“บิ๊กตู่” หอบคณะเยือนซาอุฯ หวังฟื้นฟูความสัมพันธ์ลุ้นข่าวดีแรงงานไทย “สุชาติ”เผยซาอุฯมีบุญคุณ
ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง(บน.6) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ประกอยด้วย พร้อมด้วยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษเพื่อเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการในวันที่ 25-26 มกราคม
โดยการเยือนซาอุดิอาระเบียครั้งนี้เป็นการเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นไปตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเข้าเฝ้าและพบปะหารือกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน โดยมีรายงานว่าทั้งสองประเทศจะฟื้นฟูและยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งในด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ และแรงงาน
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางโดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้จะมีโอกาสดีในการฟื้นความสัมพันธ์อันดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องดีกว่า 32 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเกียรติในการที่ได้รับเชิญไปหารือ ฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ ก็ต้องดีขึ้น
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสที่แรงงานไทยจะได้กลับไปทำงานที่ซาอุฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ทุกเรื่อง จะได้มีการพูดคุยหารือ ซึ่งต้องเริ่มต้นกันก่อนและต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกหารือร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องของคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีและ เรื่องวิธีการต่างๆที่ต้องพูดคุยกันต่อไป ขณะเดียวกันไปเข้าเฝ้าฯ ในฐานะรัฐบาล ตามที่ข่าวออกไปแล้ว จึงขอให้รอฟังรายละเอียดหลังกลับมา
ทั้งนี้นายกฯ ยังกล่าวฝากทิ้งท้ายด้วยว่า "ทำให้บ้านเมืองสงบสุขนะ"
ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่ม รมว.แรงงาน กล่าวก่อนเดินทาง ว่า ในการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ ราชอาณาจักรซาอุดีอาราเบีย ของนายกรัฐมนตรีและคณะ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ส่วนตัวรู้สึกตื่นเต้น เพราะยังไม่เคยไป ซึ่งซาอุฯถือว่ามีบุญคุณกับครอบครัวของตนเองเนื่องจาก พ่อของตนเองเคยทำงานที่ซาอุฯ เมื่อปี 2528 ขณะนั้นตนเองอายุ 11 ปี เพราะในอดีต แรงงานไทยได้เดินทางไปทำงาน 2-3 แสนคน จนทำให้เกิดการแต่งเพลงถึงคนที่ไปทำงาน ที่นั้น ส่วนรายละเอียดนั้นรอนายกรัฐมนตรีชี้แจง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศซาอุดิอาระเบีย ระบุว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่มีการหารือว่า ทั้งสองประเทศควรให้ความใส่ใจต่อประเด็นที่มีประโยชน์ร่วมกันอย่างใกล้ชิดกว่าที่เป็นอยู่โดยมีจุดประสงค์ที่จะเอื้อให้ทั้งสองฝ่ายมีการประสานงานในประเด็นต่างๆ มากขึ้น แต่เนื้อหาในแถลงการณ์นี้ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือ
รายงานข่าวแจ้งว่า ประเทศไทยหวังที่รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบียให้กลับคืนสู่ระดับปกติดังเก่า หลังปัญหาคดีเพชรซาอุกรณีของ “นายเกรียงไกร เตชะโม่ง” แรงงานไทยชาวลำปางที่ทำงานอยู่ที่พระราชวังเจ้าชายไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ก่อเหตุโจรกรรม เพชร ทอง และอัญมนี ในพระราชวังเจ้าชายไฟซาล ขณะที่เจ้าชายไฟซาล เสด็จไปพักผ่อนที่ต่างประเทศในเดือนสิงหาคม เมื่อปี 2532นำมาซึ่งการสูญเสียมูลค่าทางการค้าระหว่างสองประเทศและรายได้จากการท่องเที่ยวที่สูงนับพันล้านดอลลาร์
รวมทั้งการที่คนงานไทยจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียโอกาสในการทำงานในฐานะแรงงานต่างชาติที่ซาอุดิอาระเบียตลอดช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างซาอุดีอาระเบียและไทย อีกกรณีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2532 เมื่อเจ้าหน้าที่ทูตซาอุดีอาระเบียรายหนึ่ง ถูกลอบสังหารใจกลางกรุงเทพฯมหานคร ก่อนที่จะเกิดเหตุฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ทูตซาอุดีอาระเบียอีก 3 ศพ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 รวมแล้วมีเจ้าหน้าที่ทูตซาอุดีอาระเบียรวม 4 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ เวลาประมาณ 08.45 น. ที่บน.6 โดยทันทีที่เดินทางถึง พล.อ.ประยุทธ์ และคณะจะ ต้องเข้ามาตรการควบคุมโรค ซีลรูท ทั้งการตรวจเชื้อโควิด RT- PCR สังเกตุอาการ รักษาระยะห่าง โดยจะทำการตรวจ RT-PCR อีกครั้ง ในวันที่ 30 มกราคม นี้ เมื่อครบ 5 วัน หลังเดินทางกลับ