บังกลาเทศกำลังชั่งใจต่อข้อเสนอนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงราคาถูกจากรัสเซีย แม้มีความกังวลว่ามันอาจผลักให้พวกเขากลายเป็นศัตรูกับตะวันตก หลังทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงเรื่อย ๆ 

ที่ผ่านมา บังกลาเทศซื้อน้ำมันจากบรรดาประเทศในตะวันออกกลางเป็นส่วนใหญ่ ภายใต้สัญญาระยะยาวมากมายระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เวลานี้ราคาน้ำมันซื้อขายกันที่ราว ๆ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงกำลังก่อหายนะแก่บังกลาเทศ ดังนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่บังกลาเทศจึงมองว่าเงื่อนไขต่างๆ ของรัสเซียจึงน่าสนใจไม่น้อย

Russneft บริษัทน้ำมันรัสเซีย เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะเปิดทางให้บังกลาเทศซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงกลั่นในราคา 59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในนั้นรวมถึงค่าขนส่ง นอกจากนี้ รัสเซียยังเสนอจัดหาน้ำมันดิบป้อนแก่บังกลาเทศด้วย แต่ทางบังกลาเทศไม่มีศักยภาพด้านการกลั่น

ตัวอย่างน้ำมันเชื้อเพลิงรัสเซียจะถูกส่งถึงท่าเรือจิตตะกอง ของบังกลาเทศ ในสัปดาห์นี้ และทางสำนักงานปิโตรเลียมแห่งชาติบังกลาเทศ (Bangladesh Petroleum Corporation หรือ BPC) จะเข้าตรวจสอบคุณภาพเชื้อเพลิงเป็นลำดับต่อไป

ความร่วมมือระหว่างบังกลาเทศกับรัสเซียอาจรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ด้วย โดยเมื่อวันพุธ (24 ส.ค.) เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำบังกลาเทศ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า มีการพูดคุยกันในเรื่องข้าวสาลีกับปุ๋ยรัสเซีย พร้อมเผยว่าการหารือเกี่ยวกับข้าวสาลี 300,000 ตันและปุ๋ย 100,000 ตัน อยู่ในขั้นที่มีความคืบหน้า

นายกรัฐมนตรีดิเนช กุนาวาร์เดนา ได้ออกคำสั่งระหว่างประชุมร่วมกับสภาเศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ให้บรรดาเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจทบทวนแนวโน้มของการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงรัสเซีย

"สืบเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประชาชนกำลังทุกข์ทรมานเพราะว่าราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มสูงขึ้น มันกำลังกลายเป็นปัญหา" นายกรัฐมนตรีกล่าว "ในสถานการณ์ปัจจุบัน อินเดีย และประเทศอื่นๆ กำลังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ดังนั้น เราจำเป็นต้องดูว่าเราสามารถซื้อได้หรือไม่ และต้องหาทางออกสำหรับเรื่องนี้"

แม้สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย สืบเนื่องจากปฏิบัติการรุกรานยูเครน แต่ผลกระทบต่อการค้าขายน้ำมันของรัสเซียนั้นเป็นไปอย่างจำกัด รายงานจาก S&P Global Commodity Insights ระบุเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม

"การส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันทางทะเลของรัสเซีย ยังคงสามารถหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกระหว่างครึ่งเดือนแรกของเดือนสิงหาคม" S&P พร้อมคาดหมายว่า การส่งออกน่าจะแตะระดับ 6 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ทำสถิติสูงสุดหลังโรคระบาดใหญ่ในเดือนเมษายน

จากข้อมูลติดตามการเดินเรือของเรือบรรทุกน้ำมัน พบว่า จีนและอินเดียกลายเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียลำดับต้นๆ ส่วน อิตาลี ตุรกี และเนเธอร์แลนด์ก็อยู่ในบัญชีดังกล่าว ก่อนหน้าสหภาพยุโรปจะยกระดับคว่ำบาตรซึ่งมีผลบังคับใช้ในปีหน้า ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียก็ซื้อเชื้อเพลิงของรัสเซียเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอุปสรรคหลายอย่างที่ทางการบังกลาเทศต้องพิจารณา ในนั้นรวมถึงการชำระเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินต่างๆ ของรัสเซียถูกแบนจากการใช้ระบบ SWIFT (เครือข่ายการเงินระดับโลกที่ช่วยให้การโอนเงินข้ามพรมแดนเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว) และมีคำถามว่าควรใช้เงินสกุลใดในการชำระ ในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ และรูเบิลรัสเซียเป็นที่ขาดแคลนในบังกลาเทศ นอกจากนี้ การส่งมอบอาจเจอปัญหาเช่นกัน เพราะบริษัทรายใหญ่เกือบทั้งหมดระงับให้บริการตามท่าเรือต่างๆ ของรัสเซีย

เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปิโตรเลียมแห่งชาติบังกลาเทศ จึงได้เชิญคณะผู้แทนของ Russneft เดินทางมายังกรุงธากา เพื่อหารือกันเกี่ยวกับประเด็นปัญหาดังกล่าว

อัชซาน เอช มันซูร์ ประธานบริหารของสถาบันวิจัยการเมืองบังกลาเทศ แนะนำว่าถ้าการชำระเงินยังเป็นประเด็นปัญหา บังกลาเทศควรเลือกซื้อน้ำมันจากรัสเซียจากประเทศที่ 3 อย่างเช่นอินเดีย

ศรีลังกา อีกชาติในเอเชียใต้ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ได้เมียงมองไปยังรัสเซีย ให้ช่วยจัดการกับปัญหาขาดแคลนพลังานและทุนสำรองระหว่างประเทศ ส่วนพม่า บอกเช่นกันว่าพวกเขาจะซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากรัสเซีย

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งของฟินแลนด์ พบว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลจากรัสเซียรวมถึง 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 5 เดือน ตามหลังมอสโกรุกรานยูเครน ตอกย้ำว่าพวกเขายังคงต้องพึ่งพิงพลังงานจากประเทศแห่งนี้ แม้ประเทศอื่นๆ ตัดขาดการทำธุรกิจกับรัสเซียก็ตาม

ศูนย์วิจัยด้านพลังงานและอากาศสะอาด คาดหมายว่า ญี่ป่นซื้อถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ วันที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครน จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม ส่วนเกาหลีใต้ ซื้อเชื้อเพลิงฟอสซิลรัสเซีย ราว 1,700 ล้านดอลลาร์ และไต้หวัน ซื้อ 1,200 ล้านดอลลาร์

(ที่มา : นิกเกอิเอเชีย)
https://mgronline.com/around/detail/9650000082385