“สุพัฒนพงษ์” เผย “นายกฯ”ย้ำ ดูแลผู้ติดเชื้อ ปรับระบบคัดกรอง-เตรียมบริหารจัดการวัคซีน ก่อนถกเอกชน 28 เม.ย.นี้ แนะ คนมีเงินฝาก ควักใช้จ่ายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ต้องขอคนละครึ่ง ด้านเลขาฯสภาพัฒน์ ระบุ ตั้งเป้าฉีดวัคซีน 50 ล้านคนในสิ้นปีนี้

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันมีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์หลังประชุมร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการกระจายวัคซีน ว่า ที่ประชุมหารือเบื้องต้นก่อนจะพูดคุยกับภาคเอกชนว่าในวันที่ 28 เม.ย.นี้ เพื่อเตรียมพร้อมการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาด ให้เห็นว่ารัฐบาลเตรียมการครบทุกด้าน ทั้งระบบคัดกรองผู้ป่วย การรักษาพยาบาล และการเตรียมวัคซีน และขณะนี้ประเทศไทยยังสามารถควบคุมการระบาดได้อยู่และอยู่ในระดับที่ประชาชนเชื่อมั่นได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประเมินว่าในสองสัปดาห์นี้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า มาตรการยังออกมาไม่ครบสองสัปดาห์ แม้จะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่ยอดผู้ที่รักษาหายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ประเด็นตอนนี้คือการดูแลผู้ติดเชื้อ ส่วนมาตรการทางเศรษฐกิจก็จะชัดเจนในเดือนพ.ค.นี้และมีผลบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.นี้

เมื่อถามว่าจะพิจารณาแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณา และภายในสัปดาห์นี้น่าจะทราบ เบื้องต้นเรากำหนดไว้ในเดือนก.ค.นี้ ส่วนที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจาก 6 ล้านคน เหลือ 3ล้านคนนั้น เป็นภาพรวมเนื่องจากการระบาดเกิดทั่วโลกและในแต่ละปีคนไทยก็เที่ยวจำนวนมากมูลค่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี สถานการณ์กลับสู่ปกติ คนไทยก็อาจจะเที่ยวได้เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม ถ้าคนไทยช่วยกันโดยออกมาใช้จ่าย ก็อาจจะได้จีดีพีที่ 4 เปอร์เซ็นต์ ก็จะช่วยได้ ทั้งนี้ขอให้คนที่มีเงินฝากเยอะนำออกมาใช้จ่าย เพื่อจะได้ไม่ต้องมาขอเงินจากโครงการคนละครึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องมีการกู้เงิน เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ยัง เพราะยังอยู่ในกรอบใช้จ่ายด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การหารือมี2 เรื่อง ที่เตรียมจะหารือกับภาคเอกชน คือเรื่องการนำผู้ป่วยเข้ามารักษาในสถานพยาบาลประมาณ 800 คน จากที่ตกค้างกว่า1,400 คน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงาน คัดกรองกลุ่มที่เป็นผู้ประกันตน ซึ่งขณะนี้ได้จัดสถานที่ไว้ที่อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก สำหรับคัดกรอง ถ้าไม่มีอาการ จะนำเข้าโรงพยาบาลสนาม หากอาการเป็นสีเหลือง จะต้องดูสถานที่รักษาอาจจะเป็นสถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม และอาการสีแดงให้นำเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษา

เรื่องที่สองคือการบริหารจัดการวัคซีน ที่จะต้องคุยกับภาคเอกชนว่าจะเข้ามาช่วยอย่างไร เมื่อวัคซีนเข้ามา 26 ล้านโดสในช่วงสามเดือนนี้ จากนั้นจะมีวัคซีนซีโนแวคเข้ามาอีกประมาณ 1ล้านโดส ขอให้มั่นใจได้ว่าสามเดือนนี้ ตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยประมาณ 30ล้านคน ส่วนวัคซีนทางเลือกเพิ่มที่มีการขึ้นทะเบียนแล้วคือ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน(Johnson & Johnson)ส่วนไฟเซอร์และยี่ห้ออื่นจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อขึ้นทะเบียนและนำเข้าเพิ่มเติมให้ได้ 100ล้านโดส และภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะฉีดให้ประชาชนได้ประมาณ 50ล้านคน ซึ่งมีทั้งฉีดเข็มแรกและเข็มที่สอง 

ทั้งนี้เบื้องต้นจะขอความร่วมมือภาคเอกชนในการจัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน หรือรับไปฉีดให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าว่าในสามเดือนข้างหน้าจะต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 แสนคน รวม30 ล้านคน ส่วนรายละเอียดต่างๆจะได้ข้อสรุปในวันที่28 เม.ย.นี้