กลาโหมรัสเซีย โว บุกยูเครน 1 เดือนเป็นไปตามแผน ทำลายกองทัพเคียฟยับ เดินหน้าปลดแอก ‘ดอนบาสส์’

กระทรวงกลาโหมรัสเซียยืนยันว่า การปฏิบัติการทางทหารในยูเครนของตนกำลังดำเนินไปตามแผนการที่วางไว้ โดยสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญๆ ทั้งหมดของขั้นตอนแรกแห่งการปฏิบัติการได้อย่างสมบูรณ์ในภาพรวมแล้ว ทั้งนี้ ตามการแถลงข่าวครั้งใหญ่ของกระทรวงเมื่อวันศุกร์ (25 มี.ค.) ที่ผ่านมา

ตามการแถลงของกระทรวง กองทัพยูเครนประสบความสูญเสียอย่างร้ายแรง กล่าวคือ กำลังทางอากาศและกำลังป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนถูกทำลายแทบหมดสิ้น ขณะที่กองทัพเรือยูเครนไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว เวลาเดียวกัน ดินแดนดอนบาสส์เกือบทั้งหมดได้รับการปลดแอกแล้ว

ผลการประเมินการปฏิบัติการ

“ในภาพรวม เป้าหมายสำคัญๆ ในขั้นตอนแรกของการปฏิบัติการครั้งนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว” รองเสนาธิการใหญ่ (General Staff deputy head) ของรัสเซีย พล.ท.เซียร์เก รุดสกอย (Colonel General Sergey Rudskoy) กล่าวระหว่างการแถลงข่าวครั้งนี้

เขาอธิบายต่อไปว่า จากการที่ศักยภาพทางการทหารของยูเครนถูกลดทอนลงไปอย่างสำคัญแล้วเช่นนี้ จะทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะรวมศูนย์ความพยายามหลักไปที่เป้าหมายสำคัญที่สุด อันได้แก่ การปลดแอกดินแดนดอนบาสส์ ขณะที่ตัวการปฏิบัติการเองจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อบรรลุ “เป้าหมายต่างๆ ที่วางเอาไว้โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด อย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมด”

พล.ท.รุดสกอย บอกว่า เวลานี้กองทหารรัสเซียได้เข้าล้อมเมืองใหญ่สำคัญๆ ของยูเครนเอาไว้จำนวนหนึ่ง ได้แก่ เคียฟ คาร์คอฟ เชอร์นิกอฟ ซูมี และนิโกลาเยฟ ส่วนเขตเคอร์ซอน และเกือบทั้งหมดของเขตซาโปโรชเย ต่างตกอยู่ใต้การควบคุมของฝ่ายรัสเซียอย่างสิ้นเชิงแล้ว

“สาธารณชน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญบางคน ตั้งคำถามขึ้นมาว่าเราทำอะไรรอบๆ พวกเมืองใหญ่ของยูเครนที่ถูกล้อมหล่านี้ […] ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วเราก็ไม่ได้มีแผนการบุกโจมตีเข้าไปในเมืองเหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการทำลาย และลดความสูญเสียในหมู่บุคลากรและในหมู่พลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด” รุดสกอย กล่าว แต่ชี้ด้วยว่า ทางเลือกดังกล่าวไม่ใช่ว่าจะถูกบอกปัดไม่นำมาใช้กันเลย

ตามปากคำของนายทหารอาวุโสผู้นี้ อาวุธต่างๆ ของรัสเซีย “แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำ และความไว้วางใจได้ในระดับสูง รวมทั้งมีความสามารถในการนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว”

เขาระบุว่า ระหว่างช่วงเดือนแรกของการปฏิบัติการ ทหารรัสเซียเสียชีวิตไป 1,351 คน ขณะที่บาดเจ็บ 3,825 คน

ความสูญเสียของฝ่ายยูเครน

สำหรับกองทหารยูเครน สูญเสียกำลังคนอย่างชนิดที่ไม่สามารถแก้ไขกอบกู้ได้เป็นจำนวนมากกว่า 14,000 คน ขณะที่จำนวนของการสูญเสียทั้งหมดทั้งที่เป็นพลทหารและนายทหารอยู่ที่ราวๆ 30,000 คน หรือเท่ากับประมาณ 11.5% ของบุคลากรในกองทัพยูเครน

รุดสกอยแจกแจงว่า กำลังทางอากาศและระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนนั้น “ถูกทำลายไปแทบหมดสิ้น” เวลาเดียวกันกองทัพเรือยูเครน “ไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว”

สำหรับขบวนกองทหารภาคพื้นดินของยูเครนทั้ง 24 ขบวนล้วนประสบ “ความสูญเสียอย่างสำคัญ” และเนื่องจากว่ายูเครนนั้นไม่มีกำลังพลสำรองที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงบังคับให้ยูเครนต้องชดเชยกำลังที่สูญเสียไปด้วยการระดมพลกะเกณฑ์ทหารใหม่ๆ ตลอดจนการใช้หน่วยรักษาดินแดนที่ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมอย่างถูกต้องเหมาะสม

ไม่เพียงเท่านั้น ยูเครนยังสูญเสียยานยนต์สู้รบของตนไปในจำนวนที่สำคัญ กล่าวคือ 65.7% ของรถถังและยานหุ้นเกราะทั้งหมด 42.8% ของปืนใหญ่สนามและปืนครกทั้งหมด 30.5% ของระบบยิงจรวดแบบหลายลำกล้องทั้งหมด และ 82% ของระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ เอส-300 และ บุค-เอ็ม 1 ของตน รวมทั้ง 85% ของระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธี โตชกา-ยู ทั้งหมดก็ถูกกำจัดไปแล้ว

ยิ่งกว่านั้น สามในสี่ของเครื่องบินทหารของยูเครน และครึ่งหนึ่งของเฮลิคอปเตอร์ของยูเครนได้ถูกทำลายไปเรียบร้อย ส่วนในจำนวนโดรน บายรัคตาร์ ทีบี-2 จำนวน 36 เครื่อง ก็เหลืออยู่เพียงเครื่องเดียวเท่านั้นที่ยังใช้งานได้

กองทหารรัสเซียยังได้ดำเนินการโจมตีสนามบินทหารแห่งหลักๆ ของยูเครน 16 แห่ง ทำลายคลังยุทธสัมภาระและคลังแสงรวม 39 แห่ง คลังเหล่านี้เป็นที่เก็บรวบรวมมากกว่า 70% ของยานยนต์ทหาร อุปกรณ์ต่างๆ และเชื้อเพลิง ตลอดจนเครื่องกระสุนน้ำหนักมากกว่า 1 ล้านตัน อาวุธที่มีความแม่นยำสูงของรัสเซียยังโจมตีถูกโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางทหารแห่งสำคัญๆ 30 แห่ง

สถานการณ์ในดอนบาสส์

สำหรับสถานการณ์ในดอนบาสส์ รุดสกอยอธิบายว่า ระหว่างช่วงเดือนแรกของการปฏิบัติการ พื้นที่ส่วนสำคัญของสาธารณรัฐประชาชนโดเน็ตสก์ และสาธารณรัฐประชาชนลูกานสก์ ได้รับการปลดแอก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 54% และ 93% ตามลำดับ ส่วนกองทหารบ้านของประชาชนของสาธารณรัฐทั้ง 2 ก็สามารถเข้าควบคุมเหนือชุมชนต่างๆ มากกว่า 276 แห่ง

กองทหารยูเครนในดอนบาสส์สูญเสียกำลังพลไปประมาณหนึ่งในสี่ หรือเท่ากับราวๆ 16,000 คน โดยที่ 7,000 คนในจำนวนนี้ไม่สามารถแก้ไขกอบกู้กลับมาได้อีกแล้ว

เวลานี้ กองกำลังของสาธารณรัฐประชาชนลูกานสก์ สู้รบอยู่ใกล้ๆ เซเวโรโดเน็ตสก์ และ ลิซิชฮานสก์ ขณะที่กองกำลังของสาธารณรัฐประชาชนโดเน็ตสก์ยังคงดำเนินการปลดแอกเมืองมาริอูโปล และเปิดการรุกในทางด้านตะวันตกของโดเน็ตสก์

นายทหารอาวุโสผู้นี้ระบุว่า มีผู้คนมากกว่า 23,000 คนจาก 37 ประเทศแสดงความพรักพร้อมที่จะเข้าสู้รบเพื่อดอนบาสส์ และมอสโกเสนอแนะให้สาธารณรัฐทั้งสองยอมรับความช่วยเหลือนี้ ทว่าสาธารณรัฐทั้งสองปฏิเสธข้อเสนอนี้

“พวกเขามีกำลังพลและอาวุธพอเพียงแล้ว” รุดสกอย อธิบาย

อย่างไรก็ตาม กองทหารรัสเซียได้ส่งมอบข้าวของทางทหารที่ยึดเอาไว้ได้ให้แก่สาธารณรัฐทั้งสอง ที่ควรต้องพูดถึงเป็นพิเศษก็คือ สาธารณรัฐทั้งสองได้รับมอบรถถังและยานหุ้มเกราะไปแล้ว 113 คัน ระบบขีปนาวุธต่อสู้รถถัง “เจฟลิน” 138 ชุด และเครื่องยิงระเบิดต่อสู้รถถัง NLAW 67 ชุด

ความช่วยเหลือจากฝ่ายตะวันตกที่ให้แก่ทางการเคียฟ

ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นการปฏิบัติการครั้งนี้ พวกรัฐต่างๆ ของตะวันตกได้ลำเลียงขนส่งชุดปืนใหญ่กว่า 100 หน่วย ระบบขีปนาวุธป้องกันทางอากาศแบบคนคนเดียวพกพาไปได้จำนวนเกือบ 900 ชุด  และอาวุธต่อสู้รถถัง 3,800 ชุด

“เราเห็นว่าการที่ฝ่ายตะวันตกลำเลียงขนส่งอาวุธเหล่านี้ไปให้ทางการเคียฟคือความผิดพลาดอย่างมโหฬาร การกระทำเช่นนี้มีแต่ทำให้การสู้รบขัดแย้งคราวนี้ยืดเยื้อออกไป เพิ่มจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตาย และจะไม่สามารถส่งผลกระทบกระเทือนผลลัพธ์ของการปฏิบัติการ เป้าหมายแท้จริงของการลำเลียงขนส่งเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนยูเครนเลย แต่เพื่อดึงลากยูเครนให้เข้าไปในการสู้รบขัดแย้งทางการทหารอย่างยืดเยื้อ “จนกระทั่งถึงพลเมืองชาวยูเครนคนสุดท้าย” รุดสกอย กล่าว

รองเสนาธิการใหญ่ของรัสเซียเตือนด้วยว่า มอสโกจะไม่ยอมปล่อยให้มีการลำเลียงขนส่งเครื่องบินและระบบป้องกันภัยทางอากาศไปถึงทางการเคียฟโดยไม่มีการติดตามใส่ใจ และจะ “ดำเนินการตอบโต้อย่างเหมาะสมในทันที” ถ้าหากมีใครพยายามจัดตั้งพื้นที่ห้ามบินขึ้นเหนือยูเครน

สำหรับจำนวนของพวกนักรบรับจ้างชาวต่างประเทศและนักรบชาวต่างประเทศในยูเครนนั้น รุดสกอย บอกว่าตอนแรกมี 6,600 คน แต่เวลานี้เริ่มลดลงมาแล้ว เรื่องนี้ไม่เพียงต้องขอบคุณการโจมตีด้วยความแม่นยำสูงใส่ฐานต่างๆ ของพวกเขาและค่ายฝึกต่างๆ ของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นพราะพวกเขาเองหลบหนีไปยังรัฐเพื่อนบ้านต่างๆ โดยที่ในรอบ 7 วันที่ผ่านมา ไม่มีนักรบรับจ้างชาวต่างชาติแม้แต่คนเดียวเดินทางไปยังยูเครน ขณะที่มีพวกนักรบ 285 คนหลบหนีไป

เกี่ยวกับด้านมนุษยธรรม

ตั้งแต่ที่การปฏิบัติการคราวนี้เริ่มต้นขึ้น รัสเซียได้อพยพประชาชนเกือบๆ 420,000 คนออกจากดอนบาสส์และยูเครน มิคฮาอิล มิซินต์เซฟ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมเพื่อการป้องกันแห่งชาติรัสเซีย กล่าว และเสริมว่าราวหนึ่งในห้าของคนเหล่านี้เป็นเด็ก นอกจากนั้นมอสโกยังช่วยเหลือในการอพยพชาวต่างประเทศ 9,000 คนโดยที่กรุงเคียฟไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

ฝ่ายรัสเซียยังกำลังเปิดพื้นที่ช่องทางเพื่อมนุษยธรรมสำหรับการอพยพพลเรือนออกไปทุกๆ วัน และยังจะทำเช่นนี้ต่อไป เวลาเดียวกัน ฝ่ายยูเครนไม่ยอมเจรจาเพื่อเปิดช่องทางอพยพที่มุ่งไปสู่รัสเซียแม้แต่ช่องทางเดียว

รุดสกอยยืนยันว่า กองทัพรัสเซียไม่ได้เล็งเป้าหมายโจมตีใส่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลเรือน ขณะที่กรุงเคียฟเข้าทำลายโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ตามคำแถลงของรุดสกอย สะพานทั้ง 127 สะพานที่ถูกทำลายไปในยูเครน เป็นฝีมือการทำลายของพวกนักชาตินิยมซึ่งมุ่งหวังที่จะชะลอการรุกของรัสเซีย

รองเสนาธิการใหญ่รัสเซียชี้ว่า เรื่องการวางทุ่นระเบิดใกล้ๆ กับท่าเรือโอเดสซา เชอร์โนมอร์สก์ โอชาคอฟ และยูซนี “ก็ถือว่าตัวอย่างของความโง่เขลาอีกประการหนึ่ง” เขาบอกต่อไปว่า มีทุ่นระเบิดทางนาวีอย่างน้อย 10 ลูกขาดออกจากทุ่นที่คอยยึดโยงเอาไว้ และตอนนี้กำลังลอยไปตามกระแสน้ำในบริเวณส่วนตะวันตกของทะเลดำ ซึ่งกลายเป็นภัยคุกคามไม่เพียงต่อเรือต่างๆ ของฝ่ายทหารเท่านั้น แต่ยังต่อเรือของพลเรือนด้วย


(ที่มา : สำนักข่าวทาสส์)
https://mgronline.com/around/detail/9650000030246