คนไทยเราชอบไปเที่ยวเมียนมา ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า เราชอบวัฒนธรรมของคนเมียนมาไม่ใช่หรือ?...

เรื่อง: AYA IRRAWADEE