Friday, 29 March 2024
INTERNATIONAL

ASEAN SHOLARSHIPS AY 2022 ทุนรัฐบาลสิงคโปร์ ระดับมัธยมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2022 เปิดรับสมัครแล้ว!!

สำหรับประเทศไทย ทุนนี้แบ่งให้เข้าสอบเพื่อเรียนต่อ 2 ระดับชั้นคือ เรียนต่อ Secondary 3 และ Pre-University One

ระดับ Secondary 3

เป็นทุนให้เปล่า 4 ปี เข้าเรียนชั้น Secondary 3 - 4 แล้วสอบ GCE O-level และต่อ Junior College อีก 2 ปี แล้วจึงสอบ GCE A-Level เพื่อเอาผลไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป

กำหนดการ

- เปิดรับสมัคร 18 มี.ค. 2564 - 16 พ.ค. 2564

- สอบช่วงกลางเดือน ก.ค. 2564 และประกาศผลสอบ เดือน ก.ย. 2564

- หากได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เดือน ตุลาคม 2564

คุณสมบัติผู้สมัครระดับ Secondary 3

- ถือสัญชาติไทย

- เกิดในช่วงปี ค.ศ. 2005 - 2007 (พ.ศ. 2548 - 2550)

- มีเกรดเฉลี่ยในระดับ ม. 1 และ ม. 2 หรือ ระดับ ม. 2 และ ม.3 ไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีผลการเรียนดีอย่างต่อเนื่อง

- มีทักษะภาษาอังกฤษดี และมีประวัติการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียน

สิ่งที่จะได้รับจากทุนคร่าว ๆ

1.) ค่าใช้รายปีและจัดหาที่พักพร้อมดูแลค่าใช้จ่ายให้

2.) ค่าตั้งรกราก ให้สองครั้ง ให้ครั้งที่ 2 เมื่อขึ้นระดับ Pre-U1

3.) ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชั้น economy

4.) ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนต่างๆ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวเบ็ดเตล็ด)

5.) ค่าสอบ วัดผล GCE O-Level และ A-Level (อย่างละครั้งเดียว)

6.) เงินช่วยค่ารักษาพยาบาลและประกันอุบัติเหตุ

ระดับ Pre-University One

เป็นทุนให้เปล่า 2 ปี เข้าเรียนชั้น Junior College 1 - 2 (เทียบประมาณ ม.5 - 6) แล้วจึงสอบ GCE A-Level เพื่อเอาผลไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป

กำหนดการ

- เปิดรับสมัคร 18 มี.ค. 2564 - 16 พ.ค. 2564

- สอบช่วงกลางเดือน ก.ค. 2564 และประกาศผลสอบ เดือน ก.ย. 2564

- หากได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เดือน มกราคม 2565

คุณสมบัติผู้สมัครระดับ Pre-University One

- ถือสัญชาติไทย

- เกิดในช่วงปี ค.ศ. 2003 - 2004 ( พ.ศ. 2546 - 2547)

- มีเกรดเฉลี่ยในระดับ ม. 3 และ ม.4 หรือ ระดับ ม. 4 และ ม.5 ไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีผลการเรียนดีอย่างต่อเนื่อง

- มีทักษะภาษาอังกฤษดี และมีประวัติการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียน

สิ่งที่จะได้รับจากทุนคร่าวๆ

1.) ค่าตั้งตัวช่วงปีแรก (ให้ครั้งเดียว)ลค่าใช้จ่ายให้

2) ค่าตั้งตัวช่วงปีแรก (ให้ครั้งเดียว)

3.) ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชั้น economy

4.) ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนต่างๆ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวเบ็ดเตล็ด)

5.) ค่าสอบ GCE A-Level (ครั้งเดียว)

6.) เงินช่วยค่ารักษาพยาบาลและประกันอุบัติเหตุ การสอบจะผ่านการพิจารณาจากใบสมัครเป็นหลักก่อน โดยจะแจ้งอีเมลกำหนดการเข้าสอบให้กับผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าสอบเท่านั้น โดยปกติจะแจ้งก่อนสอบไม่นาน ประมาณ 1-3 สัปดาห์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครออนไลน์: https://www.moe.gov.sg/financial-matters/awards-scholarships/asean-scholarships/thailand

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม: https://www.moe.gov.sg/contact


ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/groups/citu.cio.future/permalink/2121009288035882/

ห้ามพลาด!! UPDATE ทุนที่กำลังเปิดรับสมัครในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2564 สนใจทุนไหน กดตามลิงค์ได้เลย

✅ ทุน TEA ทุนสัมมนา/พัฒนาวิชาชีพ สำหรับครูมัธยม วิชาภาษาอังกฤษ คณิตฯ วิทย์ฯ สังคม 6 สัปดาห์ ในสหรัฐอเมริกา เดินทาง กันยายน 2022

ปิดรับสมัคร 31 มีนาคม 2021 (เวลา 14.00 น. ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022tea/

✅ ทุน TGS ทุนเรียนต่อป.โท / ป.เอก 2 ปี ในสหรัฐอเมริกา เดินทาง สิงหาคม 2022

ปิดรับสมัคร 22 เมษายน 2021 (เวลา 17.00 น. ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022-tgs/

✅ ทุน HHH ทุนอบรม/ฝึกงาน ส่งเสริมความเป็นผู้นำ สำหรับผู้บริหารระดับกลาง อายุ 30-55 ปี ในองค์กรรัฐ/เอกชน/รัฐวิสาหกิจ ประสบการณ์ทำงาน 5 ปีขึ้นไป 10 เดือน ในสหรัฐอเมริกา เดินทาง สิงหาคม 2022

ปิดรับสมัคร 24 พฤษภาคม 2021 (เวลาเที่ยงวัน ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022-hubert-h-humphrey-fellowship-program/

✅ ทุน FLTA ทุนสอนภาษาไทยให้นักศึกษาอเมริกันระดับอุดมศึกษา และพัฒนาทักษะความสามารถในการสอนภาษาสำหรับครูมัธยมปลาย รร.รัฐ / อาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนวิชาภาษาอังกฤษ อายุไม่เกิน 35 ปี 9 เดือน ในสหรัฐอเมริกา เดินทางสิงหาคม 2022

ปิดรับสมัคร 7 มิถุนายน 2021 (เวลาเที่ยงวัน ประเทศไทย)

http://www.fulbrightthai.org/programs/2022-flta-program/


ที่มา: https://www.facebook.com/FulbrightThailand/posts/10158072571127308

EDEX-Education Experts ให้คำปรึกษาและแนะแนวการไปเรียนต่อสหราชอาณาจักร ที่ทำขึ้นมาด้วยใจรักและต้องการช่วยเหลือคน สร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อ ผ่าน “ที่ปรึกษา” ผู้เชี่ยวชาญ

เพราะมีความเชื่อในปรัชญาที่ว่า “Knowledge is power” หรือ “การศึกษาคือพลัง” คืออำนาจชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จนเป็นรากฐานของความสำเร็จ ทั้งยังเป็นการลงทุนดีที่สุดในชีวิต

จึงทำให้สองพี่น้องครอบครัว “สกุลตั้งไพศาล” จับมือกันเปิด “ แพลตฟอร์มให้คำปรึกษาและแนะแนวการไปเรียนต่อสหราชอาณาจักร” เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อหรือเพิ่มพูนต่อเติมความรู้ของตัวเอง อันเสมือนเป็นการสร้างถนนไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

การเดินทางไปเรียนในต่างประเทศ นอกจากเป็นเรื่องลำบากยุ่งยาก สำหรับคนที่ไม่รู้ ยังเป็นการสร้างความกดดันให้กับหลาย ๆ คน ทั้งตัวเด็กและผู้ปกครอง ผลเช่นนี้จึงทำให้ 2 พี่น้อง “ชินวัฒน์ - ศุภนิดา สกุลตั้งไพศาล” สวมบทบาทเป็น “ที่ปรึกษา” หรือ “โค้ช” รับอาสาทำหน้าที่แก้ปัญหาให้กับคนที่อยากไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ

ตั้งแต่ระดับชั้นประถม มัธยม ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา และนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก รวมถึงประชาชนคนทั่วไปที่สนใจเพิ่มเติมความรู้ โดยทั้งคู่มีหลักในการทำธุรกิจว่า “ไม่ได้เน้นเป็นธุรกิจจ๋า แต่เป็นการทำด้วยใจรักและต้องการช่วยเหลือคน”

“ชินวัฒน์” (น้องชาย) จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศอังกฤษ ระดับปริญญาตรี และปริญญาโท เกียรตินิยมทั้ง 2 ใบ จาก London School of Economics and Political Science (LSE) ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลก

ขณะที่ “ศุภนิดา” (พี่สาว) เรียนจบปริญญาตรี (เกียรตินิยมอันดับ 1) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นจึงไปต่อปริญญาโทด้านมานุษยวิทยา ที่ SOAS, University of London มหาวิทยาลัยด้านมานุษยวิทยาอันดับต้น ๆ ของโลก

“ชินวัฒน์” บอกว่า ผมเรียนในระบบอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย หลังจบชั้นประถมจากเซนต์คาเบรียล ก็ไปเรียนมัธยมในระบบอังกฤษ จึงรู้และซึมซับวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนอังกฤษเป็นอย่างดี เวลามีลูกเพื่อนคุณแม่หรือรุ่นน้องจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ มักจะมาปรึกษาขอคำแนะนำเสมอ ๆ

“นับตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ สัก 40 - 50 คนได้มั้ง จนผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งเห็นว่าไม่ควรทำฟรี แต่ควรทำเป็นธุรกิจได้แล้ว เพราะเราทำกันอย่างจริงจัง ทุ่มเทมาก ๆ ดูแลให้ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มจากศูนย์ กระทั่งเรียนจบ เพื่อให้คนที่มาปรึกษาเราได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เมื่อสำเร็จจึงเป็นความสุขใจทั้งของเรา และของคนที่มาขอคำปรึกษา นี่คือที่มาของธุรกิจ

ที่จริงแล้ว ธุรกิจที่ว่านี้ไม่ได้ตั้งเป็นรูปของบริษัท แต่เป็นลักษณะไพรเวตแบบพรีเมี่ยม ใช้ชื่อเรียกง่าย ๆ ว่า EDEX-Education Experts โดยติดต่อผ่าน LINE Official ID : @edex ที่บริการรับให้คำปรึกษา ให้คำแนะแนวทางแก่ผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อในสหราชอาณาจักรทุกระดับ”

“ไม่เฉพาะแค่เรื่องเรียนเท่านั้น ยังรวมถึงแนะนำและแก้ปัญหาสำหรับการเรียน กระทั่งเรื่องของการใช้ชีวิต และมารยาทในสังคมผู้ดีอังกฤษ พร้อมกับแนะนำเรื่องที่พัก ย่านที่อยู่อาศัยอีกด้วย”

มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง “ชินวัฒน์” บอกว่า ไม่ใช่จะเข้าได้ง่าย ๆ ยกตัวอย่าง หากเปิดรับสมัคร 50 คน จะมีคนแห่ไปสมัครถึง 700 คน และใน 700 คนนั้น เป็นคนที่มีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยระบุไว้ทุกคน เช่น เกรดจะต้องได้ 3.75 ต้องได้ A กี่ตัว วิชาไหนบ้างทุกคนจะได้ตามนี้หมด

“แต่จะเฉือนกันตรงไหน เราจะเป็น 1 ใน 50 ได้ยังไง อันนี้แหละคือกุญแจสำคัญที่จะต้องรู้ เพราะที่อังกฤษมองว่า คนที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยคือคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอ ดังนั้น ต้องรู้แล้วว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากเรียนอะไร ไม่เหมือนอเมริกาที่ปีแรกยังไม่ต้องเลือกวิชาเอก หรือวิชาหลัก แต่ที่อังกฤษต้องเลือกแล้ว

ฉะนั้น การเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่าง คุณอยากเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ยื่นสมัครเข้าเรียนเลย เขากำหนดไว้เลยว่า ถ้าใครไม่เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ในชั้นมัธยม พอระดับมหาวิทยาลัยจะไม่สามารถเรียนคณะนี้ได้”

“ข้อมูลนี้ต้องรู้ และต้องเตรียมตัวตั้งแต่มัธยม ถ้าไม่รู้ถือว่าพลาด หลายคนเครียดมาก กลายเป็นคนมีปัญหาก็มี ดังนั้น หากได้คนมาให้คำปรึกษาหรือแนะนำ เขาจะไม่เครียด และยังจะได้ในสิ่งที่อยากเรียน อยากได้ ธุรกิจของเราที่เปิดมานี้ก็เพื่อตอบโจทย์ตรงนี้ และเราไม่ได้ให้คำปรึกษาเฉพาะกับเด็กเท่านั้น แต่ยังให้คำปรึกษากับพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยว่าจะต้องทำอย่างไร”

“เริ่มตั้งแต่มานั่งคุยกันก่อน เพื่อหาความชอบร่วมกันดูว่าเด็กอยากเรียนสิ่งนี้จริงไหม หรือถูกผู้ปกครองบังคับ จะต้องช่วยกันปั้นเขาขึ้นมาอย่างไร สร้างตัวตนของเขายังไง ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องไม่โกหกในเรื่องข้อมูล ไม่บีบให้เด็กเป็นในสิ่งที่เขาไม่ใช่ และจะไม่สร้างโปรไฟล์ของเด็กแบบลวก ๆ ต้องเป็นตัวตนเขาจริง ๆ”

“นอกจากในเรื่องของการเลือกวิชา และคณะที่อยากเรียนแล้ว สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เป็นการเลือกโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมที่สุดกับผู้เรียน จะต้องมีสภาพแวดล้อม สังคมที่เหมาะสมอยู่ในย่านที่ปลอดภัย และยังต้องเป็นที่ที่สามารถเชื่อมสัมพันธ์ และสร้างเพื่อนที่ดีได้ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับอนาคต ต้องยอมรับว่าการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศของพ่อแม่บางราย ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนอย่างเดียว นอกจากวิชาความรู้แล้วยังเป็นเรื่องของคอนเน็กชั่น โดยเฉพาะครอบครัวที่ทำธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ต้องวางแผนอย่างรอบคอบและสมบูรณ์แบบ”

เพราะสังคมโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสลับซับซ้อน การแข่งขันเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางในอนาคตจึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างมีโอกาส แต่โอกาสที่ว่านั้นจะไปสู่ความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการลงทุนมองอนาคตอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และด้วยวิธีการที่เป็นระบบ ซึ่งไม่สามารถคิดเอง ทำเองได้ โดยไม่มีความรู้ คนแนะนำหรือคนให้คำปรึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเหมือนกับ 2 พี่น้องคู่นี้


ขอบคุณที่มา: https://www.prachachat.net/csr-hr/news-629012?fbclid=IwAR1AiVDIVHJdHs72D7Luk9e4iBHhEmiLQ9oM7fYqa2Ds4eZzULIdI8TS0_A

ประเทศจีน กำลังพิจารณาถอดภาษาอังกฤษ ออกจากวิชาภาคบังคับ เหตุเพราะมีการใช้งานจริงเพียงแค่ 10% ในการทำงาน เน้นให้ความสำคัญกับวิชาพลศึกษา ดนตรี และศิลปะมากขึ้น

เป็นอีกประเด็นที่นี่สนใจ ในการประชุมสองสภาของจีน

ในวันที่ 4 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา 许进 Xǔ jìn ผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ได้มีการเสนอให้ถอดภาษาอังกฤษออกจากวิชาภาคบังคับสำหรับชั้นประถมและมัธยม และให้ไปเน้นในวิชาพละ ดนตรี และศิลปะแทน

โดยให้เหตุผลว่า ภาษาอังกฤษนั้นมีการใช้งานจริงเพียงแค่ 10% ในการทำงาน อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีการแปลภาษาแบบ Real time ก็เข้ามาทลายอุปสรรคทางการสื่อสาร อันสังเกตได้จากอาชีพ ล่าม และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่น้อยลงเรื่อย ๆ

หลังจากที่ได้มีการถกเถียงกันบนโลก 微博 Wēi bó

China Youth Daily ได้ทำผลสำรวจเกี่ยวกับประเด็นนี้พบว่า มีผู้สนับสนุนสูงถึง 43% ในขณะที่ 48% เชื่อว่าภาษาอังกฤษยังจำเป็นสำหรับยุคโลกาภิวัตน์นี้

จากข้อมูลสถิติ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีผู้คนพูดมากที่สุดในโลกประมาณ 1.35 พันล้านคน ในขณะที่ภาษาจีนมาเป็นอันดับ 2 ที่จำนวน 1.12 พันล้านคน

แล้วคุณล่ะ มีความคิดเห็นอย่างไร


ที่มา : http://www.thatsmags.com/china/post/32411/lawmakers-propose-dropping-english-as-core-subject-again?fbclid=IwAR06xKKyuYCCOlnNBRFrZY8xC1MDhVuIaSD2FxkYyZKNYL_g66Iyam_SIbQ

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในงานประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ ประจำปี 2021 ในปักกิ่ง มีข้อเสนอให้มีการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ทั้งระบบ โดยจะร่นระยะเวลาการศึกษาภาคบังคับให้สั้นลงจาก 12 ปี ให้เหลือเพียง 10 ปีเท่านั้น

ข้อเสนอนี้มาจาก นาย จาง หงเหว่ย รองประธานสภาประชนชน ที่นำเสนอแผนปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาภาคบังคับใหม่ จากเดิมที่เรียนระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปี มัธยมต้น 3 ปี และมัธยมปลาย 3 ปี รวมเป็น 12 ปี ที่คล้ายการระบบการศึกษาภาคบังคับของไทย

แต่โครงการการศึกษาใหม่นี้ จะบีบระยะเวลาในชั้นประถมเหลือเพียง 5 ปี ชั้นมัธยมต้น 3 ปี และชั้นมัธยมปลายก็จะเหลือเพียง 2 ปี เป็น 10 ปี

จาง หงเหว่ย ได้ให้เหตุผลว่า โดยปกติทั่วไปเด็กนักเรียนจีนจะเริ่มต้นวัยเรียนในชั้นประถมที่ประมาณ 7 ขวบ กว่าจะจบมัธยมปลายที่อายุ 19 และจะจบระดับอุดมศึกษาเมื่ออายุ 23 ที่หลายคนกว่าจะเริ่มต้นทำงานเต็มตัวได้ ก็อายุประมาณ 26 - 27 ปี และกว่าจะตั้งหลักสร้างตัวในอาชีพที่ใช่ก็เลย 30 ปีไปแล้ว และมาเกษียณอายุในวัย 55 ที่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ทำงานจะสั้นกว่าช่วงเวลาที่เรียนเสียอีก

ซึ่งข้อดีของการย่นระยะเวลาภาคบังคับให้เหลือเพียง 10 ปี ก็จะช่วยให้ครอบครัวจีนมีภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกน้อยลง และสอดรับกับสภาพสังคมผู้สูงอายุของจีน และเร่งเติมเต็มแรงงานคนรุ่นหนุ่มสาว ในภาคธุรกิจและอุตสาสหกรรมให้ทันท่วงที

หลังจากที่มีความเห็นในการเปิดประเด็นหั่นระบบการศึกษาภาคบังคับให้เหลือ 10 ปีในสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ก็มีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ในเรื่องนโยบายนี้ไม่น้อย

โดยชาวเน็ตจีนก็เสียงแตกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งก็เห็นว่าดี จะเรียนให้เยอะ ๆ นาน ๆ ไปทำไม รีบเรียน รีบจบ รีบออกมาทำงานจะดีกว่า เพราะสมัยนี้คนที่เรียนนานกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า แต่บางส่วนก็มองว่าช่วงเวลาในระบบการศึกษาก็สัมพันธ์กับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย ที่จะเร่งกันไม่ได้

และก็มีนักการศึกษาจีนหลายคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะรัฐบาลจีนมองการศึกษาในแง่มุมของการจ้าง "แรงงาน" ในภาคอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว ที่การหั่นระยะเวลาการศึกษาขั้นพื้นฐานอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาเรื่องแรงงานที่ตรงนัก

ความเห็นต่างในแผนนโยบายใหม่นี้ก็มาจากนาย ฉู เชาฮุ่ย นักวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์การศึกษาแห่งชาติ ให้ความเห็นผ่านสื่อ Global Times ของจีนว่า การย่นระยะเวลาการศึกษาเพื่อเพิ่มจำนวนแรงงาน เป็นแค่เพียงการเห็นของภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องการแรงงานในภาคธุรกิจ ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่นการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับนาย สง ปิงฉี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 เชื่อว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนต่างหากที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบการศึกษา และการพัฒนาสังคม

ดังนั้นการจะเร่งพัฒนาเยาวชนจีนรุ่นใหม่ สู่ตลาดแรงงานที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องแก้ที่ระบบการเรียน การสอน ซึ่งปัจจุบันยังคงเน้นที่การสอบเป็นหลัก เพราะฉะนั้นต่อให้บีบระยะเวลาการศึกษาภาคบังคับให้เหลือเพียง 10 ปี ก็ไม่ได้ช่วยลดภาระของเด็ก และผู้ปกครองอยู่ดี ตราบใดที่ระบบการศึกษายังเน้นเรื่องการสอบแข่งขัน เด็กก็ยังคงต้องเรียนหนัก และผู้ปกครองก็ต้องมีภาระในค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเสริม กวดวิชา ชั้นเรียนพิเศษ เพื่อสร้างความได้เปรียบให้ลูกเมื่อเข้าสู่ระบบสนามแข่ง พอเวลาเรียนสั้นลง ยิ่งสร้างความเครียด และกดดันให้กับเด็กเพิ่มขึ้นไปอีก

และพอมาพูดถึงประเด็นนี้ ก็มีชาวเน็ตจีนอีกจำนวนหนึ่งมองว่า ถ้าอย่างนั้นการเรียนเร่งรัด ให้ลดเวลาลงเหลือ 10 ปี ก็อาจจะเข้าท่าเหมือนกัน หากมองว่าไหน ๆ ทุกวันนี้เด็กจีนก็ต้องเสริม เรียนอัดกันอยู่แล้ว งั้นก็เร่งรัดให้เหลือชั้นประถม 5 ปี มัธยม 5 ปี ก็น่าจะพอแล้ว แต่ให้ยกระดับมาตรฐาน และการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการศึกษาให้มากขึ้น และจะช่วยเพิ่มเวลาในการค้นหาตัวเองเมื่อมุ่งหน้าสู่การศึกษาเฉพาะทางในระดับสูง ๆ ต่อไปด้วย

การศึกษาจีน เป็นหนึ่งในระบบการศึกษาที่เข้มงวด และกดดันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เด็กนักเรียนจีนจะได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวให้เรียนอย่างจริงจังตั้งแต่เด็กเพื่อมุ่งสู่สนามสอบระดับชาติที่เรียกว่า "เกาเข่า" ที่ได้ชื่อว่าเป็นข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ยากที่สุดติดอันดับโลก ที่เชื่อว่าเป็นใบเบิกทางสู่หน้าที่การงานในอนาคต และไม่ว่าจะต้องเรียน 12 ปี หรือ 10 ปี ค่านิยมในการเรียนเพื่อสอบให้ผ่าน "เกาเข่า" ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


แหล่งข้อมูล

https://www.globaltimes.cn/page/202103/1217628.shtml

https://www.wionews.com/world/chinas-gaokao-one-of-the-toughest-exams-in-the-world-311419

ยุโรป - อเมริกาแข่งจัดแพ็กเกจจูงใจ ดึงนักศึกษาไทยไปเรียนต่อ นิวซีแลนด์ยกเว้นมาตรการปิดล็อกชายแดน ตั้งกองทุนช่วยเหลือ อังกฤษให้ทุนเพิ่ม 3 เท่า อยู่ทำงาน 2-3 ปี ออสเตรเลียต่อวีซ่าฟรี อเมริกาไม่น้อยหน้าผ่อนเกณฑ์เข้ม

แม้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย แต่นักศึกษาไทยจำนวนมากยังสนใจไปเรียนต่อในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ขณะที่หน่วยงานทางการศึกษา และสถานทูตหลายชาติในประเทศไทยก็ดำเนินนโยบายเชิงรุก ทั้งประชาสัมพันธ์และจัดแพ็กเกจดึงดูดนักศึกษาไทยไปเรียนต่อ

นิวซีแลนด์ตั้งกองทุนช่วย

นางสาวช่อทิพย์ ประมูลผล ผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้อนุมัติเป็นกรณีพิเศษภายใต้การยกเว้นหมวดหมู่ชายแดนใหม่ โดยเปิดให้นักศึกษาต่างชาติ 2 กลุ่ม กลับไปเรียนที่นิวซีแลนด์เพิ่มจนสำเร็จการศึกษาได้ กลุ่มแรกอนุมัติเมื่อ 12 ต.ค. 2563 เฉพาะนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาโทและเอก 250 คน กลุ่มที่ 2 อนุมัติเมื่อม.ค. 2564 จำนวน 1,000 คน เป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนระดับปริญญาตรีและระดับสูงกว่า

นอกจากนั้น รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้จัดตั้งกองทุนความยากลำบากมูลค่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 21,639,300 บาท) เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติกรณีเร่งด่วน และชดเชยรายได้กรณีว่างงานจากงานพาร์ตไทม์ เงินดังกล่าวครอบคลุมนักศึกษาต่างชาติประมาณ 11,000 คน

จุดขายใหม่เรียนจบทำงานต่อ

นิวซีแลนด์ยังชูจุดขายใหม่ ผ่านโครงการ “Global Pathway to New Zealand” ใน 30 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทย เพื่อดึงดูดนักเรียน-นักศึกษา ให้เรียนต่อกับ 8 มหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวซีแลนด์ แบ่งการเรียนเป็น 3 ระดับ

1) international foundation year ปรับพื้นฐานก่อนเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับการรับประกันการเข้าเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย 1 ใน 8 แห่ง และจบปริญญาตรีในเวลา 3 ปี

2) international year one ให้เรียนปริญญาตรีปีแรกที่ประเทศของตนเอง และรับประกันการเข้าเรียนปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยนิวซีแลนด์ที่เลือก

3) premaster’s programme เตรียมความพร้อมด้วยทักษะทางวิชาการระดับสูง และภาษาอังกฤษขั้นสูงที่จำเป็นสำหรับหลักสูตรปริญญาโทของนิวซีแลนด์

“ล่าสุดนิวซีแลนด์ทำโครงการ Joint Foundation โดยมหาวิทยาลัยโอทาโกร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดหลักสูตรปรับพื้นฐานด้านธุรกิจสำหรับนักศึกษาไทย เริ่มเรียนปริญญาตรีปี 1 ในไทย เมื่อเปิดพรมแดนนักศึกษาบินไปเรียนที่นิวซีแลนด์ได้ทันที หลังเรียนจบยังอยู่ทำงานต่อได้สูงสุด 3 ปี เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ – 30 เม.ย. 2564 และคาดว่าจะมีนักศึกษาสนใจอย่างน้อย 40 คนสมัครในแต่ละโครงการ”

สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ ต้องกักตัวในสถานที่ที่รัฐบาลจัดให้ โดยชำระค่าธรรมเนียมการกักตัวเอง แต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การตรวจ และรักษาโควิด-19 รัฐบาลนิวซีแลนด์บริการฟรี

เรียนอังกฤษฉีดวัคซีนโควิดฟรี

นางสาวอเล็กซานดรา เเมคเคนซี อัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยเปิดเผยว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรเตรียมความพร้อมรองรับนักเรียน-นักศึกษาต่างชาติหลายมาตรการ อาทิ การเข้าถึงบริการสุขภาพอนามัย โดยให้ผู้เรียนรับบริการด้านสาธารณสุขผ่านระบบการดูแลสุขภาพ (National Health Service-NHS) และบริการตรวจเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ นักเรียน-นักศึกษาต่างชาติที่อยู่ในสหราชอาณาจักร และลงทะเบียนเข้าระบบการรักษาแบบแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (GP) จะได้รับสิทธิการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิดฟรีเกณฑ์เดียวกับพลเมืองสหราชอาณาจักร รวมถึงโปรแกรมดูแลด้านสุขภาพจิต และความเป็นอยู่ที่ดี อีกทั้งช่วยเหลือกลุ่มนักเรียนที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับค่าที่อยู่อาศัย และอุปกรณ์การเข้าถึงการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์

นางสาวอุไรวรรณ สะโมลี หัวหน้าฝ่ายบริการการศึกษาต่อสหราชอาณาจักร บริติช เคานซิล ประเทศไทย เสริมว่า สหราชอาณาจักรได้ออกประกาศใหม่ “The Graduate Route” ให้นักศึกษาต่างชาติที่จบระดับปริญญาตรีและโท อยู่ทำงานต่อได้ 2 ปี และระดับปริญญาเอกได้ 3 ปี ถึงแม้ตอนนี้กำลังเรียนผ่านระบบออนไลน์ในประเทศไทยก็สามารถสมัครได้ เพียงแต่เทอมสุดท้ายต้องศึกษาอยู่ ณ สหราชอาณาจักรเท่านั้น

นอกจากนั้นมีทุนการศึกษาให้เปล่าเพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว 3 เท่า โดยปี 2564 มีทุน GREAT Scholarships 28 ทุน จากสถาบันการศึกษา 22 แห่ง สำหรับนักเรียนไทยที่ต้องการศึกษาต่อปริญญาโท ทุนละ 10,000-26,000 ปอนด์ (ประมาณ 415,000 – 1,080,000 บาท)

และทุน Women in STEM ซึ้งเป็นทุนการปริญญาโทแบบเต็มจำนวนสำหรับผู้หญิงในแวดวง STEM ที่ต้องการศึกษาต่อ โดยนอกจากทุนนี้จะครอบคลุมค่าเทอม ค่าที่พักอาศัย และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลแล้ว ยังครอบคลุมการสนับสนุนพิเศษสำหรับผู้ที่มีบุตร และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอร์สปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ

ออสเตรเลียต่อวีซ่าฟรี

ตอนนี้ออสเตรเลียยังปิดประเทศอยู่ แต่กำลังพิจารณาอนุมัติวีซ่านักเรียนที่ยื่นนอกประเทศ ดังนั้นเมื่อกลับมาเปิดประเทศแล้ว นักเรียนที่มีวีซ่าสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ทันที

ทั้งนี้ รัฐบาลออสเตรเลียประกาศมาตรการวีซ่าที่ยืดยุ่นสำหรับนักเรียนต่างชาติมากขึ้น อาทิ นักเรียนต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากโควิดต่อวีซ่าได้ฟรี หากไม่สามารถเรียนจบในระยะเวลาวีซ่าเดิม ผู้ถือวีซ่านักเรียนที่เรียนออนไลน์นอกออสเตรเลีย สามารถนำระยะเวลาเรียนออนไลน์มานับรวมเพื่อขอ Post-study Work Visa (วีซ่าชั่วคราว สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่เรียนจบระดับปริญญาจากมหาวิทยาลัยของออสเตรเลีย สามารถอยู่ออสเตรเลียต่อได้ 2-4 ปี) ฯลฯ

ทั้งนี้ผู้ที่เรียนจบแล้วสามารถสมัคร Post-study Work Visa นอกออสเตรเลียได้ หากไม่สามารถกลับเข้าออสเตรเลียเนื่องจากโควิด-19 และรัฐบาลออสเตรเลียอนุญาตให้นักศึกษาทำงานได้มากกว่า 40 ชั่วโมง/2 สัปดาห์ได้ชั่วคราว เฉพาะงานสายสุขภาพ หรืองานที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 งานดูแลผู้สูงอายุ งานในภาคการเกษตร เป็นต้น

อเมริกาผ่อนเกณฑ์เข้ม

ในสหรัฐอเมริกาปัจจุบันมีนักเรียน-นักศึกษาไทย 6,154 คน จากการสอบถามสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้รับแจ้งว่า ยังมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษากว่า 5,000 แห่ง เปิดต้อนรับนักศึกษาจากทั่วโลก

ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่บังคับให้นักเรียน-นักศึกษาสอบเข้าด้วยคะแนน SAT (Scholastic Assessment Tests) หรือข้อสอบมาตรฐานสากลที่ใช้วัดความถนัดในวิชาเลขและภาษาอังกฤษ และ ACT (American College Testing) หรือการสอบวัดระดับทักษะการใช้เหตุผลและการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย

ส่วนการดูแลนักเรียนต่างชาติและนักเรียนไทยในสถานการณ์โควิด-19 มอบหมายให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบ โดยจะมีวิธีการรับมือแตกต่างกันไป แต่ทั่วไปจะมีการทดสอบโควิด-19 เป็นระยะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงกำหนดให้ใช้หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ และจำกัดการชุมนุมขนาดใหญ่

ส่วนความช่วยเหลือกรณีอื่น ๆ เช่น การประกันสุขภาพ การกักตัว และความช่วยเหลือทางการเงิน สามารถสอบถามสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งในสหรัฐอเมริกาถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ได้


ขอบคุณที่มา: https://www.prachachat.net/education/news-619433

การศึกษาเป็น 1 ในอุตสาหกรรมหลักของสิงคโปร์ที่มีแนวโน้มดีที่สุด เพราะเป็นประเทศที่มีความเป็นอินเตอร์สูง และมีความเอเชียอยู่ในตัว บวกกับมีการเรียนการสอนที่เป็นระเบียบ คนไทยและประเทศเพื่อนบ้านจึงนิยมไปเรียนที่นั่น

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศแทบเอเชียที่ประสบความสำเร็จกับการเปลี่ยนตัวเอง จากประเทศด้อยพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยระหว่างปฏิวัติอุตสาหกรรม สิงคโปร์ก็ไม่ได้ทิ้งระบบการศึกษาของประเทศไว้ข้างหลัง พยายามพัฒนาการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน

ข้อมูลด้านการศึกษาที่น่าสนใจของสิงคโปร์สำหรับนักเรียนไทย ดังนี้

หนึ่งในอุตสาหกรรมทำเงินของประเทศ

ปัจจุบันระบบการศึกษาของสิงคโปร์ถือว่าดีระดับโลก ทั้งในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย พอ ๆ กับเกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และฟินแลนด์ มหาวิทยาลัย 3 แห่งของสิงคโปร์อยู่ใน 500 อันดับ จากการจัดอันดับมหาลัยระดับโลกของ QS World University Rankings ประจำปี 2019 โดยอันดับสูงสุดคือ National University of Singapore (NUS) อยู่ในอันดับที่ 11 ถัดไปคือ Nanyang Technological University (NTU) อยู่ในอันดับที่ 12 และ Singapore Management University (SMU) อยู่ในอันดับที่ 500

นอกจากนั้น สิงค์โปรเป็นประเทศที่มีความเป็นอินเตอร์สูง เพราะประชากรในประเทศใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง มีระบบการเรียนการสอนที่เป็นระเบียบ เน้นการลงมือทำ ทั้งยังผสานความรู้และสไตล์การสอนของตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน รวมถึงมีหลักสูตรให้เลือกเรียนหลากหลาย ทั้งภาคภาษาอังกฤษ และภาษาจีน

ด้วยเหตุนี้สิงคโปร์จึงเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักศึกษาต่างชาติประมาณ 50,000 คนจากทั่วโลก (ตัวเลขล่าสุด 15 ก.พ. 2021 จากเว็บไซต์ The International Trade Administration, U.S. Department of Commerce) ส่วนใหญ่มาจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ ที่มีอายุระหว่าง 13 - 23 ปี ทำให้การศึกษาเป็น 1 ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีที่สุดสำหรับประเทศนี้

ทำไมคนไทยชอบไปเรียนสิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นประเทศทีมีมาตรฐานการศึกษาสูง ใช้ภาษาอังกฤษและอยู่ใกล้ไทยมากที่สุด ซึ่งคำว่า “ใกลบ้าน” เป็นเหตุผลสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ผู้ปกครองไทยใช้ประกอบการตัดสินใจ เพราะเอื้อให้ไปหาบุตรหลานได้สะดวก ไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศ และอยู่ในสิงคโปร์ได้ 30 วัน

เด็กไทยที่ไปเรียนสิงคโปร์ส่วนใหญ่จะไปเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีนช่วงซัมเมอร์ รวมถึงเรียนระดับมัธยม และปริญญาตรี ตามลำดับ

ถึงแม้ว่าค่าครองชีพในสิงคโปร์แทบจะสูงที่สุดในเอเชีย แต่ยังถูกกว่าไปเรียนในประเทศแทบตะวันตกมาก ยกตัวอย่าง ค่าเรียนภาษาอังกฤษช่วงซัมเมอร์ระยะเวลา 4 สัปดาห์ เริ่มที่ประมาณ 37,500 บาท ค่าเรียนภาษาจีนช่วงซัมเมอร์ระยะเวลา 4 สัปดาห์ เริ่มที่ประมาณ 52,500 บาท

ค่าเรียน ม.1 หากเป็นโรงเรียนรัฐบาล ค่าเรียนประมาณ 210,000 - 220,000 บาทต่อปี หากเป็นโรงเรียนเอกชนค่าเรียนอยู่ระหว่าง 400,000 - 500,000 บาทต่อปี

ส่วนค่าเรียนปริญญาตรีขึ้นอยู่กับสาขาวิชาที่เลือก ยกตัวอย่างคณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมแล้วประมาณ 320,000 บาทต่อปี และระดับปริญญาโท ประมาณ 450,000 บาทต่อปี

โควิด-19 ทำลายฝันไปเรียนนอก?

โควิด -19 ขัดขวางการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้นักเรียน-นักศึกษาจำนวนหลายคนที่สนใจไปเรียนที่สิงค์โปร์ตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ระบาดต้องเลื่อนแผนออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้เริ่มคลี่คลายและมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากประเทศต่าง ๆ เริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชน

ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ได้ผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศสำหรับผู้ที่ถือวีซ่านักเรียน แต่อาจมีขั้นตอนขั้นตอนเพิ่มเติมมากขึ้น เช่น การคัดกรองโควิด-19'
“เฉลิมศักดิ์ อธิปัญญาสฤษดิ์” ที่ปรึกษาการเรียนต่อประเทศสิงคโปร์ เรียนสิงคโปร์ดอทคอม ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อสิงคโปร์ กล่าวว่า จำนวนนักเรียน-นักศึกษาไทยที่เดินทางไปสิงคโปร์ทั้งแบบไปเองและผ่านเอเย่นซี่ต่าง ๆ ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีประมาณปีละ 1 พันคน แต่ในปี 2563 มีเด็กที่มาขอคำปรึกษาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด นักเรียนบางส่วนที่มีแผนจะไปเมื่อปี 2563 ก็เลื่อน และบางส่วนเรียนออนไลน์ไปก่อน พอสถานการณ์คลี่คลายถึงจะไป

“ตอนนี้สิงคโปร์เปิดอนุญาตให้นักเรียนไทย รวมถึงนักเรียนต่างชาติ ยื่นขอวีซ่านักเรียนเพื่อเข้าไปเรียนในสิงคโปร์ได้แล้ว โดยเพิ่งมาผ่อนปรนให้นักเรียนต่างชาติขอวีซ่าเข้าไปเรียนได้ตอนช่วงครึ่งหลังของปี 2563 แต่เป็นในลักษณะค่อย ๆ เพิ่มโควตา”

การขอวีซ่านักเรียนเพิ่มเงื่อนไขมากขึ้น เช่น พอผ่านขั้นตอนได้วีซ่าแล้ว ก่อนเดินทางเข้าสิงคโปร์ต้องตรวจโควิด-19 กับโรงพยาบาลในไทย และใบรับรองว่าไม่มีเชื้อโควิด-19 ต้องมีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนแสดงที่ด่านที่สนามบินในสิงคโปร์

จากนั้นตอนผ่านด่านแล้วทางสิงคโปร์จะตรวจเชื้ออีกรอบหนึ่ง แล้วเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วัน ในที่พักที่ทางรัฐบาลสิงคโปร์จัดไว้ และเรียกเก็บเงินประมาณ 2,200 เหรียญสิงคโปร์ต่อคน (ประมาณ 5.5 หมื่นบาท) เพื่อเป็นค่าที่พัก + ค่าอาหาร + ค่า swab ตรวจโควิดอีก 2 ครั้งระหว่างถูกกักตัว และตรวจอีกรอบก่อนปล่อยตัวไปใช้ชีวิตในประเทศ

รัฐบาลสิงคโปร์ยังไม่ได้มีมาตรการจูงใจให้นักเรียนต่างชาติกลับมามากนัก เพราะอยากให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นก่อน จึงให้ความสำคัญกับเรื่องฉีดวัคซีนภายในประเทศมากกว่า ดังนั้น ถ้านักเรียน - นักศึกษาคนไหนต้องการไปเรียนในปีนี้ สถาบันการศึกษาในสิงคโปร์แนะนำให้ซื้อประกันเพื่อคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีติดโควิด-19 มีราคาตั้งแต่ 12-54 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 280 - 1,200 บาท)


ขอบคุณที่มา: https://www.prachachat.net/education/news-621745

รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ประกาศเปิดพรมแดนต้อนรับรับนักศึกษาต่างชาติ รุ่นที่ 2 อีกจำนวน 1,000 คน สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาต่อระดับปริญญาตรีและปริญญาโทให้สามารถเดินกลับเข้าประเทศนิวซีแลนด์เพื่อไปศึกษาต่อจนสำเร็จ

การประกาศเปิดพรมแดนต้อนรับนักศึกษาต่างชาติของนิวซีแลนด์ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 โดยเป็นการต่อยอดจากการประกาศครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมาที่ได้อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติกลุ่มแรกสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกและปริญญาโทจำนวน 250 คน สามารถเข้าสู่นิวซีแลนด์และศึกษาต่อได้ นับเป็นสัญญาณที่ดีและยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการให้ความสำคัญยิ่งของรัฐบาลนิวซีแลนด์ต่อการศึกษานานาชาติและยังคงต้อนรับนักเรียนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติติดอันดับต้นๆ ของโลก และได้รับการยอมรับด้านระบบการศึกษาที่เหมาะแก่การเรียนรู้ในโลกปัจจุบัน โดยได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในการเตรียมความพร้อมนักเรียนสู่อนาคต จากประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

จากการจัดอันดับของ Worldwide Educating for the Future Index 2019 โดย The Economist Intelligence Unit ทำให้นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายปลายทางด้านการศึกษานานาชาติชั้นนำของโลกโดยในแต่ละปีมีนักเรียนนานาชาติกว่า 125,000 คนจากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงนักเรียนไทยในปี 2019 มีนักเรียนไทยศึกษาอยู่ในนิวซีแลนด์กว่า 3,000 คน

สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่มีสิทธิ์ใน 1,000 คน จะต้องเป็นผู้ที่ถือวีซ่าที่ถูกต้องสำหรับการศึกษาในปี 2020 และได้ศึกษาในนิวซีแลนด์ในปี 2019 หรือปี 2020 และจะกลับไปศึกษาต่อให้จบกับสถาบันการศึกษาเดิมของพวกเขาทั้งนี้นักศึกษาที่มีสิทธิ์จะได้รับการลงทะเบียนจากสถาบันระดับอุดมศึกษาหลายแห่งรวมถึงมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคสถาบันเทคโนโลยี

สถานศึกษาที่สอนด้วยภาษาเมารีและสถาบันการศึกษาเอกชนและจะสามารถเดินทางกลับไปนิวซีแลนด์ในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการจัดการสถานที่กักตัวที่ได้รับการดูแลภายใต้รัฐบาลนิวซีแลนด์อย่างเหมาะสมซึ่งสถาบันการศึกษาของนิวซีแลนด์จะเป็นผู้ระบุและเสนอชื่อนักศึกษาที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ โดยนักศึกษาไม่ต้องดำเนินการด้วยตนเองทั้งนี้ทุกคนที่เดินทางกลับเข้านิวซีแลนด์จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพและความปลอดภัยของ COVID-19 รวมถึงการกักกันตัวเองและอยู่ในสถานที่กักตัวที่มีการจัดการอย่างดีเป็นเวลา 14 วัน

นิวซีแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่รับมือสู้โควิดดีที่สุดในโลก จากการสำรวจจัดอันดับจาก 98 ประเทศทั่วโลก (ใช้ข้อมูลถึงวัน 9 มกราคม 2564) โดยสถาบันโลวีซึ่งเป็นสถาบันวิชาการอิสระที่ทำการศึกษาวิจัยด้านการเมือง ยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย


ขอบคุณที่มา: ผู้หญิง - นิวซีแลนด์ เปิดพรมแดนรับนักเรียนต่างชาติ กลับเข้าประเทศรอบ 2 อีกราวพันคน (naewna.com)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top