Saturday, 12 October 2024
KNOWLEDGE TIMES

กระตุกหนวดมังกร!! ‘จีน’ ฉุนหนัก หลัง ‘สหรัฐฯ’ อ้าแขนรับผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวฮ่องกง!!!! | Knowledge Times EP.9

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘KnowledgeTimes’ I EP.9
???? กระตุกหนวดมังกร!! ‘จีน’ ฉุนหนัก หลัง ‘สหรัฐฯ’ อ้าแขนรับผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวฮ่องกง!!!!

ประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ของสหรัฐอเมริกา มีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมาว่า ‘ชาวฮ่องกง’ สามารถอยู่ในสหรัฐฯ ได้เป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 18 เดือน  เนื่องจากขณะนี้เสรีภาพในฮ่องกงกำลังถูกจีนล่วงละเมิด!!

ปัจจุบันมีชาวฮ่องกงหลายพันคนที่อยู่ในสหรัฐฯ และได้รับการดูแลจากนโยบายดังกล่าวที่ผู้นำสหรัฐเพิ่งประกาศออกมา โดย “ไบเดน” ให้เหตุผลในการตัดสินใจว่า เป็นผลจากนโยบายต่างประเทศที่บีบบังคับ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าคำสั่งดังกล่าวจะมีผลครอบคลุมชาวฮ่องกงมากน้อยขนาดไหน แต่คาดว่าคนฮ่องกงในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่น่าจะได้รับสิทธินี้ พร้อมทั้งชี้ด้วยว่า การมอบสถานที่พักพิงที่ปลอดภัยแก่ชาวฮ่องกง “ถือเป็นการกระทำที่อิงกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และสหรัฐอเมริกาพร้อมจะยืนหยัดสนับสนุนประชาชนชาวฮ่องกง”

“โจ ไบเดน” ระบุในบันทึกข้อความว่า “ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเดินหน้าโจมตีอำนาจปกครองตนเองของฮ่องกง บ่อนทำลายกระบวนการและสถาบันประชาธิปไตยที่หลงเหลืออยู่รวมถึงสถาบันต่าง ๆ ออกข้อบังคับเพื่อจำกัดเสรีภาพทางวิชาการ และลิดรอนเสรีภาพสื่อมวลชน หลังจากที่ได้มีการจับกุมตัวคนมากกว่า 100 คน ซึ่งรวมถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนักการเมืองฝ่ายค้าน ภายใต้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่”

ซึ่งล่าสุด สำนักงานกระทรวงการต่างประเทศจีนประจำฮ่องกง ก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าเป็นการบิดเบือน และเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกงอย่างร้ายแรง “การมอบในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าสถานที่หลบภัย (safe haven) นั้นเป็นการจงใจใส่ความฮ่องกง ให้ร้ายประเทศจีน และเป็นการกระทำที่มุ่งโจมตีความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกง” 

“เจน ซากี” โฆษกทำเนียบขาวระบุว่า นโยบายของ “ไบเดน” เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า “สหรัฐฯ จะไม่นิ่งเฉย หากจีนผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฮ่องกงและประชาคมโลก” ขณะที่ “อเลคันโดร มายอร์กัส” รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชาวฮ่องกงที่ได้รับสิทธิต่อเวลาพำนักเป็น 18 เดือน ยังสามารถขอใบอนุญาตทำงานในสหรัฐฯ ได้ด้วย

สำหรับโอกาสที่ชาวฮ่องกงจะได้สิทธิพำนักถาวร (permanent residency) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ “เน็ด ไพรซ์” ชี้แจงว่า ชาวฮ่องกงที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์อาจได้รับการพิจารณาเข้าร่วมโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ (U.S.Refugee Admissions Program)

ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นมาตรการล่าสุดที่ “ไบเดน” ใช้ตอบโต้สิ่งที่สหรัฐฯ เรียกได้ว่าเป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรมของฮ่องกง อดีตเกาะอาณานิคมอังกฤษที่ถูกส่งมอบคืนแก่จีนเมื่อปี 1997

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โควิดระลอกใหม่ ซัดถล่ม’สหรัฐฯ-อังกฤษ’!! ดันยอดติดเชื้อพุ่ง เหตุคน ‘กังขารัฐ’ จน ‘ไม่รับวัคซีน’ !! I Knowledge Times EP.8

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
????โควิดระลอกใหม่ ซัดถล่ม’สหรัฐฯ-อังกฤษ’!! ดันยอดติดเชื้อพุ่ง เหตุคน ‘กังขารัฐ’ จน ‘ไม่รับวัคซีน’ !!

เมื่อพูดถึงสหรัฐฯและอังกฤษ นับว่าเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว แต่กลับกันต้องประสบปัญหายอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เพราะยังคงมีประชากรอีกจำนวนหนึ่งที่เลือกไม่รับวัคซีนโควิด-19 

โดยด็อกเตอร์ แอนโธนี ฟาวซี หัวหน้าที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่า แม้สหรัฐฯเคยครองสถิติประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลกจนถึงเดือนเมษายน แต่ต้องกลับเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนที่พุ่งสูงขึ้นสวนทางกับจำนวนผู้เข้ารับวัคซีน

ซึ่งสถิติผู้ติดเชื้อรายวัน ยิ่งตอกย้ำว่าสหรัฐฯได้ก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติ โดยในวันที่ 26 กรกฎาคม 2021 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นถึง 88,696 คน เสียชีวิต 273 ราย แม้ว่าในสหรัฐฯจะมีผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วเกือบ 60% แต่ยังเหลืออีกกว่าร้อยล้านคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

โดยข้อมูลจากรัฐฟลอริด้าที่เป็นหนึ่งในรัฐที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกว่า 99% ของผู้ติดเชื้อยังไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งผู้ติดเชื้อหลายคนก็ตำหนิตนเองว่าน่าจะรีบออกมาฉีดวัคซีนตามแคมเปญของรัฐบาล

ยิ่งแสดงให้เห็นว่าสาเหตุของจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นมา ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มที่ไม่ยอมรับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มรัฐทางตอนใต้ และกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน ที่เคยออกแคมเปญ My Body, My Choice ตามหลักสิทธิเสรีภาพในการเลือกไม่ฉีดวัคซีน

จากสถานการณ์ที่น่ากังวลขึ้นเรื่อยๆ ด็อกเตอร์ฟาวซี จึงได้เน้นย้ำว่า ประชาชนควรสวมหน้ากากอนามัย และรัฐควรประชาสัมพันธ์ถึงคนที่ยังลังเลจะมาฉีดวัคซีน ให้รีบมารับวัคซีนโดยไว พร้อมเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็ก และเยาวชนโดยด่วน ส่วนวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 นั้น รัฐบาลกำลังพิจารณาอยู่

สำหรับกระแสการต่อต้านการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้กล่าวถึงปัญหานี้ และทฤษฎีสมคบคิดที่สร้างความเชื่อผิดๆ กับโครงการฉีดวัคซีนของรัฐบาลนั้น ซึ่งถือเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้การฉีดวัคซีนล่าช้าและจะปราบปรามกลุ่มที่เผยแพร่ข่าวปลอมเหล่านี้อย่างเด็ดขาด

ในด้านของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในโครงการวัคซีน แต่กลับพบยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 หมื่นรายต่อวันในเดือนกรกฎาคมนี้ จากการแพร่ระบาดอย่างหนักของสายพันธุ์เดลตา และมากกว่า 60% ของผู้ป่วยอาการรุนแรง ล้วนยังไม่ได้รับวัคซีนเช่นกัน จนถึงขั้นมีผู้ป่วยหลายคนพร่ำบ่นเสียใจ และเสียดายที่ไม่ยอมไปรับวัคซีนแต่แรก จนต้องมาใส่เครื่องช่วยหายใจในวันนี้

เรื่องนี้ ทางทีมแพทย์อังกฤษ ได้มีการฝากเคสตัวอย่าง และขอร้องให้ประชาชนที่ยังลังเล วิตก ไม่ยอมออกไปฉีดวัคซีน ให้ออกมาฉีดกันเถอะ 'หมอขอ' เพราะผลข้างเคียงจากวัคซีนถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาลบนเตียงผู้ป่วยวิกฤติ

และนี่ก็คือการกลับมาของวิกฤติโควิด-19 ในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีน แต่เมื่อยังมีคนกังขาในประสิทธิภาพและผลข้างเคียงจากวัคซีนที่รัฐจัดหามาให้ จึงนำไปสู่การเลือกไม่รับวัคซีน และทำให้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทั้งสหรัฐและ อังกฤษ ต้องกลับมาเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 อีกครั้ง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทูต UK เตือน ‘หม่อง’! อีก 1 สัปดาห์ คลื่นโควิดซัด ‘พม่า’ อาจลามหนักกว่าครึ่งประเทศ! | Knowledge Times EP.7

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘KnowledgeTimes’

???? ทูต UK เตือน ‘หม่อง’! อีก 1 สัปดาห์ คลื่นโควิดซัด ‘พม่า’ อาจลามหนักกว่าครึ่งประเทศ!

เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ(UN) เตือนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า ประชากรราวครึ่งประเทศจากทั้งหมด 54 ล้านคนของเมียนมา อาจติดเชื้อโควิด-19 ภายใน 1 สัปดาห์

เมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหลวุ่นวาย ซึ่งย่ำแย่ลงนับตั้งแต่เกิด “รัฐประหาร” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ขณะที่ ”นางอองซานซูจี” ที่ปรึกษาแห่งรัฐ ,ประธานาธิบดีและผู้นำคนอื่น ๆ ของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ถูกทหารเมียนมาควบคุมตัว และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่ามีการถ่ายโอนอำนาจให้แก่พลเอกอาวุโส “มี่น ออง ไลง์” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จนทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในเมียนมา

ด้วยเหตุนี้ ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งไม่พร้อมรับมือกับจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จำนวนมากละทิ้งหน้าที่เพื่อไปประท้วงการรัฐประหาร ซึ่งประเมินว่ากองกำลังของรัฐบาลทหารได้ดำเนินการโจมตีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากกว่า 260 ครั้ง รวมถึงควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไป ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขในเมียนมาเกือบล่มสลาย และมีสถานพยาบาลเหลือเพียง 40% ที่ยังสามารถดำเนินการได้

ในขณะที่สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ กำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานคณะผู้ปกครองทหาร ต่อการยึดอำนาจและใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งคร่าชีวิตไปแล้วหลายร้อยราย

‘บาร์บารา วู้ดเวิร์ด’ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ บอกกับที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ระหว่างพูดคุยหารือกันอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมาเผยว่า...ไวรัสกำลังแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว จากการคาดการณ์ ภายใน 1 สัปดาห์ข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของประชากรเมียนมาอาจติดโควิด-19 พร้อมทั้งเรียกร้องให้คณะมนตรีรับรองมติ 2565 ให้มีการหยุดยิงในเขตความขัดแย้ง เพื่อสามารถส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย

ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อในเมียนมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรายงานผู้ติดเชื้อในเมียนมาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม มากกว่า 5,000 คน และเสียชีวิตเกิน 300 คน แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่ายอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจริงน่าจะสูงกว่านี้มาก เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าว มาจากกระบวนการตรวจหาเชื้อทั่วประเทศเพียง 13,763 คนเท่านั้น เช่นเดียวกับที่สื่อท้องถิ่นหลายสำนักยังรายงานว่า ที่นครย่างกุ้งแห่งเดียว มีการฌาปนกิจเผาศพผู้เสียชีวิตวันละกว่า 1,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ ก็มีนักโทษในเรือนจำอินเซง ผู้ที่เคยออกไปประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยด้วย

อย่างไรก็ตาม ‘จอ โม ตุน’ ทูตเมียนมาประจำองค์การสหประชาชาติ ขอให้สหประชาชาติ (UN) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะมนตรีความมั่นคง ให้จัดตั้งกลไกการตรวจสอบเพื่อให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกล่าวด้วยว่า ท่ามกลางกระแสโจมตีรัฐบาลทหารเมียนมามีการเลือกปฏิบัติเรื่องการช่วยเหลือ

เนื่องจากที่ผ่านมาเมียนมาสั่งซื้อวัคซีน 4 ล้านโดสจากจีนเมื่อต้นเดือน และได้รับการบริจาคจากอินเดีย 1.5 ล้านโดสเมื่อต้นปี ขณะที่จีนบริจาควัคซีนซิโนฟาร์มเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เน้นไปที่กลุ่มคนตามแนวชายแดนจีน-เมียนมาเป็นหลักก่อน ซึ่งยังไม่รวมที่จีนจะบริจาคให้เพิ่มอีก 2 ล้านโดส จนถึงขณะนี้มีประชาชนราว 1.75 ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับวัคซีน

และก่อนหน้านี้กลุ่มแพทย์ไร้พรมแดนและสหประชาชาติ(UN) แสดงความกังวลด้วยว่า จากการที่เมียนมาฉีดวัคซีนครบโดสให้ประชากรได้เพียง 2.8 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับการลุกลามของเชื้อกลายพันธุ์เดลตา อาจส่งผลให้เมียนมากลายเป็นประเทศ ‘ซุปเปอร์สเปรดเดอร์’ ในเวลาไม่ช้า!

โดยทั้งนี้ จากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการระบุว่า ยอดติดเชื้อสะสมของเมียนมาอยู่ที่ 289,333 คน เสียชีวิตรวม 8,552 คน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มหันตภัยระลอกใหม่ในสหรัฐฯ!! เมื่อคลื่น ‘เดลตา’ พัดถล่ม 50 รัฐ ใน ‘เมกา’ แม้ฉีดวัคซีนค่อนประเทศ​ แต่​ 'การ์ดตก’ ก็ต้องจิตตกต่อไป I Knowledge Times EP.6

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘KnowledgeTimes’ I EP.6

????มหันตภัยระลอกใหม่ในสหรัฐฯ!!

เมื่อคลื่น ‘เดลตา’ พัดถล่ม 50 รัฐ ใน ‘เมกา’ แม้ฉีดวัคซีนค่อนประเทศ​

แต่​ 'การ์ดตก’ ก็ต้องจิตตกต่อไป

คลื่นโควิดระลอกใหม่​ กำลังจะเขย่าสหรัฐอเมริกา

สถานการณ์ในสหรัฐฯ​ เริ่มน่ากังวลขึ้นหลังจากอัตราการฉีดวัคซีนที่เริ่มชะลอตัว​ จากข่าวเฟกนิวส์เรื่องผลกระทบวัคซีนที่ทำให้ประชาชนบางส่วนชะลอการเข้ารับวัคซีน

รายงานจากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่าภาพรวมของคนสหรัฐฯ​ ราว 56.2% มีการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส​ โดยประชากรวัยผู้ใหญ่เกือบ 65% ฉีดวัคซีนครบแล้ว

แต่ที่น่ากังวล​ คือ​ อัตราการฉีดวัคซีนในประชากรผิวสีอายุต่ำกว่า 45 ปี มีเพียงราว ๆ 25% เท่านั้น ซึ่งกลุ่มนี้ล้วนเป็นคนงานในโรงพยาบาลรัฐที่มีสัดส่วนถึง 45%

ขณะที่ เคสผู้ติดเชื้อในนิวยอร์ก เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ โดยกว่า 70% ของผู้ติดเชื้อเป็นสายพันธุ์เดลตา​ และเริ่มพบโควิดสายพันธุ์เดลตาครบทั้ง 50 รัฐ​

สาเหตุสำคัญมาจาก​ ประชาชนในสหรัฐ​ เริ่มกลับมา ‘การ์ดตก’​ มีการถอดหน้ากาก และคนที่ยังไม่รับวัคซีนก็เนียนถอดหน้ากากผสมโรง

ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในช่วง 2 สัปดาห์ โรงพยาบาลกลับสู่ภาวะตึงเครียด แพทย์และพยาบาลอ่อนแรง

โดยทั่วทั้งสหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในช่วง 2 สัปดาห์หลังสุด จากค่าเฉลี่ย 7 วัน ยอดผู้ติดเชื้อขึ้นไปแตะระดับ 37,000 คน ในวันที่ 20 ก.ค. เพิ่มขึ้นจาก วันที่ 6 ก.ค. ที่เคยอยู่ในระดับไม่ถึง 13,700 คน

หลายๆ​ รัฐพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น​ ไม่ว่าจะในลุยเซียนา ที่พบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันถึง 5,388 คน ในวันที่ 21 ก.ค. ซึ่งถือเป็นจำนวนรายวันสูงที่สุดอันดับ 3 นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด และผู้ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นมามากกว่า 600 ราย นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายน

ในส่วนของยูทาห์ มีผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 295 ราย สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และมีค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อรายใหม่ 622 คนต่อวัน เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในช่วงต้นเดือนมิถุนายนถึง 3 เท่า

ในขณะที่มหานครเอกของโลกอย่างนิวยอร์ก ซิตี้​ ก็น่ากังวล​ เพราะท่ามกลางการแพร่ระบาดหนักของสายพันธุ์เดลตา แต่จำนวนผู้รับวัคซีนกลับสวนทางกันลดต่ำลงมาเหลือไม่ถึง 18,000 เข็มต่อวัน จากเคยสูงสุดกว่า 100,000 เข็ม ในช่วงต้นเดือนเมษายน

ด้านรัฐเท็กซัส​ เอง​ ทางผู้ว่าการรัฐฯ​ ก็ตัดสินใจไม่บังคับใช้มาตรการสวมหน้ากากอนามัยใหม่ทั่วรัฐ แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อและผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งก็ตาม โดยมองว่านี่เป็นเวลาที่ประชาชนจะต้องรับผิดชอบตนเอง

ทั้งหมดกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความประมาทและชะล่าใจ รวมไปถึงผลกระทบจากการปล่อยข่าวบิดเบือนเกี่ยวกับวัคซีน จนทำให้อัตราผู้รับวัคซีนลดน้อยลง ส่งผลให้สหรัฐฯ ต้องกลับมาเผชิญกับภาวะวิกฤติของการแพร่ระบาดโควิด-19 อีกครั้ง หลังจากการประกาศชัยชนะต่อโควิด-19 ในวันชาติสหรัฐ ได้เพียงไม่นาน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ไขชนวนศึก 3,000 ปี !! มูลเหตุล้างเผ่าพันธุ์ยิว ก่อนคริสตกาล... I Knowledge Times EP.5

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? ไขชนวนศึก 3,000 ปี !! มูลเหตุล้างเผ่าพันธุ์ยิว ก่อนคริสตกาล...

เดิม “ยิว” เป็นชนเผ่าที่ทางมานุษยวิทยาเรียกว่า “ฮีบรู” ชาวยิวอาศัยอยู่ในดินแดนแถบตะวันออกกลางในบริเวณอียิปต์ไปจนถึงแถบประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน 

การเกลียดชังชาว “ยิว” แท้จริงแล้วหยั่งรากลึกมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล ไม่ว่าชาวยิวไปอยู่ที่ไหน ก็มักจะถูกต่อต้านเสมอ ด้วยสาเหตุที่เกิดจากความเกลียดชังบนความแตกต่าง ทั้งด้านแนวคิด ศาสนา เชื้อชาติ จนทำให้เกิดชนวนศึก ที่ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว !! 

สาเหตุแรก เมื่อสมัยก่อนคริสตกาลเกือบ 1,000 ปี เวลานั้นศาสนาที่เป็นที่นิยมนับถือในแถบกรีก และโรมัน เป็นศาสนาแบบ ‘เทวนิยม’ คือการนับถือพระเจ้าหลายองค์ เช่น เทพซุส เทพโพไซดอน เทพอะพอลโล เป็นต้น และเมื่อศาสดาอับราฮัมบังเกิดขึ้น ทำให้ ‘ศาสนายูดาห์’ ของชาวยิว จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่นับถือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว 

มูลเหตุนี้ทำให้ขัดกับความคิด ความเชื่อของชาวกรีกและชาวโรมันในยุคนั้น ที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ ช่วงประมาณ 670 ปีก่อนคริสตกาล ชาวยิวจึงถูกขับดัน เป็นเหตุการณ์ที่ยิวถูกขับไล่ออกไปครั้งแรก จนต่อมาช่วง ค.ศ. 70 ยิวก็ได้ถูกโรมันขับไล่ออกมาจนหมดสิ้นจากดินแดนตะวันออกกลาง 

สาเหตุต่อมาในยุคที่พระเยซูถือกำเนิดขึ้น ในช่วงที่ศาสนาคริสต์ยังเป็นศาสนาต้องห้าม จนถึงประมาณปี ค.ศ. 300 องค์การมิลานประกาศให้ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาประจำราชสำนักโรมัน ที่เรียกว่า ‘คริสตจักรโรมันคาทอลิก’ และเหตุการณ์นี้เป็นนัยที่ 2 ที่ฝังเข้าไปในจิตใจของชาวตะวันตกอย่างมาก 

โดยเฉพาะผู้นับที่นับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากชาวยิวต่อต้านพระเยซู ชาวยิวจึงไปปลุกปั่น และสมรู้ร่วมคิดกับทหารโรมัน จนเป็นเหตุที่ทำให้พระเยซู โดนตรึงไม้กางเขน ชาวตะวันตกจึงตราหน้าว่า ‘ยิวเป็นผู้ทรยศที่ฆ่าพระเยซู’ 

สาเหตุที่สาม ต่อมาราว ๆ ค.ศ. 1000 เกิดไข้ดำระบาด หรือ “กาฬโรค” ระบาดทั่วยุโรปครั้งใหญ่ !! เมื่อเกิดภัยพิบัติโรคระบาดเช่นนี้ จึงต้องมีการหาแพะ ? และเนื่องจากความไม่ชอบของชาวยุโรปนั้นมีอยู่แล้ว ก็เป็นการง่ายในการกล่าวหาคนกลุ่มน้อยอย่างชาวยิว โดยมีการกล่าวหาว่าชาวยิวได้วางยาพิษใส่ในน้ำพุ ซึ่งเป็นน้ำพุประจำเมืองที่ทุกคนสามารถไปใช้หรือดื่มได้ ทำให้ชาวยิวถูกจับมาขังรวมในอาคารไม้ แล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น จนชาวยิวกว่า 2,000 คน ถูกแขวนคอ และถูกฆ่าตายในเมือง Strasbourg เพราะการระบาดของไข้ดำครั้งนี้ เชื่อว่าเกิดจากฝีมือของชาวยิว

สาเหตุต่อมา ในยุคแรกที่เกิดการธนาคารขึ้นมา ยิวได้เรียนรู้ทำอาชีพแลกเปลี่ยนเงินตรา เกิดกิจการธนาคารรับฝากเงิน เกิดอัตราการคิดดอกเบี้ย แต่ดันขัดกับหลักศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน และชาวคริสต์เองก็ไม่ยินยอมการปล่อยเงินกู้ที่คิดดอกเบี้ย เพราะถือว่าเป็นการรีดผู้เดือดร้อน แต่สิ่งนี้เองทำให้อำนาจและอิทธิพลทางการเงินของชาวยิว เพิ่มขึ้นจนแผ่ขยายครอบคลุมเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ รวมถึงเยอรมนีด้วย

และสาเหตุสุดท้าย นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดจากความเกลียดชังจนนำไปสู่การทำลาย และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุด โดยเยอรมนีมีความเชื่อว่าตนเป็นผู้ที่มีชาติพันธุ์อารยันที่มีคุณค่าเหนือกว่าใคร และถือว่ายิวเป็นชนกลุ่มน้อยที่จะต้องถูกกำจัด ซึ่งจากสาเหตุนี้ รวมไปถึงสาเหตุของอิทธิพลทางเศรษฐกิจข้างต้น จึงเป็นเหตุที่ทำให้ชาวยิวถูกกำจัดอย่างรุนแรงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จากเหตุการณ์สังหารหมู่ “ฮอโลคอสต์”

ซึ่งนาซีเยอรมนี โดยมีผู้นำคือ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ฆ่าชาวยิวประมาณ 6 ล้านคน คิดเป็นสองในสามของประชากรยิวในทวีปยุโรป เหตุการณ์นี้นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สุดของโลก และมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

จากเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องกลับมาคืนถิ่น เป็นขบวนการที่เรียกว่า ‘ไซออนิสต์’ เป็นการเข้ามาขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่ นับเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนจนถึงทุกวันนี้ และก็ยิ่งเติม ความเกลียดชังชาวยิว ในหมู่ชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นไปอีก 

นี่ก็คือประวัติศาสตร์ของชนชาติหนึ่ง ที่ถูกเกลียดชังมาเป็นระยะเวลา 2 - 3 พันปี นับจากที่โรมันเข้ามาขับไล่ชาวยิวออกจากดินแดนปาเลสไตน์และอิสราเอลในปัจจุบันนั่นเอง 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

แผนล้มจีน!! เมื่อเหล่ามหาอำนาจเก่า ปั้นเกมสกปรก ยก “Western Values” ยื้อความก้าวหน้าของ ‘จีน’ แต่สุดท้าย 'ไร้ผล' I Knowledge Times EP.4

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? แผนล้มจีน!! เมื่อเหล่ามหาอำนาจเก่า ปั้นเกมสกปรก ยก “Western Values” ยื้อความก้าวหน้าของ ‘จีน’ แต่สุดท้าย 'ไร้ผล'

ประเทศจีนในปัจจุบัน ถือเป็นประเทศที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทและมีอำนาจอย่างมากในเวทีโลก จากการพัฒนาตนเองรอบด้าน ไม่ว่าจะในแง่ของความมั่นคงทางอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ ภายใต้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ

สร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวย และความแข็งแกร่งที่มากพอจะก้าวออกสู่แผนที่โลก เพื่อต่อยอดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศ 

โดยจีนเริ่มยุทธศาสตร์การแผ่ขยายอำนาจเข้าไปในหลายพื้นที่ของแผนที่โลก ผ่านโครงการเชื่อมแผ่นดิน ทั้งทางบก ที่มี Belt and Road Initiative หรือเส้นทางสายไหมใหม่เป็นใบเบิกทาง หรือแม้แต่ String of Pearls โครงการที่มีจุดมุ่งหมายขยายอำนาจไปทั่วน่านน้ำมหาสมุทร

แน่นอนว่า การพัฒนาและแผ่ขยายอำนาจของจีน ดูจะไม่ถูกใจฝั่งชาติมหาอำนาจตะวันตกเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร

การ “แก้เกม” จึงเริ่มเห็นได้ชัดว่า ในช่วงระยะหลัง เหล่าบรรดาชาติตะวันตก ได้ร่วมโจมตีไปที่แกนกลางอำนาจของจีน ซึ่งก็คือ “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” บ่อย ๆ 

โดยใช้อาวุธสำคัญที่เรียกว่า “Western Values” หรือการอวดอ้างคุณค่าของความเป็นชาติตะวันตก จากการที่มีประชาธิปไตย ความหลากหลายของพรรคการเมือง สิทธิมนุษยชน และการค้าเสรีในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมยัดเยียดว่าจีนคือประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและระเบียบโลก

ตัวอย่าง “Western Values” ที่ถูกนำมาใช้โจมตีประเทศจีนที่เห็นได้ชัดนั้น มีตั้งแต่การโจมตีระบอบสังคมนิยม ว่าขัดต่อหลักการประชาธิปไตย สังเกตได้จากการพยายามตีเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนผ่าน อุยกูร์ ทิเบต และซินเจียง ก็ดี 

หรือแม้แต่การโจมตีเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่จีนมักถูกอ้างว่าลอกเลียนเทคโนโลยีจากชาติตะวันตกบ่อย ๆ 

แม้ “Western Values” จะดูเป็นแผนการณ์ที่ดูสกปรก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จีนดูเลวร้ายในสายตาชาวโลก

แต่นั่นก็ไม่ได้กระทบ ต่อการพัฒนาและขยายอำนาจของจีนเลยแม้แต่น้อย 

นั่นก็เพราะ ฐานการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนใหม่ มีการปรับปรุงและพัฒนาจีนอย่างรอบด้าน ภายใต้การเรียนรู้ว่า โลกในปัจจุบันมีทั้งความหลายหลายและการเปลี่ยนแปลง การทำให้คนเท่าเทียมโดยใช้ระบบการวางแผนจากส่วนกลางแบบเดิม ๆ ของพรรคนั้น ไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป

ฉะนั้น พรรคคอมนิวนิสต์จีน จึงมีการนำ "ระบบทุนนิยม" เข้ามาปรับประยุกต์กับประเทศ โดยใช้พลังจากภาคเอกชนที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ มาแก้ปัญหาความยากจน พร้อมทั้งนำ "ระบบสังคมนิยม" มาแก้ปัญหาและรับฟังประชาชนอย่างทั่วถึง

อีกทั้ง จีนยังถอดบทเรียนจากข้อผิดพลาดในอดีตและนำมาแก้ไข ทำให้มีการยกระดับพัฒนาสังคมจีนขนานใหญ่ เศรษฐกิจก้าวหน้า คนจนค่อย ๆ หมดไปจากจีน

ดังนั้น การที่วันนี้ชาติมหาอำนาจตะวันตก พยายามโจมตีจีนด้วยการนำคุณค่าจาก ความเป็น “Western Values” มาใช้บ่อยครั้ง จึงดูไร้ความหมาย

ซ้ำร้าย ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความล้าหลังของชาติตะวันตก ที่วันนี้ไม่สามารถวัดพลังกับจีนได้ตรง ๆ หากแต่ทำได้แค่มองพัฒนาการและการแผ่ขยายอำนาจของจีนแบบตาปริบ ๆ

เป็นหนามยอกใจ ที่ใช้วิธีไหน ก็ถอนไม่ออกเสียที... 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'พินตัวตัว'​ แอปฯ​ ซื้อขายออนไลน์ตัวฉกาจ!! ผู้เขย่าบัลลังก์​ Alibaba​ ดึงความนิยมด้วยแนวคิด​ 'ฆ่าพ่อค้าคนกลาง'​ | Knowledge Times EP.3

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’ I EP.3
???? 'พินตัวตัว'​ แอปฯ​ ซื้อขายออนไลน์ตัวฉกาจ!! 
ผู้เขย่าบัลลังก์​ Alibaba​ ดึงความนิยมด้วยแนวคิด​ 'ฆ่าพ่อค้าคนกลาง'​

การค้าขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ดุเดือดขึ้นอีกครั้ง​ หลังจาก​ “พินตัวตัว” (Pinduoduo) แอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซจีน​ กลายเป็นอีกตัวเลือกใหม่ของการซื้อขายออนไลน์​ ด้วยจุดเด่นในการขจัดทุนผูกขาดอำนาจพ่อค้าคนกลาง 

“พินตัวตัว” เป็นแอปฯ​ ซื้อขายสินค้าออนไลน์​ ที่เริ่มต้นนำเสนอกลุ่มสินค้าด้านการเกษตรเป็นหลัก...ถูกออกแบบโดย Colin Huang (โคลิน หวง) หรือหวงเจิง​ ซึ่งเกิดที่เมืองหางโจว เมืองเดียวกับ Jack Ma เจ้าของอาณาจักร ALEBABA และเขาก็เคยทำงานให้กับบริษัท Google และเคยเป็นผู้พัฒนาเกมมาก่อน

หวง ออกแบบ “พินตัวตัว” ขึ้นมา​ ภายใต้กลยุทธ์​ “Group Buy” หรือ 'การซื้อสินค้าเป็นกลุ่ม'​ ซึ่งพัฒนามาจากเทรนด์การซื้อสินค้าที่เรียกว่า​ Social​ Shopping​ หากยิ่งซื้อมากเท่าไหร่ จะได้สินค้าในราคาที่ถูกลงเท่านั้น เป็นแนวคิดดี ๆ​ ที่ช่วยให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ในราคาที่ประหยัดมากขึ้น 

นอกจากนี้​ 'พินตัวตัว'​ ยังใช้โมเดลการประชาสัมพันธ์แพลตฟอร์ม​ โดยกระตุ้นให้กลุ่มผู้ซื้อแนะนำสินค้าต่อไปยังกลุ่มเพื่อนหรือคนใกล้ตัวผ่านวีแชท (Wechat) เพื่อให้ได้ส่วนลดพิเศษสำหรับไว้ใช้ซื้อสินค้านั้น ๆ​ อีกด้วย

การเข้ามาในตลาดนี้ของ​ “พินตัวตัว” เป็นการอาศัยช่องว่างของยักษ์ใหญ่อย่าง ALIBABA และ JD.com ที่เน้นเจาะแต่กลุ่มชนชั้นบน และชนชั้นกลางในจีน 

โดย “พินตัวตัว” จะเลือกเจาะไปที่กลุ่มชนชั้นล่าง​ (คนจนมาก) ซึ่งมีสัดส่วนถึง 65% ของประเทศจีน !! ในขณะที่ตลาดที่ Alibaba แข่งกับ JD.com นั้นมีสัดส่วนเพียง 35% เท่านั้น

แต่อีกจุดที่น่าสนใจต่างจาก ALIBABA และ JD.Com คือ​ 'การตัดอำนาจตัวกลาง'​ ทิ้งไป​ ต่างจากทั้ง​ 2​ ที่มีระบบตัวกลางเรียกเก็บค่าบริการ เนื่องจากต้องมีโรงเก็บสินค้า ทำให้มีการเก็บค่าวางสินค้าในแพลตฟอร์มนั้น ๆ

ความน่ากลัวของ “พินตัวตัว” กับการตัดอำนาจตัวกลางการจำหน่ายสินค้า​ หรือ​ '​ฆ่าพ่อค้าคนกลาง'​ บนโลกอีคอมเมิร์ซนั้น​ อยู่ที่การปล่อยให้ผู้ซื้อและผู้ขาย สามารถติดต่อกันได้โดยตรง แบบไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง สร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง บนรูปแบบการช้อปปิ้งที่มีโมเดล​ 'Group Buy'​ มาเป็นตัวกระตุ้น

ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภค​ 'ตลาดระดับล่าง'​ ของจีน​ หันมาสนใจซื้อสินค้าออนไลน์จาก “พินตัวตัว” มากขึ้น ทั้งสินค้าอุปโภคในชีวิตประจำวัน, สินค้าประเภทอาหาร, ขนมขบเคี้ยว และผลไม้ เป็นต้น เนื่องจากสินค้ามีราคาดีกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ ​จนทำให้แอปพลิเคชันได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว... 

รวดเร็วจนถึงขั้น...ก้าวขึ้นมาเป็นอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มเบอร์ 2​ รองจาก​ Taobao ของ​ Alibaba และแซงหน้า​ JD.Com ไปเป็นที่เรียบร้อย​และไม่แน่ว่า​ในอนาคตแอปฯ “พินตัวตัว” อาจจะสามารถขึ้นแท่นเป็นที่อันดับ 1 แทน ALIBABA ก็เป็นได้...

ปัจจุบัน​ 'พินตัวตัว'​ มีเกษตรกรถึง 6 แสนราย ที่ใช้พื้นที่นี้ในการจำหน่ายสินค้า และกลายเป็นที่รักของนักชอปออนไลน์ ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 2-3 ร้อยล้านคน 

โดยคาดกันว่า​ ในอนาคตอันใกล้​ อาจจะไม่ได้มีเพียงแต่สินค้าการเกษตรเท่านั้นที่อยู่ใน​ 'พินตัวตัว'​ แต่อาจจะได้เห็นสินค้า/บริการที่หลากหลาย​ หรือแบรนด์เนมราคาแพงมาลงในแพลตฟอร์มนี้อีกด้วย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“จีน” รุกคืบ​อินโดแปซิฟิก เปิดศึกเกมชิงบัลลังก์มหาสมุทรจากสหรัฐอเมริกา I Knowledge Times EP.2

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? “จีน” รุกคืบ​อินโดแปซิฟิก เปิดศึกเกมชิงบัลลังก์มหาสมุทรจากสหรัฐอเมริกา

เมื่อความคาดหวังของจีนไม่ได้หยุดแค่ความมั่นคงของประเทศ แต่คือการก้าวเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทร อันดับ 1 ของโลก !!

สำหรับประเทศจีนแล้ว การป้องกันประเทศ​ ด้วยการแสดงแสนยานุภาพทางทะเล​ อาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่การเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทร​ น่าจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริง ที่จะรับประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของจีนได้มากกว่า 

ปัจจุบันจีนมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ สามารถอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง แต่การแผ่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ​ จำเป็นต้องหาจุดยุทธศาสตร์สำคัญแล้วเข้าไปตั้งมั่นให้ได้

และแน่นอนว่า เป้าหมายที่จีนหมายตา​ คือ​ เส้นทางลำเลียงวัตถุดิบ อีกทั้งยังเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญที่หลายประเทศมหาอำนาจหมายปอง อย่าง 'อินโด-แปซิฟิก'​

ซึ่ง​หากใครมีอำนาจเหนือน่านน้ำอินโดแปซิฟิกได้ ก็จะทำให้ประเทศนั้น ๆ มีทั้งอำนาจและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพราะครอบคลุมอาณาบริเวณตั้งแต่​ ชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย ไปถึงชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ขยายแผ่คลุมเอเชียตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินเดียและเอเชียใต้, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิก

แน่นอนว่า​ นี่คือสมรภูมิทางยุทธศาสตร์โลกที่น่าสนใจ​ โดยแต่แรกเริ่ม ทางสหรัฐฯ​ ที่มีอำนาจครอบคลุมเหนือน่านน้ำทั่วทวีปอเมริกาอยู่แล้ว​ ก็มีเป้าหมายใหญ่​ขึ้นไปอีก​ ซึ่งหมายจะควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจของทั้งโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์​ The Great Power​ ซึ่งมีการแผ่ขยายอำนาจมาถึงอินโดแปซิฟิก ส่งผลให้สหรัฐฯ​ มีอำนาจเหนือน่านน้ำอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้เอง จีนที่แทบจะไม่มีอิทธิพลเหนือน่านน้ำนี้ จึงต้องแก้เกม ด้วยการคิดโครงการ String of Pearls ขึ้น เพื่อรุกคืบเข้าไปแทรก The Great Power ของสหรัฐฯ

โดยในสาระสำคัญของโครงการ String of Pearls นั้น​ น่าจับตาอย่างมาก​ เพราะจีนใช้วิธีการแทรกซึมเข้าไปถึงแอฟริกาตะวันตก ที่มีชายฝั่งสำคัญ คือ มหาสมุทรแอตแลนติก จากนั้นก็ได้แทรกซึมไปถึง นามิเบีย และมอริเชียส 

การเข้าไปในครั้งนี้ จีนได้พยายามติดต่อรัฐบาลต่าง ๆ รวมถึงสร้างความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งขอสร้างท่าเรือในบริเวณนั้น ๆ​ อีกด้วย ซึ่งโครงการนี้เองเรียกได้ว่าเป็นการแทรกซึม​ เพื่อหวังเข้ามาแทนที่มหาอำนาจเดิมอย่างสหรัฐฯ ซึ่งถ้าจีนเข้าไปได้สำเร็จ สิ่งนี้จะสะเทือนไปถึงสหรัฐฯ​ อย่างแท้จริง และนี่ก็คืออีกศึกระหว่าง 2 มหาอำนาจทางนาวา ที่น่าจับตา ต้องดูกันต่อไปถึงการแก้เกมระหว่าง​ 2​ ยักษ์ที่น่าสนใจจริง ๆ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

10 ปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย !! ผู้รุกรานทางทะเลในถิ่นแดนมังกร ปมแผลลึก 'ปลุกจีน' ฮุบมหาอำนาจทางทะเล I Knowledge Times EP.1

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’

???? 10 ปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย !! ผู้รุกรานทางทะเลในถิ่นแดนมังกร 
ปมแผลลึก 'ปลุกจีน' ฮุบมหาอำนาจทางทะเล

เมื่อกองเรือไม่ใช่แค่อำนาจทางการทหารอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ประกันทางด้านความปลอดภัย ของเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ

และนี่คืออีกวิธีการของจีน ที่จะนำมารักษา เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ  

โดยในปี 2050 หรืออีก 30 ปี จีนมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นมาเป็น Navy Supremacy หรือ มหาอำนาจทางกองทัพเรือ ที่พร้อมเขี่ยให้สหรัฐฯ ตกขอบ และชูกองเรือของจีน ให้ก้าวขึ้นมาป็นอันดับ 1 ที่มีอำนาจสูงสุดทางทะเล 

ทำไมจีนถึงคิดแบบนี้ ?

เรื่องนี้มีเหตุมาจากรอยแผลในอดีตของแดนมังกร

เพราะจีนได้รับความเจ็บปวดจากสงครามฝิ่น ทั้ง 2 ครั้ง จากการเข้ามาของชาติตะวันตก ทั้งจากประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส ที่เข้ามาปิดล้อมประเทศจีนด้วยกองเรือ สร้างความเสียหายมากมายหลายด้านให้แก่จีน 

ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็เดินทางเข้ารุกรานทางทะเลและทำการยึดครองจีน 

เช่นเดียวกัน ในการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกในไต้หวัน / สหรัฐฯ ได้ส่งเรือขนเครื่องบินเข้ามาเกาะใต้หวัน ซึ่งถือว่าเป็นความอัปยศทางการทหารของจีน

สังเกตให้ดีว่า 'บาดแผลทั้งหมด' ล้วนเกิดขึ้นจากการถูกรุกรานทางทะเล 

ดังนั้น จีนจึงแก้เกมด้วยการ เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมเรือรบ ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากรัสเซีย และเร่งการผลิต เพื่อที่จะช่วยลดช่องว่างอำนาจทางทะเล / ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ให้น้อยที่สุด

นอกจากกองเรือแล้ว สิ่งที่จีนคิดต่อ คือ การเร่งป้องกันชายฝั่ง เพื่อป้องกันชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างขีปนาวุธ ที่วางเป็นโดมเหล็กไว้ป้องกันชายฝั่งของจีน 

ซึ่งล่าสุด จีน ได้สร้างขีปนาวุธพิสัยกลาง ที่ครอบคลุมการป้องกันไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้บริเวณเกาะกวม ที่เรียกได้ว่าเป็นพรมแดนสุดท้ายสหรัฐฯ 

และดูเหมือนว่าจีนจะสามารถตัดกำลังบำรุงของสหรัฐฯ ได้จากบริเวณนี้ 

นโนบายเหล่านี้ เป็นเพียงก้าวแรกของจีน ที่สร้างขึ้นเพื่อความมั่นคงของประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ระดับจีนแล้ว เมื่อคิดทำการณ์ใหญ่ใด ย่อมคิดไกลมากกว่าที่เคย

ฉะนั้น ในส่วนของอำนาจทางทะเล ที่จีนคิดในปี 2050 เพื่อเป็น Navy Supremacy จึงไม่น่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่จะไปตามแผนแค่ไหน เรื่องนี้ต้องตามดูกันต่อไป...


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top