ปชป. ยื่นแก้กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น ให้ ส.ส. ช่วยรณรงค์หาเสียงให้ผู้สมัครในนามพรรคได้ต่อประธานสภาแล้ว 

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเสนอแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นว่า วันนี้ตน พร้อมด้วยนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ได้นำร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 34 เพื่อให้ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ดำเนินการใดๆ ที่มีผลต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าว 

ทั้งนี้การกระทำของบุคคลดังกล่าว ถ้าเป็นไปโดยมิชอบด้วยหน้าที่และอำนาจอันเป็นการกลั่นแกล้งผู้สมัครใด หรือดำเนินการใดๆ ที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครใด โดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกรรมการการเลือกตั้ง หรือผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมาย มีอำนาจสั่งให้ยุติหรือระงับการกระทำนั้นได้

การแก้ไขกฎหมายนี้เป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ฐานราก รวมถึงหลักปรัชญาการเมืองและการปกครองทั่วไปถือว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นเวทีสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแก่ประชาชน เป็นการสร้างให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง ซึ่งจะมีผลให้การเมืองระดับประเทศมีความเข้มแข็งด้วย อันมีผลทำให้ประเทศชาติเจริญ ประชาชนมั่งคั่งดังเช่นนานาอารยะประเทศทั้งหลาย

นายองอาจกล่าวเพิ่มเติมว่า เชื่อว่าพรรคการเมืองต่างๆ น่าจะเห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อให้ ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมืองช่วยหาเสียงตามครรลองปกติของการหาเสียงเลือกตั้งได้ เพราะเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ และผิดปกติของพรรคการเมืองอย่างมากที่ ส.ส. และ ข้าราชการการเมืองของพรรคไปช่วยหาเสียงให้คนที่ลงสมัครท้องถิ่นในนามพรรคไม่ได้ ทั้งๆ ที่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของสมาชิกพรรคการเมืองที่ดีควรกระทำตามปกติอยู่แล้ว

ถ้าสามารถแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นให้สมาชิกพรรคการเมืองที่เป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมืองรณรงค์หาเสียงได้ก็จะช่วยให้การเมืองท้องถิ่นตั้งแต่ระดับฐานรากถึงการเมืองระดับชาติมีความเข้มแข็ง อันส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความมั่นคงตามไปด้วยในที่สุด