สธ. เปิดแผนซื้อ ‘ยาเม็ดต้านโควิด’ ยันเจรจาไฟเซอร์ ผู้ผลิต ‘แพกซ์โลวิด’ นานแล้ว

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ แถลงความคืบหน้าการนำเข้ายารักษาโรคโควิด-19 โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และยาแพกซ์โลวิด (PAXLOVID) ว่า ตามธรรมชาติของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสร้างกายแล้วจะอาศัยเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ในการเพิ่มจำนวน

ซึ่งยาแพกซ์โลวิดจะเข้ามายับยั้งการสร้างโปรตีนเอส ไม่ให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ไวรัสเข้าไปในร่างกายและมีการเพิ่มจำนวนไวรัส จากนั้นจะเปลี่ยนสายพันธุ์กรรมจาก RNA มาเป็น DNA ซึ่งยาโมลนูพิราเวียร์ จะมายับยั้งการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ โดยสรุปคือ ทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่ยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ครอบคลุมทุกสายพันธุ์

นพ.อรรถสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อมูลการศึกษาวิจัยในกลุ่มตัวอย่างที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ 385 คน กินยาขนาด 200 มิลลิกรัม (มก.) วันละ 2 เวลา นาน 5 วัน รวม 40 เม็ด พบว่าลดความเสี่ยงในการนอนโรงพยาบาล (รพ.) ร้อยละ 50 และไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนคนที่กินยาหลอก 377 คน พบว่าเสียชีวิต 8 ราย ส่วนผลการศึกษายาแพกซ์โลวิด ในกลุ่มตัวอย่าง 389 คน กินขนาด 150 มก. 2 คู่กับยาริโทนาเวียร์ ขนาด 100 มก. 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน รวมแล้วจะใช้ยาแพกซ์โลวิดทั้งหมด 20 เม็ด บวกกับยาริโทนาเวียร์ 10 เม็ดต่อคน พบว่าลดความเสี่ยงนอน รพ. และเสียชีวิตภายใน 28 วัน

“ทั้งนี้ หากกินยาดังกล่าวภายใน 3 วัน นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะมีประสิทธิภาพลดการนอน รพ. - เสียชีวิตร้อยละ 89 หากเริ่มกินในวันที่ 5 หลังมีอาการจะมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 85 แต่ทั้ง 2 ถือว่ามีเปอร์เซ็นต์สูง ย้ำว่ายาทั้ง 2 ชนิด ออกฤทธิคนละจุดกันจึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันว่ายาตัวไหนดีกว่ากัน เนื่องจากเป็นการวิจัยคนละกลุ่มตัวอย่าง แต่ที่แตกต่างกันคือยาแพกซ์โลวิดจะต้องกินคู่กับยาริโทนาเวียร์ด้วย ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นยาที่ไปยับยั้งเชื้อไวรัสเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นยาที่เจาะจงต่อเชื้อโควิด-19 โดยตรง” นพ.อรรถสิทธิ์ กล่าวและว่า

“ยาทั้ง 2 ตัว จะใช้ได้ดีในคนที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง เป็นกลุ่มเสี่ยงคือผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป มีโรคเรื้อรัง อาทิ โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ เบาหวาน อ้วน เป็นต้น ในผลการศึกษา ยังไม่มีอาการข้างเคียงรุนแรง ส่วนข้อห้ามใช้นั้น ก็เหมือนกับยาทั่ว ๆ ไป คือ ยังไม่แนะนำในคนที่มีความผิดปกติของตับรุนแรง ไตรุนแรง เอชไอวี ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก ๆ เนื่องจากยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยในกลุ่มนี้ เบื้องต้นคาดประมาณการณ์ว่า จะต้องใช้เท่าไรนั้น ต้องมีการคำนวณจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน เช่น 1 หมื่นรายต่อวัน คาดว่าจะมีกลุ่มเสี่ยงต้องใช้ยานี้ ประมาณ ร้อยละ 10 หรือ 1,000 คนต่อวัน”

ทั้งนี้ ที่ปรึกษากรมการพทย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดหายาทั้ง 2 ตัว ว่า คาดว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ จะมีการเสนออนุมัติงบการจัดซื้อยาโมนูลพิราเวียร์ และคาดประมาณนำเข้าประเทศไทยได้ประมาณ ปลายเดือนธันวาคม 2564 หรือ เดือนมกราคม 2565 ส่วนยาแพกซ์โลวิดนั้น กรมการแพทย์มีการหารือร่วมกับบริษัท ไฟเซอร์ มาเป็นระยะก่อนผลการวิจัยจะออกมาแล้ว

โดยครั้งต่อไปจะมีการหารือกันในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ เกี่ยวกับเรื่องของการนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย คาดว่าน่าจะเข้ามาช่วงหลังจากยาโมนูลพิราเวียร์ แต่สิ่งที่ทางไฟเซอร์ดำเนินการคู่ขนานอยู่ คือ การขออนุญาตขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) ส่วนเรื่องราคานั้น เป็นเรื่องที่ยังตอบไม่ได้ แต่คาดว่าราคาขายให้กับประเทศกำลังพัฒนาน่าจะถูกกว่าประเทศมหาอำนาจ


ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3031898