รอทำไม? หากหยุดใช้รถน้ำมัน 10,000 คัน แล้วลดก๊าซเรือนกระจกได้ 220,454 ตันต่อปี
คำถามปลายเปิด ที่แทบไม่ต้องรอคำตอบปลายปิด ในยุคที่พลังงานน้ำมันแพง กอปรกับกระแสความแรงของการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนโลก รวมถึงประเทศไทย!!
อย่างไรก็ตาม แม้กระแสพลังงานไฟฟ้าที่จะเข้ามาไหลเวียนในพาหนะยุคต่อจากนี้ จะพยายามเร่งสปีดเข้ามาใกล้ชิดกับชีวิตคน โดยเฉพาะคนไทยมากยิ่งแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าในแง่ของราคาและความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพ ยังคงอยู่ในระดับของการเฝ้าดูจากผู้บริโภคส่วนใหญ่เสียมาก
กลับกันแนวคิดในการสนับสนุนยานพาหนะในหมวดขนส่งสาธารณะ หรือ ‘รถโดยสาร’ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ดูจะมีความเป็นไปได้และได้รับแรงหนุนกระแสลดการปล่อยมลพิษของประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ดีกว่า สอดคล้องกับรายงานของ Electric Vehicle Outlook ของ Bloomberg ที่คาดว่า ตลาด ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ (e-Buses) จะถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในสัดส่วนมากกว่า 67% ของรถโดยสารทั่วโลกภายในปี 2040
เหตุผลหลัก เพราะ ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ เป็นยานพาหนะที่สามารถเข้าถึงคนได้เป็นจำนวนมาก ยิ่งถ้าพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะที่ดีควบคู่ได้ ก็จะช่วยให้คนลดการใช้รถส่วนตัว (น้ำมัน) ลดปัญหามลพิษ, ลดปัญหาโลกร้อน ตลอดจนลดปัญหาทางด้านการจราจร ก่อนทั้งโลกจะเปลี่ยนผ่านจากเครื่องสันดาปสู่ไฟฟ้าเต็มตัว
และนี่แหละ คือ เหตุผลว่าทำไม ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ (รถบัส) อาจจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านยุคแห่งพลังงานและช่วยลดการปล่อยมลพิษของประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้ถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น
ว่าแต่!! พอหันกลับมาดู ประเทศไทย ซึ่งมีการจดทะเบียนรถโดยสารเพื่อการพาณิชย์ หรือ ‘รถโดยสาร’ ในแต่ละปีเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10,000 คันนั้น
ก็พลันให้เกิดคำถามว่า ถ้าเราเริ่มเปลี่ยน ‘รถโดยสาร’ ที่มีอยู่ให้กลายเป็น ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ ได้ จะช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้เพียงใด? (ปัจจุบันประเทศไทยมี ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ จาก EA หรือ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์)
...220,454 ตันต่อปี คือ ผลลัพธ์จากการช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission Reduction)
...233,333,333.33 ลิตรต่อปี คือ ตัวเลขการใช้น้ำมันดีเซลที่ลดลง ซึ่งเดิมปริมาณตัวเลขนี้ สามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 629,701.80 ตันต่อปีกันเลยทีเดียว (หมายเหตุ: คำนวณจากจำนวนรถ 10,000 คัน ระยะทางการวิ่งรถ 200 กิโลเมตรต่อวัน เป็นระยะเวลา 350 วันเท่ากัน)
นอกจากนี้ ถ้ามองในเรื่องความคุ้มค่าและช่วยประหยัดต้นทุนในเรื่องเชื้อเพลิงและค่าซ่อมบำรุงแล้วล่ะก็...การเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า จะช่วยส่งผลดีต่อทุกๆ ฝ่ายทั้งส่วนของผู้ประกอบการ และยังช่วยให้ผู้ใช้บริการได้มีคุณภาพในการเดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดการสัมผัสกับฝุ่น PM2.5 ที่มาให้สูดกันทุกปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้รวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้...แค่เปลี่ยน!!
แน่นอนว่า ในวันนี้เทรนด์โลกให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยประเทศไทย ก็เคลื่อนตัวตามมาติดๆ จากแบรนด์ต่างชาติที่เริ่มเข้ามาทำตลาดกันดุ รวมถึงการเอาจริงเอาจังของภาครัฐและภาคเอกชน เช่น EA (บมจ.พลังงานบริสุทธิ์) ที่หันมาพัฒนาทั้งรถโดยสารไฟฟ้า EA, สถานีชาร์จ รวมถึงการลงทุนในด้านการผลิตแบตเตอรี่อย่างเป็นรูปธรรม
ฉะนั้นเมื่อรอยต่อก่อนเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าเต็มระบบ ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ที่ต้องอุดให้ไว ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ ก็สามารถอุดรอยรั่วตรงนั้นได้ ซึ่งก็อยู่ที่ว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศจะให้ความสำคัญอย่างรวดเร็วแค่ไหน หากต้องการเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของผู้คน และโลกใบนี้ให้เขียวสด...
👍 อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับ Art Of Energy เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/tag/artofenergy