รัฐบาล เร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ ให้หญิงตั้งครรภ์ สร้างภูมิคุ้มกันแก่แม่เเละเด็ก ตั้งแต่ในครรภ์  พร้อมอนุมัติงบกลาง 946.31 ล้านบาท ให้สภากาชาดไทย ซื้อวัคซีนโมเดอร์น่า 1 ล้านโดส ฉีดกลุ่มเปราะบาง

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมอนามัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดโครงการรณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งเป้า “1 เดือน 1 แสนราย” เริ่มตั้งแต่วันที่  13 กันยายน ถึง 13 ตุลาคม 2564  เร่งเพิ่มจำนวนฉีดวัคซีนให้กับหญิงตั้งครรภ์ จากปัจจุบันมีได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกเพียง 5 หมื่นกว่าราย จาก 5 แสนราย   ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งระดมฉีดให้วัคซีนให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยง “608” ประกอบไปด้วย กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขพบว่า นับตั้งแต่เมษายนจนถึงปัจจุบัน กลุ่มหญิงตั้งครรภ์มีอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ร้อยละ 2.26 หรือ เมื่อติดเชื้อแล้วพบว่ามีอาการรุนแรง ส่งผลให้ทารกคลอดก่อนกำหนดและเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 จากแม่ จึงถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า จะมีการเริ่มระดมฉีดวัคซีนเชิงรุกให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ ผ่านช่องทางศูนย์บริการฉีดวัคซีน โรงพยาบาลขนาดใหญ่ และในท้องถิ่น อาทิ รพ.สต. หรือ คลินิกฝากครรภ์ ที่จะได้รับการจัดสรรควัคซีนลงไปเพื่ออำนวยความสะดวกมากขึ้น จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจถึงความสำคัญในการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่แม่และเด็กในครรภ์ รวมถึงภูมิคุ้มกันจะสามารถส่งผ่านการให้นมบุตรอีกด้วย

“นอกเหนือจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว ยังขอเชิญชวนให้กลุ่มหญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งฉีดชนิดใดก่อนก็ได้แต่ต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และสามารถฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ระหว่างการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ได้ โดยสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ที่หน่วยบริการในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง ทั้ง รพ.รัฐ รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) และคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมฯ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” น.ส.รัชดากล่าว

นอกจากนี้ น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น จำนวน  946.31 ล้านบาทให้กับสภากาชาดไทย สำหรับใช้ในโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 Moderna ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 1 ล้านโดส โดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งทางบริษัท ชิลลิค ฟาร์มา จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนในการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์น่าในประเทศไทย ได้เสนอขายราคา 28 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 940 บาทต่อโดส รวมค่าขนส่ง 26.75 บาทต่อโดส รวมเป็น 966.75 บาทต่อโดส ซึ่งกำหนดให้ชำระเงินล่วงหน้าร้อยละ 30 ของมูลค่าวัคซีนรวม ภายในเดือนกันยายน 2564  เพื่อให้สามารถส่งมอบวัคซีนงวดแรกได้ในต้นปี 2565

ทั้งนี้สภากาชาดไทยได้มีนโยบายในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ ด้วยการให้ความช่วยเหลือในทุกด้าน ทั้งการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยชุดธารน้ำใจและชุดธารน้ำใจฝ่าวิกฤตโควิด-19  การจัดตั้งหน่วยครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยในจังหวัดต่างๆ การสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในแต่ละจังหวัดด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค ผ้าห่ม หน้ากากผ้า แอลกอฮอล์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ร่วมกับภาครัฐในการจัดหน่วยบริการฉีดวัคซีน การจัดบริการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน(Home Isolation) และการส่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดและอาสาสมัครไปช่วยสนับสนุนการฉีดวัคซีนทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูมิภาค รวมถึงการจัดทำโครงการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19  Moderna จำนวน 1 ล้านโดส โดยสภากาชาดไทยดำเนินการเองส่วนหนึ่ง และให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดร่วมดำเนินการด้วย โดยจะเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 เป็นต้นไป