ออกหลักสูตรใหม่ ๆ 'อัปเกรด' ความรู้ให้ทันโลก ไม่จบที่ 4 ปีปริญญา แต่ต้องให้เป็นลูกค้าไปตลอดชีวิต

‘ดร.สมเกียรติ’ ยกโมเดลมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เป็นทางรอดมหาวิทยาลัยยุคใหม่ เปลี่ยนบทบาทจากสอนให้จบปริญญาตรี 4 ปี เป็นสถาบันอัปเกรดความรู้ให้คนทันสมัยทันโลกยุคใหม่ตลอดเวลา

ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Somkiat Osotsapa ว่า

บทบาท หน้าที่มหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนไป
มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ เปลี่ยนโมเดลแล้ว ! ต่อไปลูกค้าของมหาวิทยาลัย จะไม่ใช่แค่เด็ก ๆ ที่มาเข้าเรียน 4 ปี แต่จะเป็นลูกค้าไปตลอดชีวิต

การปรับตัวของมหาวิทยาลัยเริ่มแล้วครับ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ซึ่งเป็น มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเอเชีย และอันดับต้น ๆ ของโลก ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทให้ตัวเองเป็น "มหาวิทยาลัยตลอดชีวิต" ที่จะดูแลประชากร ไม่เพียงแต่ในระดับปริญญาตรี 4 ปี และโท-เอก แต่จะขอคอยดูแล คอย อัพเกรดทักษะ ความรู้ ให้ประชากรทันสมัยตลอดเวลา ... ทำให้ ลูกค้าของมหาวิทยาลัยจะขยายขนาดออกไปอีกมากโขเลยครับ

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยจะคอยออกหลักสูตรใหม่ ๆ เพื่อให้ เด็ก ๆ ที่จบไประยะหนึ่ง สามารถจะกลับมา "อัพเกรด" หรือ "ยกเครื่อง" ความรู้และทักษะได้อีกเรื่อย ๆ โดย มหาวิทยาลัย NUS ได้ออกโปรโมชั่น สำหรับศิษย์เก่า สามารถกลับเข้าไปเรียนเพิ่มทักษะได้ฟรี 2 โมดูล ภายใน 3 ปี ซึ่งก็จะทำให้ได้ลูกค้าใหม่ (ที่เป็นลูกค้าเก่า) กลับเข้าไปใช้บริการอยู่เรื่อย ๆ 

ซึ่งหากสะสมคอร์สให้เหมาะสม จนครบตามมาตรฐาน สามารถเปลี่ยนไปเป็นปริญญาได้ เช่น ปริญญาตรีใบใหม่ หรือ ปริญญาโทในสาขาต่างๆ อีกด้วย (ภายใต้มาตรฐานที่สูงของสิงคโปร์)

ขนาดสิงคโปร์มีมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเอเชีย และเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลก แซงหน้าหลาย ๆ มหาวิทยาลัยที่ว่าดัง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ... เขายังบอกว่า "ต้องรีบปรับตัว" !!

รัฐมนตรีศึกษาธิการ สิงคโปร์ ออกมาบอกว่า ในยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ หรือ ยุค Industry 4.0 การศึกษาแบบเดิม มหาวิทยาลัยแบบเดิม กำลังจะล้าสมัย จึงต้องรีบปรับตัวด่วน

โดยสิงคโปร์มีแผนการปฏิรูปมหาวิทยาลัย เน้นการสร้างผลกระทบต่อผู้เรียนมากกว่าเกรด ผลิตคนหลากหลายตามความต้องการของผู้เรียน และเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับทุกช่วงวัยของชีวิต

(1) Experiential learning เปลี่ยนการเรียนรู้แบบทฤษฎีในห้องเรียน มาเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ ผสมผสานการทำงานจริง แก้ปัญหาจริง เพราะความรู้มันหาได้ง่ายมาก มหาวิทยาลัยในอนาคตจะมีลักษณะ เรียนไป ทำงานไป เป็นผู้ประกอบการไป

(2) Promote digital literacy เด็กสิงคโปร์ต้องอยู่ในโลกยุคการค้าแห่งดิจิทัลได้ มีทักษะ Computational Thinking (น่าจะเป็นทักษะด้าน Data Science)

(3) Diversify higher education pathways เพิ่มความหลากหลายของอุดมศึกษา เด็กสามารถเลือกเส้นทางตามความสนใจ และจริตของตน มีสายอาชีพหลากหลาย แนะนำเส้นทางต่าง ๆ ตั้งแต่วัยเด็ก (ให้รู้ตัวเองว่าชอบและถนัดอะไร ให้เร็วที่สุด)

(4) Encourage lifelong learning ยุคต่อไปคนเราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต และมหาวิทยาลัยต้องคอยติดตาม คอยตอบสนอง ว่าคนที่จบไปแล้วอยากกลับมาเรียนอะไร

(5) Broadening the role of universities อันนี้ผมว่า มันคล้ายๆ หลายๆ ธุรกิจที่ปรับตัวนะ เช่น ธนาคาร หันมาทำเรื่องอื่น ๆ นอกจากรับฝากกู้เงิน ปตท. หันมากาแฟ .. มหาวิทยาลัย ก็ทำแค่สอน-วิจัย ไม่ได้แล้ว ต้องเพิ่มเติมบทบาทตัวเองให้มากขึ้น ไม่งั้นก็อยู่ไม่รอด
อย่างเช่นตอนนี้ มหาวิทยาลัย NUS ของสิงคโปร์ มีโปรโมชั่น สำหรับศิษย์เก่า สามารถกลับเข้าไปเรียนเพิ่มทักษะได้ฟรี 2 โมดูล ภายใน 3 ปี ซึ่งก็จะทำให้ได้ลูกค้าใหม่ (ที่เป็นลูกค้าเก่า) กลับเข้าไปใช้บริการ


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02Y6FKvsJWgWFKW9c1yPSjb5QXZUkEHwcCiCwVmUhQcgyDndzHqL41aoiJnHTPEdeRl&id=100001380665898