วิเคราะห์ ‘พลังประชารัฐ’ แก้รัฐธรรมนูญ ผลลัพธ์ ‘เพื่อไทย’ อาจชนะถล่มทลาย

ผลลัพธ์จากการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม รวม 13 ฉบับ ที่เกิดขึ้นตลอด 2 วัน (วันที่ 23-24 มิ.ย. 2564) ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ‘ร่วงเกือบหมด’ โดยเหลือรอดเพียงวาระแรกฉบับเดียว ซึ่งเป็นบทแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83, 91 (แก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ) ที่ถูกเสนอโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับคณะ ที่เรียกว่า ‘ร่างที่ 13’ และได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 552 ไม่เห็นชอบ 24 งดออกเสียง 130 และไม่ลงคะแนนเสียง 27

แม้จะผ่านแค่เพียงร่างเดียว แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นประเด็นให้ต้องขยายกันต่อ เพราะบ้างก็อาจจะมองว่าเกมของพลังประชารัฐกับการแก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบนั้น จะเป็นการชิงความได้เปรียบให้พรรคกลับมาได้อย่างท่วมท้น หากมีการการเลือกตั้งหนหน้า จากข้อได้เปรียบที่ยังเป็นรัฐบาล สามารถกำหนดทิศทาง หาจังหวะในการยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ในช่วงที่มีความพร้อม และคะแนนนิยมดี ภายใต้ฐานเสียงที่ต้องยอมรับว่า พลังประชารัฐ ยิ่งทวีฐานได้แน่นขึ้น ในจังหวะที่พรรคต่างๆ เสียงเบาลง ยิ่งมีนโยบายต่างๆ ที่นำเสนอออกมา แม้จะมีถูกใจบ้างหรือไม่ถูกใจบ้างผสมโรงด้วยแล้ว คงต้องยอมรับว่าชื่อ พลังประชารัฐ น่าจะเป็นแค่ทางเลือกเดียว เหมือน ‘ไทยรักไทย’ ในยุคหนึ่งกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หลังจากร่างฉบับดังกล่าวได้ผ่านการเห็นชอบ ด้าน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence, สาขาวิชา วิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ได้ออกมาให้ทรรศนะที่น่าคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจจะไม่เป็นไปตามหวังของพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ว่า…

ผมขอทำนายว่าทั้ง พลังประชารัฐ และ ประชาธิปัตย์ จะพ่ายแพ้ พรรคเพื่อไทย เพราะกติกานี้ที่แก้กลับไปเหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเพื่อไทยเก่งกว่า เจนเวทีกว่า ทำไมจึงได้หลงเชื่อว่ากติกาที่ตนพ่ายแพ้ยับเยินมาแล้วจะทำให้ตนชนะได้ เพราะ Albert Einstein ได้กล่าวไว้ว่า “Insanity is doing the same thing over and over and expecting different results. ความโง่เง่าบัดซบคือการทำเช่นเดิมและคาดหวังผลที่แตกต่างไป

ผศ.ดร.อานนท์ เปรียบเทียบเหตุการณ์ดังกล่าวกับหนังจีนกำลังภายในเรื่องดาบมังกรหยก ซึ่งช่วงหนึ่ง ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ บิดาของ ‘เตียบ่อกี้’ มีเหตุต้องประลองฝีมือกับราชสีห์ขนทอง ‘เจี่ยซุ่น’ 1 ใน 4 ผู้คุมกฎของนิกายเม้งก่าอันเป็นผู้อาวุโสระดับต้นๆ ในยุทธภพและมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน

ราชสีห์ขนทองมีฝีมือสูงส่ง แต่ก็มีความทะนงตนสูงอย่างมาก ‘เจี่ยซุ่น’ จึงถึงขนาดกำหนดแต้มต่อยอมให้ ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ กำหนดกติกาในการแข่งขันประลองได้ตามที่ต้องการ

‘เตี่ยชุ่ยซัว’ จึงได้กำหนดกติกาที่ทำให้ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในยุทธภพระดับต้นๆ อย่างเจี่ยซุ่น ต้องยอมพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ประลองแต่อย่างใด โดย ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ ขอประลองแข่งขันในการใช้กำลังภายในจารึกอักษรด้วยกระบี่ลงบนแผ่นหินบนหน้าผา ซึ่ง ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ นั้นทำได้ดีมาก เนื่องจากเป็นผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้ทั้งด้านบู๊และด้านบุ๋นแบบผสมผสาน

พูดง่ายๆ ก็คือ ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ ทราบดีว่าหากจะต้องประลองในวิชาที่ใช้แต่ฝ่ายบู๊อย่างเดียวโดยปราศจากสายบุ๋นนั้น ตนเองย่อมไม่มีทางต่อสู้กับราชสีห์ขนทองได้เลย

>> การกำหนดกติกาในการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!!

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ราชสีห์ขนทองจะมีฝีมือสูงส่งปานใดก็ตาม แต่ก็ย่อมมีจุดอ่อนที่ตนเองไม่ถนัด ผนวกกับความทะนงในความเก่งกล้าสามารถของตนเอง ถึงขนาดที่ยอมเปิดโอกาสให้คู่ประลองแข่งขันกำหนดกติกาได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะเชื่อมั่นมากเกินไปว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้

ฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาในการทำศึกนั้น หาได้ใช้กำลังแต่ฝ่ายเดียวในการชนะศึกไม่ หากแต่จะเลือกใช้ปัญญาในการวิเคราะห์จุดอ่อนของคู่แข่ง แล้วนำจุดอ่อนเหล่านั้นมาแปรผันเป็นกติกาในการประลองเพื่อให้ตนเองนั้นชนะได้อย่างง่ายดาย โดยเลือกประลองในสิ่งที่คู่แข่งนั้นมีจุดอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ

ย้อนกลับมาที่เรื่องของความพยายามในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง 2 ประการคือ...

>> ประเด็นแรก ต้องการมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จากเดิมที่มีบัตรเลือกตั้งใบเดียวหมายความว่าประชาชนสามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อแยกออกจากกัน ซึ่งแน่นอนว่าวิธีการนี้ จะมีคะแนนจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกทิ้งน้ำและไม่ได้เป็นการเลือกตั้งในระบบที่เรียกว่าปันส่วนผสมอีกต่อไป

>> ประเด็นที่สอง คือ การลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คนลงเป็น 100 คนและเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตจาก 350 คนเป็น 400 คน

กติกาทั้งสองนี้สำคัญมาก เพราะหากลองตั้งข้อสังเกตดูแล้ว ต่อให้ใช้กติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งได้แบบขาดลอย หากแต่การที่พลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มาจากการปัดเศษในการนับคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งอาจจะเป็นที่กังขาว่า กกต. ใช้วิจารณญาณอย่างไรในการตีความวิธีการปัดเศษดังกล่าว จนสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จและอ้างว่าได้ Popular Vote สูงที่สุด

ขณะที่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้นส่งลงสมัครน้อยมาก เพราะหลีกทางให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ แต่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติมีอันเป็นไปจากการถูกยุบพรรคการเมืองไปเสียก่อนไม่เช่นนั้นหากรวมจำนวน ส.ส.ที่พรรคไทยรักษาชาติไม่ถูกยุบ ก็อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติรวมตัวกันได้คะแนนเป็นที่ 1 ก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและเกิดการย้ายข้างจำนวนมากมายเรียกว่ามี ‘งูเห่าสีส้ม’ และงูเห่าอีกหลายสีย้ายเข้าไปอยู่ในพรรคการเมือง อื่นๆ เช่น พรรคการเมืองแถวอีสานใต้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงสามารถกล่าวได้ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ชนะเลือกตั้งในกติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 แต่อย่างใด

ฉะนั้น แม้ว่ารัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 จะกำหนดกติกาการเลือกตั้งที่น่าจะเอื้อต่อชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐอยู่พอสมควร โดยกติกาดังกล่าว ได้แก่ การมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวและมีจำนวน ส.ส.เขตเพียง 350 คนและมี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน ตลอดจนการที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้อีกจำนวน 250 เสียง ซึ่งเป็นกติกาที่เอื้อต่อชัยชนะในการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐของพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่ แต่ก็หาใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะขาดลอยด้วยกติกาที่ตนเองเป็นผู้กำหนดไว้แต่อย่างใด

กลับกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ กลับนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่มีกติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐหรือกติกาในการเลือกตั้งเฉกเช่นรัฐธรรมนูญในปี 2540 หรือมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบและมีจำนวน ส.ส.เขตถึง 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียง 100 คน โดยเป็นกติกาที่เอื้อให้เกิดพรรคการเมืองใหญ่และเกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองหรือที่เราเรียกกันในทางวิชาการว่า Political Polarization ซึ่งจะทำให้ ‘พรรคเล็กพรรคน้อย’ หรือ ‘พรรคปัดเศษ’ ไม่มีโอกาสได้เกิด และก็ไม่ใช่การเลือกตั้งในระบบปันส่วนผสมอีกต่อไป พูดง่ายๆ คือ เป็นการเอาคะแนนเล็กคะแนนน้อยนั้นเททิ้งน้ำไปให้หมด

ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากว่าเหตุใดพรรคพลังประชารัฐ ถึงเสนอร่างรัฐธรรมนูญกลับไปเป็นกติกาการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมีข้อพิสูจน์แล้วว่าระบอบทักษิณจะชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอย และเข้ามาคุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนอาจจะเกิดเผด็จการรัฐสภาอีกรอบก็เป็นได้

พูดกันตามตรงรัฐธรรมนูญ 2560 แม้จะเอื้ออำนวยให้พรรคพลังประชารัฐเข้าสู่อำนาจรัฐอย่างได้เปรียบพรรคการเมืองฝ่ายค้านมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาแต่อย่างใดการลงคะแนนมติต่างๆ ต้องใช้กำลังและการล็อบบี้อย่างหนัก

น่าสงสัยว่าพรรคพลังประชารัฐเอาความมั่นใจและความทะนงองอาจหรือความประมาทเลินเล่อใดมาตัดสินและคิดว่าการกำหนดกติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทักษิณชินวัตรหรือระบอบทักษิณเคยเอาชนะมาได้อย่างถล่มทลายนั้น จะทำให้ตนเองชนะหรือเข้าสู่อำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกันกับที่ระบอบทักษิณได้เคยกระทำมา

การที่พรรคพลังประชารัฐเป็นผู้กุมอำนาจรัฐและอาจจะมีทุนเพียงพอ เรียกว่าอาจจะมีทั้งกระสุนเงินและกระสุนปืนในการเลือกตั้ง เลือกวิธีการนี้ อาจจะเป็นเหตุให้พรรคพลังประชารัฐประมาทเลินเล่อหรือทะนงองอาจในตนมากเกินไปหรือไม่ เปรียบเหมือนกับ ‘ราชสีห์ขนทอง’ ที่หันไปเลือกกติกาศัตรูอย่าง ‘เตียชุ่ยซัว’ และปราชัย ทั้งๆ ที่ตนเองได้เปรียบกว่าแทบทุกประการ

พรรคพลังประชารัฐไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่า เหตุใดศัตรูในทางการเมืองของตนหรืออาจจะไม่ใช่ศัตรูแล้ว จึงหันมาร่วมมือและต้องการกำหนดกติกาแบบเดียวกัน โดยที่เห็นดีเห็นงามด้วย แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยคิดว่าตนเองจะได้เปรียบในการเลือกตั้งและเข้าสู่อำนาจรัฐได้ง่ายหากเรื่องตั้งด้วยกติกาการเลือกตั้งเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญในปี 2540 ที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะแก้ไขให้เป็นไปตามนี้

>> การลงไปเล่นในเกมที่เป็นกติกาหรือพื้นที่ที่เขาชำนาญกว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสพ่ายแพ้สูงมาก!!

หากมีการเลือกตั้งจริงแล้วด้วยกติกาซึ่งเป็นการเลือกตั้งมากถึง 400 เขตเลือกตั้ง ที่เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็กลงไปมากและเป็นเขตเลือกตั้ง 1 คน 1 เขตที่เลือกส.ส.ได้เพียง 1 คนก็จะทำให้อิทธิพลทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบหัวคะแนนหรือการจัดตั้ง ตลอดจนการใช้กระสุนเงินหรือการซื้อเสียงเลือกตั้งสามารถทำได้โดยง่ายขึ้น

ผมไม่คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีฝีมือและความสามารถในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง 400 เขตได้เก่งเท่ากับพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยนั้นมีระบบหัวคะแนนที่แน่นหนามากและดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดมีฐานเสียงที่มั่นคงและมีลูกค้าขาประจำที่มีความรักต่อพรรคเพื่อไทยและทักษิณไม่เสื่อมคลาย

ด้วยการกำหนดกติกาที่เอื้อกับศัตรูเช่นนี้ อาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและระบบทักษิณก็จะกลับคืนมาครอบงำปกครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์

 

 

อ้างอิง: https://mgronline.com/daily/detail/9640000061302


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9