“บิ๊กตู่” สั่งขยายขีดความสามารถรพ.สนาม รองรับผู้ป่วยโควิด จัดทีมชุดเคลื่อนที่เร็ว 138 ชุดลงพื้นที่ชุมชน แก้ไขปัญหาโควิด เข้มชายแดนคัดกรองคนเดินทางเข้าปท.

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมประชุมผ่านรูปแบบการประชุม สื่ออิเล็กทรอนิกส์  โดยภายหลังการประชุม พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม  แถลงผลการประชุม ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบนโยบายให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม(นขต.)และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เน้นในการปฏิบัติและการให้ความรู้ในเรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19และเน้นการ ปฏิบัติเมื่อต้องออกไปช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน รวมถึงการปลูกจิตสํานึก สาธารณะให้กับทหารกองประจําการที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทําหน้าที่ในบทบาทของทหาร และให้ทุก หน่วยฝึกทําการฝึกภายใต้มาตรการด้านการป้องกันและการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 ตามที่ ศบค. กําหนดอย่างเคร่งครัด

ด้านพ.อ.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในเรื่องการแก้ปัญหาโรค โควิด-19 นายกฯและรมว.กลาโหมขอบคุณกําลังพลของ กห.และเหล่าทัพในทุกระดับ ตั้งแต่พลทหารไปจนถึงระดับผู้บังคับบัญชาที่ได้ร่วมกัน ปฏิบัติหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมบัญชาการในสถานที่ต่างๆ รวมถึงการประสานงานในแต่ละพื้นที่ การทําหน้าที่ของด่านหน้า และการจัดทีมป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุกในชุมชนที่สนับสนุนให้กับกรุงเทพฯทั้ง 138 ชุด เป็นต้น รวมทั้งบุคลากรที่อยู่เบื้องหลังในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั้งในพื้นที่ทหาร และสนับสนุนหน่วยงานภายนอก และได้กําชับเรื่องการเตรียมพื้นที่ในหน่วยทหารให้เป็นพื้นที่พักคอย และโรงพยาบาลสนามทั่วทั้งประเทศ ที่ได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อมีความพร้อมจากการได้รับการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ทางการ แพทย์จากสาธารณสุขแล้ว ขอให้เปิดใช้บริการโดยทันที พร้อมทั้งประสานการปฏิบัติกับ สาธารณสุขในพื้นที่และให้ขยายทีมป้องกัน และแก้ไขปัญหา โควิด-19 เชิงรุกในชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น

พ.อ.วันชนะ กล่าวต่อไปว่า นายกฯและรมว.กลาโหมกำชับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ดํารงความต่อเนื่องในการสนับสนุน การดําเนินการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศบค.) ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความ มั่นคง (ศปม.) ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยพื้นที่ชายแดนให้บูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนเพื่อ เฝ้าระวังและคัดกรองผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน และการป้องกันการ ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทั้งทางบกและทางน้ํา ส่วนพื้นที่ชั้นในสนธิกําลังทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครอง จัดตั้งด่านตรวจเข้มแข็ง ให้เป็นมาตรฐาน เดียวกัน เพื่อตรวจคัดกรองยานพาหนะและบุคคล ได้ครอบคลุมทุกการปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ รวมทั้งจัดชุดสายตรวจ เคลื่อนที่เร็ว ลงปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ทั้ง 13 จังหวัด

“พร้อมขยายขีดความสามารถของโรงพยาบาลทหาร เพื่อรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง และใช้พื้นที่ใน หน่วยทหารและตํารวจ อาทิ สโมสร แหล่งสมาคม อาคารเอกนกประสงค์ สนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม หรือใช้ เป็นสถานที่ในการแยกกักตัวในชุมชน( Community Isolation )รวมทั้งเตรียมการสนับสนุนกําลังพล เครื่องมือ และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล (บุคลากรทางการแพทย์แถวสอง) ให้พร้อมสนับสนุนการ ปฏิบัติงาน เพื่อรองรับจํานวนผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งในพื้นที่กรุงเทพณปริมณฑล และต่างจังหวัด และ ให้คงการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกําลังพลไปบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บไว้เป็นโลหิตสํารอง และการบริจาคโลหิต แบบเร่งด่วนเมื่อได้รับการร้องขอจากโรงพยาบาลในพื้นที่” พ.อ.วันชนะ  กล่าว