“บิ๊กตู่” ยังยึดมาตรการปูพรมให้เอกชนแจ้งขอวัคซีนให้คนในองค์กรได้ แจง เปิดประเทศคำนึงการระบาดเฉพาะพื้นที่ โยนรัฐ-เอกชน หารือร่วมกันเอง ศบค.ไม่ใช่ผู้กำหนด พร้อมสั่งเร่งทุกจังหวัดเพิ่มเตียงรักษาโควิด

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ตอบคำถามแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม กรณีเอกสาร ศูนย์บริการสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) แจ้งให้จัดหาวัคซีนให้กับบริษัทเอกชน และต่อจากนี้บริษัทเอกชนจะยังสามารถทำเอกสารเพื่อขอวัคซีนได้อีกหรือไม่ ว่า ทางกระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงไปแล้วในเบื้องต้น ปัจจุบันมีข้อปฏิบัติที่กำหนดโดยศบค.มท. ให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย ที่มีความประสงค์จะขอรับวัคซีนให้กับบุคลากร สามารถแจ้งความประสงค์ไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ในกรณีที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีบุคลากรอยู่ในหลายจังหวัดหรือองค์กรระหว่างประเทศที่ติดต่อผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ สามารถแจ้งหนังสือมายัง อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอรับวัคซีนฉีดให้กับบุคลากร ซึ่งได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกฯ ได้ให้นโยบายตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนว่าจะฉีดแบบปูพรม ดังนั้นจึงมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างชัดเจน

นายอนุชา กล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดคลัสเตอร์ใหม่ในหลายจังหวัดจะทบทวนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์หรือไม่ ว่าจากการประชุมศบค.ชุดใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้หารือถึงสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรครวมถึงการเปิดประเทศตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะเปิดประเทศใน 120 วันหรือเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งที่ประชุมมีมติว่าการพิจารณาเปิดพื้นที่นำร่องเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่ว่าจะที่จ.ภูเก็ต หรือตามเกาะต่างๆในจ.สุราษฎร์ธานี ทั้ง เกาะสมัย เกาะพงัน เกาะเต่า เป็นความตกลงร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ โดยจะคำนึงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งจำนวนผู้ได้รับวัคซีนและความพร้อมด้านสาธารณะสุขในพื้นที่ ดังนั้นการดำเนินการและปฏิบัติตามมาตราการด้านสาธารณสุขจะทำอย่างเคร่งครัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่อื่นนอกเหนือจาก จ.ภูเก็ตและเกาะต่างๆใน จ.สุราษฎร์ธานี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเป็นผู้ดำเนินการพิจารณาเสนอ โดยรัฐและเอกชนจะต้องหาข้อสรุปให้ได้อย่างชัดเจนก่อนเสนอต่อที่ประชุมศบค.ให้พิจารณา และศบค.ไม่ใช่หน่วยงานที่จะกำหนดว่าพื้นที่ใดจะเปิดได้หรือไม่ ส่วนหลักเกณฑ์รับนักท่องเที่ยวยืนยันว่าจะดำเนินการให้เป็นตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และองค์การอนามัยโลก (WHO) 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีคณะกรรมการบริหารราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย แสดงความห่วงใยต่อนโยบายเปิดประเทศใน 120 วัน นายอนุชา กล่าวว่า เรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ รับฟังโดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นเรื่องข้อกังวลต่างๆแต่ทั้งหมดนายกฯได้ให้นโยบายไว้แล้วว่าจะต้องรักษาสมดุลทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ การดูแลสุขภาพ และการดูแลการแพร่ระบาดจึงเป็นเหตุผลทำให้รัฐบาลต้องเลือกแซนด์บ็อกซ์ เปิดรับนักท่องเที่ยวเฉพาะบางพื้นที่เช่นที่ภูเก็ต ซึ่งจะมีการควบคุมในพื้นที่นั้น แต่หากพื้นที่นั้นๆต้องมีการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงก็จะดำเนินการทันที ซึ่งสามารถแก้ไขและปรับเปลี่ยนเรื่องการเปิดประเทศในลักษณะการนำร่องในพื้นที่จังหวัดอื่นๆตามมา ส่วนที่มีหลายฝ่ายกังวลว่าปัจจุบันผู้ติดเชื่อเพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้เตียงไม่เพียงพอ รวมถึงบางพื้นที่ไม่มีรถพยาบาลไปรับตัวผู้ป่วย ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันเดียวกันนี้ นายกฯได้สั่งการว่าให้แต่ละจังหวัดเพิ่มจำนวนเตียงและปรับให้รักษาผู้ป่วยตามอาการ อีกทั้งได้สั่งการว่าหากหน่วยงานใดมีความจำเป็นต้องเพิ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นเครื่องช่วยหายใจ เครื่องเอกซเรย์ ให้เร่งแจ้งความประสงค์เข้ามา นายกฯพร้อมพิจารณาอนุมัติให้เป็นการเร่งด่วนเพิ่มประสิทธิภาพของโรงพยาบาลในการรักษาผู้ป่วย 

เมื่อถามว่าจะมีการทบทวนการเปิดเรียนหรือไม่เพราะบางจังหวัดมีการแพร่ระบาดโควิดในโรงเรียน นายอนุชา กล่าวว่า หลังจากมีการเปิดภาคเรียนเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. หากโรงเรียนใดมีปัญหาการแพร่ระบาดโควิดก็ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับมาตรการสาธารณสุขโดยการปิดเรียนชั่วคราว แต่โรงเรียนใดที่ไม่มีปัญหาก็ดำเนินการตามเดิม เมื่อถามว่าจะเปิดเผยงบประมาณด้านสาธารณสุขให้ประชาชนรับทราบได้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯแจ้งว่าหากพบหรือเกิดข้อสงสัยมีหลักฐานสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษและเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบได้ทุกกรณีไม่มีการยกเว้นใครผู้ที่รับผิดชอบต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบทันที หากพบว่าผิดจริงจะดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น เมื่อถามว่าการฉีดวัคซีนในพื้นที่กทม.ฉีดวัคซีนได้เท่าไหร่แล้ว และจะทันกำหนดการที่วางไว้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ณ วันที่ 22มิ.ย. ฉีดไปแล้ว 2,401,836 โดย ดังนั้นในเดือน ก.ค. จำนวน 5 ล้านโดสจะเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้