Tuesday, 29 April 2025
CRIMES

‘ตร.ไซเบอร์’ ทลาย ‘แก๊งจีน’ ลวงส่งของเก็บเงินปลายทาง พบเหยื่อโผล่ทั่วไทย เงินหมุนเวียน 20 ล้านบาท

ตร.ไซเบอร์ทลาย"แก๊งจีน"ตีเนียนส่งของเก็บเงินปลายทาง พบเหยื่อโผล่ทั่วไทย บุกค้นโกดังสินค้าย่านบางนาพบพัสดุนับหมื่นชิ้น เร่งขยายผลล่านายทุนจีนตัวการใหญ่ เผยเงินหมุนเวียนกว่า 20 ล้าน
.
(24 เม.ย.66) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท 2 พ.ต.อ.จักรกฤช ศรีโรจ นากูร ผกก.2 บก.สอท.2  นำกำลัง บก.สอท. 2 ปิดล้อมตรวจค้น 3 จุด ในพื้นที่บางนา หลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าได้รับความเดือดร้อนจากการที่มีพัสดุเก็บเงินปลายทางมาส่ง ทำให้หลงเชื่อว่าอาจจะมีบุคคลในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานเป็นคนสั่งก่อนชำระเงินให้ไป ทำให้เดือดร้อนและเกิดความเสียหาย มีผู้หลงเชื่อชำระเงินไปเป็นจำนวนมาก

โดยจุดที่น่าสนใจเป็นการเข้าตรวจค้นโกดัง เก็บของ รับของ 2 แห่ง ภายในซอยบางนาตราด 17 แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กทม. ซึ่งลักษณะเป็นโกดังให้เช่า โดยโกดังแห่งแรกเป็นโกดังเก็บพัสดุสินค้า จากการตรวจสอบพบพัสดุสินค้าหลายรายการ ภายในบรรจุสินค้าหลายรายการ อาทิ เครื่องสำอาง,รองเท้า, เสื้อผ้า อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  นอกจากนี้ยังพบกล่องพัสดุเปล่าที่เตรียมแพ็กของสุ่มส่งลูกค้า  และสติกเกอร์รายชื่อที่อยู่ของเหยื่อที่ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก  อีกทั้งตรวจค้นในสำนักงานพบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีรายชื่อของผู้รับถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในระบบคอมพ์พิวเตอร์ และยังมีสินค้าตีกลับอีกนับหมื่นรายการ

โกดังที่สองเป็นโกดังสำหรับแพคพัสดุที่รอทำการส่ง พบชั้นวางกล่องพัสดุที่ถูกตีกลับ และกระสอบใส่กล่องพัสดุที่ถูกตีกลับกว่าหมื่นกล่อง  รวมทั้งบาร์โค้ดที่ใช้สำหรับส่งของพัสดุ  นอกจากนี้ทั้งสองจุดสามารถควบคุมตัวผูู้ดูแล คือ น.ส.สุรีพร อายุ 30 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ จ. 225 /2566 ลงวันที่ 24 เม.ย.ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และคุมตัวนายตู่ อายุ 27 ปีพนักงานแพ็กของ

เบื้องต้นทั้งสองอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นว่าเป็นพฤติกรรมการหลอกลวงส่งของเก็บเงินปลายทาง ทั้งในส่วนบาร์โค้ด รายชื่อลูกค้า และโลโก้บริษัทส่งของต่างๆ อ้างเพียงถูกจ้างมาแพ็กของติดชื่อส่งพัสดุยังผู้รับ ได้ค่าจ้างเดือนละ  15,000 บาท ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งในส่วนรายชื่อ หรือพัสดุ โดยเจ้าของกิจการ ซึ่งเป็นคนจีนจัดหามาให้เพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น แต่ให้ข้อมูลว่าสินค้าทั้งหมดนำเข้ามาจากจีน แต่ไม่ทราบวิธีการนำเข้า จากนั้นจะนำชื่อที่อยู่ของผู้รับ จากระบบคอมพิวเตอร์ปริ้นท์ลงกระดาษแปะหน้ากล่อง ก่อนจะนำไปส่งต่อยังบริษัทรับส่งพัสดุ เพื่อนำส่งไปตามที่อยู่ที่ระบุหน้ากล่อง ซึ่งทั้งหมดจะถูกเก็บเงินปลายทางยังผู้รับทุกวัน โดยแต่ละวันจะส่งวันละหลายร้อยกล่อง ที่ผ่านมาก็ถูกตีกลับเกินครึ่ง และหากสินค้าที่ถูกตีกลับมาจะนำลอกชื่อหน้ากล่องออก แปะข้อมูลของอีกคนเข้าไปแทนจากนั้นดำเนินการส่งใหม่อีกรอบ ทำซ้ำๆ วนไปแบบนี้เป็นวงจรปกติ สำหรับรายชื่อของผู้รับไม่ทราบว่าเจ้าของซึ่งเป็นคนจีนนำมาจากไหน แต่จะมีเข้ามาในระบบเรื่อยๆ

พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า ตามนโยบายของพล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. ที่เน้นย้ำสั่งการให้ปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ หลังสถิติการรับแจ้งความทางออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า มีประชาชนตกเป็นเหยื่อจากการสั่งสินค้าทางออนไลน์สูงเป็นอันดับหนึ่ง ขณะเดียวกันทาง บก.สอท.2 ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายจำนวนมากว่าได้สั่งซื้อสินค้าผ่านเพจเฟชบุ๊ก Wdecd-US แต่ได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามที่สั่ง และกรณีที่ผู้เสียหายได้รับสินค้า ที่ไม่ได้สั่งซื้อ โดยเรียกเก็บเงินปลายทางกับผู้เสียหาย จึงได้แจ้งความไว้ผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ หลังรับเรื่องได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีลักษณะเป็นขบวนการ จึงรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายค้นและหมายจับ

‘สืบนครบาล’ เผย รวบแล้ว ‘แก๊งอุ้มขแมร์’ ค้นบ้านขู่กรรโชกเงิน 3.1 ลบ. ชี้ ใช้วิธีแอบอ้างเป็น กอ.รมน.-เจ้าหน้าที่กองปราบ

(23 เม.ย.66) เพจ ‘สืบนครบาล’ โพสต์คลิปวิดีโอ ความยาว 51 วินาที เผยให้เห็นชายกลุ่มหนึ่ง เดินอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง โดยแต่งตัวคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งพบว่าหนึ่งในกลุ่มคนที่แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินถือถุงกระดาษที่ภายในบรรจุเงินกว่า 3 ล้านบาทออกมาจากบ้านด้วย

โดยได้ระบุข้อความว่า “คลิปวงจรปิด…มัดตัว! กองปราบเก๊ กับ กอ.รมน.ปลอม ร่วมกรรโชกเงินจำนวน 3.1 ล้านบาท

สืบนครบาล สืบ บก.น.4 และ สน.หัวหมาก ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหากรรโชกเงินจำนวน 3.1 ล้านบาท นำส่ง สน.หัวหมาก ดำเนินคดี

ผบช.น. สั่งประสานหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างขยายผลถึงที่สุด”

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดในวันเดียวกันนี้ ทางเพจสืบนครบาล ได้รายงานเพิ่มเติมว่าสามารถจับตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ระบุข้อความว่า

“สืบนครบาล ร่วม สืบ บก.น. 4 และ สืบ สน.หัวหมาก รวบ “แก๊งอุ้มขแมร์” แอบอ้างเป็น กอ.รมน. และกองปราบ ค้นบ้านกรรโชกเงิน 3.1 ล้านบาท

โดยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 เวลาประมาณ 12.30 น. ขณะที่ผู้เสียหายได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักที่เกิดเหตุ ได้มีชายจำนวน 4 คน แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กอ.รมน. และเจ้าหน้าตำรวจกองปราบ มาขอทำการตรวจค้นบ้านหลังที่เกิดเหตุ และได้แจ้งแก่ผู้เสียหายว่าได้กระทำความผิดฐาน ยักยอก ต่อมาได้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายเป็นจำนวนเงิน 3,100,000 บาท หลังจากนั้นได้หลบหนีไป

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุและทำการจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ได้แก่ นาย นายยะฝาด (สงวนนามสกุล) อายุ 59 ปี, นาย ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี, และ นาย ธนมงคล (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี พร้อมของกลางเป็นทองคำรูปพรรณน้ำหนักรวม 9 บาท และเงินสด 250,000 บาท โดยในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา”


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9660000037453

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งปราบน้ำมันเถื่อนเต็มรูปแบบ ทั้งทางบกและทางน้ำ

จากกรณีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่มีการตรวจพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศเพื่อนบ้าน นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากราคาน้ำมันของประเทศไทยที่สูงกว่าประเทศมาเลเซียกว่าเท่าตัว ทำให้ผู้กระทำผิดสบช่องโอกาสในการหากำไรจากความต่างดังกล่าว ลักลอบนำน้ำมันมาขายให้กับลูกค้ารายย่อยในพื้นที่ เช่น ปั๊มหลอด โรงงาน รถขนส่ง หรือเรือประมงขนาดเล็ก ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีน้ำมันมากกว่าร้อยล้านบาทต่อปี

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ให้ดำเนินการปราบปรามเครือข่ายลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาจำหน่าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ศปนม.ตร. เร่งรัดจับกุมผู้กระทำผิด โดยเน้นการเพิ่มการป้องกันตามชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งพบการกระทำผิดคือ สงขลา สตูล และนราธิวาส รวมทั้งพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงคือปัตตานี ยะลา ตรัง และพัทลุง เป็นต้น รวมทั้งการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กองทัพเรือ และศรชล เป็นต้น

โดยทางบกมีรายสำคัญ ได้แก่ กลุ่มเจ้ฟางซึ่งพฤติกรรมของกลุ่มค้าน้ำมันเถื่อนกลุ่มนี้ จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มของเจ้ฟางซึ่งมีรถบรรทุกสินค้าเป็นเครือข่าย แต่ละคันจะดัดแปลงถังน้ำมันให้มีขนาดใหญ่ และมีช่องเก็บน้ำมันได้มากขึ้น

โดยรถบรรทุกเหล่านี้ จะเข้าไปส่งสินค้าที่ชายแดนประเทศมาเลเซียทุกวัน วันละนับสิบรอบ เมื่อรถขนสินค้าเสร็จ ก็จะเติมน้ำมันจนเต็มถังที่ดัดแปลง และขับกลับออกมาจากชายแดนมุ่งหน้าไปยังโกดังในตำบลทุ่งลุง ซึ่งอยู่ห่างพรมแดนประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อไปรอถ่ายให้กับรถปิ๊กอัพ ที่จอดรออยู่ในโกดังชายป่า บริเวณริมถนนกาญจนวนิช ต.พะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 
        
ชุดปฏิบัติการ ศปนม.จึงได้บุกเข้าไปจับกุมนายนี อุสมาน / นายอีบ  หมัดยูโชะ ขณะกำลังถ่ายน้ำมันจากรถขนส่ง ให้กับรถปิ๊กอัพดัดแปลงที่โกดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ตำบลทุ่งลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พบ รถกระบะ Toyota สีบรอน 2คัน ทะเบียน 3ฒธ 1065 และ 3ฒธ 7065 ตีตู้ทับ ภายในบรรทุกถังน้ำมันดีเซล 2 พันลิตร 

โดยกล่าวหาว่า  มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 203

‘DSI’ เรียกสอบ 'เส้นด้าย’ แจงปมเล่นพนันออนไลน์ เสีย 25 ล้านบาท หลังพบสนิท 'แทนไท-นอท พันธวัช' หวังหาที่มาเว็บพนันรายใหญ่

งานเข้า 'เส้นด้าย สอดอ Style' ดีเอสไอ เข้าให้การ 25 เม.ย. แจงปม live เล่าประสบการณ์เล่นพนันออนไลน์ เสีย 25 ล้านใน 3 เดือน เผยพบเส้นทางเงินเชื่อม 'แทนไท' และ 'นอท พันธวัช'

(19 เม.ย. 66) จากกรณีที่ ‘เส้นด้าย’ หรือ น.ส.พิมพ์ลดา แววไธสง เจ้าของช่องยูทูบ สอดอ Style และอีกหลายแพลตฟอร์ม ซึ่งมีผู้ติดตามหลายล้านคน ได้ออกมาไลฟ์ผ่านแอปพลิเคชัน tiktok เล่าประสบการณ์ตัวเองที่เสียพนันออนไลน์ถึง 25 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 3 เดือนครึ่ง พร้อมกับเตือนเหล่าบรรดาแฟนคลับว่าอย่าเข้าวงการนี้โดยเด็ดขาดตามที่มีปรากฏข่าวไปแล้วนั้น

ตำรวจ จับวัยรุ่นใช้เฟซบุ๊กอำพราง ลอบขายเฮโรอีน พบเพียง 4 เดือน เงินหมุนเวียนกว่า 1.3 พันล้านบาท

ตำรวจ ปส. (NSB) จับแก๊งวัยรุ่นสร้างตัว ใช้ เฟซบุ๊ก ชื่อ ‘ด.ช.พาระ หนี้สินรอบตัว’ ลักลอบขายเฮโรอีนย่านดินแดง พบ 4 เดือน มีเงินหมุนเวียนกว่า 1.3 ล้านบาท

(19 เม.ย.66) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1, สั่งการให้ พ.ต.อ.สาคร เจิมขุนทด ผกก.1 บก.ปส.1 พร้อมชุดปราบปรามยาเสพติดของ บก.ปส.1(นปส.นานา) สืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติดทางโซเชียล ทั้งทาง Facebook และแอพพลิเคชันต่างๆ จนสามารถจับกุม น.ส.สุพร อายุ 25 ปี  นาย ลภน  อายุ 27 ปี  น.ส.ดาริน อายุ 23 ปี ข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) และมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน,ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน พร้อมของกลาง เฮโรอีน น้ำหนักประมาณ 9.75 กรัม ,โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง , รถ จยย. จำนวน 1 คัน จับได้บริเวณข้างบ้านเลขที่ 127 ซอยสุพรรณิกา 1 และบ้านเลขที่ 133/9 ซอยประชาสงเคราะห์ 47 แขวงและเขตดินแดง กทม. ต่อเนื่องกัน

‘ตร.’ ทลายแหล่งพัก-เครือข่ายขนยาเสพติด ก่อนส่งออกทางเรือ พร้อมจับบิ๊กชาวมาเลฯ-ฮ่องกง ยึดเฮโรอีน 94 กก.-ไอซ์ 162 กก.

ตำรวจ ปส. (NSB) ทลายเครือข่ายขนยาเสพติดข้ามชาติ ผ่านระบบขนส่ง Logistics ก่อนส่งออกทางเรือและทลายแหล่งพักยา จับนักค้ามาเลเซีย-ฮ่องกง ระดับสั่งการ ได้พร้อมด้วยของกลางรวมเฮโรอีน 94 กก.ไอซ์ 162 กก. จากการปราบปรามอย่างหนักของตำรวจ (NSB) ในการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร ซึ่งจะพบว่า สถานการณ์ยาเสพติดขณะนี้ ผู้ค้ายาเสพติดมีความพยายามในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบขนส่งในการลักลอบขนยาเสพติด

(18 เม.ย. 66) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส.,พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส.บช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส.บช.ปส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1,พล.ต.ต.ธนรัชน์  สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 แถลงผลการจับกุมเครือข่ายค้าเฮโรอีนรายใหญ่ระดับสั่งการผู้ต้องหา 8 ราย ตรวจยึด เฮโรอีน 94 กก., ไอซ์ 182 กก., ยาบ้า 7 แสนเม็ด, คีตามีน 25 กก.และสารเสพติดไม่ทราบชนิด (อยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์) 1,250 ขวด

คดีแรก สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10-11 เม.ย.ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (NSB) ร่วมกับ เจ้าหน้าที่หน่วยงานร่วมภายใต้โครงการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ ท่าเรือสากลของอาเซียน หรือ Seaport Interdiction Task Force (SITF) ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ส., ศุลกากรและศูนย์รักษาความปลอดภัย เข้าตรวจสอบพัสดุหลังพบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ที่คลังสินค้าแห่งหนึ่ง เขตบึงกุ่ม พบเฮโรอีนน้ำหนักกว่า 30 กก.ซุกซ่อนไปกับแผ่นเรซิ่นลายแผ่นไม้ เตรียมส่งออกไปประเทศออสเตรเลีย

เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนขยายผลจนทราบว่า ผู้ส่งสินค้าคือ น.ส.กานดา (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ก่อนจะถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา สารภาพว่า เป็นผู้ส่งเฮโรอีนจริง โดยใช้บัตรประชาชนของผู้อื่นในการจัดส่ง ส่วนยาเสพติดรับมาจากชายรู้จักเพียงว่าชื่อ ‘เถ้าแก่’ พูดภาษาจีน โดยมี ‘นายตี๋’ ช่วยแปลภาษาและจ่ายเงินว่าจ้างถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา ส่วนผู้รับเป็นลูกครึ่งไทย – ออสเตรเลีย

ต่อมา เจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายนี้ จะส่งยาเสพติดไปต่างประเทศในช่วงใกล้วันสงกรานต์ อีกครั้ง จึงขยายผลจากฐานข้อมูล (Big data) ที่ บช.ปส. (NSB) มีอยู่ กระทั่งวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม Mr.LEUNG หรือเฮีย หรือเถ้าแก่ สัญชาติมาเลเซีย ระดับสั่งการ ได้ที่ปั้มน้ำมัน ย่านถนนพระราม 3 พร้อมไอซ์กว่า 2 กก.ซุกซ่อนในกรอบรูปเตรียมส่งไปยังประเทศญี่ปุ่น

จากนั้นขยายผลจับกุมนายจายหลู่ หรือ ‘ตี๋ ชาวไทใหญ่’ ได้ที่ปั้มน้ำมันในซอยสาธุประดิษฐ์ 15 พร้อมสอบสวนและขยายผลเพิ่มเติมก่อนเข้าตรวจค้นที่พักย่านถนนพระราม 3 เป็นห้องสำหรับจัดเตรียมยาเสพติดเพื่อซุกซ่อนไปกับสินค้าชนิดต่าง ๆ ผลการตรวจค้นพบไอซ์ ซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า น้ำหนักกว่า 13 กก., และไอซ์ ลักษณะเป็นเกล็ดผสมกับเนื้อซิลิโคน 2 แผ่น น้ำหนักกว่า 18 กก.ซุกซ่อนในกรอบรูปผ้าใบ 2 กรอบ, ไอซ์ ลักษณะเหลวเหนียวข้น 1 กก. และของเหลวบรรจุอยู่ในขวด แสดงสินค้าเป็น Massage Oil 1,250 ขวด ตรวจทดสอบเบื้องต้นด้วยน้ำยาทดสอบยาเสพติดพบเปลี่ยนสี หลังจากนี้จะส่งไปตรวจกับสถาบันตรวจพิสูจน์ว่าเป็นสารเสพติดชนิดใด

นอกจากนี้ยังจับกุม Mr.Kai สัญชาติฮ่องกง ได้เพิ่มอีก 1 ราย จากนั้นได้เข้าตรวจค้นห้องพัก 2 ห้อง ภายในคอนโด ย่านถนนเลี่ยงวงแหวนอุตสาหกรรม พบเฮโรอีน น้ำหนักกว่า 64 กก. และ ไอซ์กว่า 128 กก.

ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากฐานข้อมูล Big Data พบว่า ผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับการจัดส่งพัสดุไปต่างประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศซึ่งจะต้องสืบสวนขยายผลการจับกุมบุคคลหรือกลุ่มเครือข่ายต่อไป

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุมนายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี และ น.ส.อรุณี (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายดังกล่าว เตรียมนำยาเสพติดจำนวนมากจาก จ.เชียงราย มาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ตลอดเส้นทางที่คาดจะขับผ่าน ก่อนจะสกัดจับกุมได้ที่ริมถนนหมายเลข 3543 อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจค้นรถพบยาบ้า 7 แสนเม็ด ซุกซ่อนในรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กท 30xx สุโขทัย

เกิดเหตุ ‘วัยรุ่น’ ทะเลาะวิวาท ถูกยิงกลางคอนเสิร์ตอาร์ซีเอ พบบาดเจ็บหลายราย ‘ตร.’ เข้ารวบมือปืน เตรียมดำเนินคดี

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 66 เวลา 01.00 น. ตำรวจ สน.มักกะสัน รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทใช้อาวุธปืนยิงมีผู้บาดเจ็บหลายราย บริเวณลานกลางสถานบันเทิงอาร์ซีเอ ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กทม. จึงประสานกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุอยู่ใกล้ทางเข้าสถาบันเทิงอาร์ซีเอ ฝั่งถนนพระราม 9 ซึ่งใช้เป็นพื้นที่จัดคอนเสิร์ตเทศกาลสงกรานต์ พบสิ่งของถังน้ำ ขวดสุรากระจายเกลื่อนพื้น และยังพบปลอกกระสุนปืนไม่ทราบขนาด ตกอยู่จำนวนกว่า 10 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงกั้นพื้นที่และไม่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปบริเวณจุดเกิดเหตุ

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถูกกระสุนปืนจำนวน 4 ราย ประกอบด้วยนายโอบนิธิ พึ่งเคหา อายุ 26 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกรุงเทพ, น.ส.จิราพร พูลสุข อายุ 26 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปิยะเวท, นายณัฐนนท์ นนทสุด อายุ 25 ปี และนายฐิติพล ศุภประเสริฐ อายุ 28 ปี ถูกนำตัวส่ง รพ.เพชรเวช นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่งหนีตายหลบกระสุนปืนอีก 4 ราย

‘เลขาฯ ป.ป.ส.’ ชื่นชม ‘เมียนมา’ หลังทลายโรงงานผลิตเฮโรอีน สะท้อนการประชุมแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ สัมฤทธิผล

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า ผลจากการเข้าร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และหารือเกี่ยวกับการพิจารณารับร่างแผนแม่น้ำโขงปลอดภัย เพื่อการควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 - 2570) โดยมีผู้แทนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย, กัมพูชา, จีน, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม เข้าร่วมประชุม ในระหว่างวันที่ 5 – 7 เม.ย 2566 ที่ผ่านมานั้น

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. โดยศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong Coordination Centre : SMCC)  ได้เสนอแผนความร่วมมือให้ทั้ง 6 ประเทศ ลดปัญหายาเสพติดในภูมิภาคด้วยการผนึกกำลังร่วมกัน โดยมีมาตรการสำคัญ คือ การลดศักยภาพการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยมุ่งเน้นมาตรการในการสกัดกั้นปราบปราม
ยาเสพติด การควบคุมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด รวมถึงการร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ค้าสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และเครือข่ายการค้ายาเสพติด ไม่ให้กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ โดยประสานข้อมูลการข่าว และปฏิบัติการในประเทศตนเองอย่างเคร่งครัด

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เผยว่า ผลจากการประชุมได้ทำให้แต่ละประเทศตื่นตัวเพิ่มมากขึ้น และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการตามแผนปฎิบัติการร่วมกัน โดยเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566 ทางการเมียนมาได้รับรายงานว่ามีโรงงานผลิตยาเสพติดในบริเวณหมู่บ้านห่างจากเมืองน้ำคำ รัฐฉาน ไปทางตะวันตกประมาณ 6.7 กม. เจ้าหน้าที่เมียนมาได้เข้าตรวจสอบพบเพิงพักชั่วคราวที่ประกอบขึ้นเป็นโรงงานจำนวน 4 แห่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีน และสามารถตรวจยึดฝิ่นสกัดจำนวน 60 ลิตร พร้อมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ ได้แก่ เอทิลอีเทอร์ (Ethyl Ether) จำนวน 80 ลิตร เบนซีน (BenZene) จำนวน 60 ลิตร โซเดียมคาร์บอเนต จำนวน 3 กก. โซเดียมไนเตรท จำนวน 4 กก. และ โพรเทสเซียม 15 กก. พร้อมอุปกรณ์การผลิต

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลการข่าวกับประเทศรอบข้างรวมทั้งประเทศไทยเพื่อขยายผลต่อไป เนื่องจากเมืองน้ำคำ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว อยู่ติดชายแดนประเทศจีน และห้ามคนต่างชาติ

‘ชัยวุฒิ’ แจง คุมตัว ‘9 Near’ แล้ว เผย ทำไปเพราะอยากดัง ตัวเจ้ายัน ไม่ได้แฮกข้อมูล แต่ซื้อมาจากเว็บมืด 8 ล้านรายการ

(12 เม.ย. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงความคืบหน้าในการติดตามผู้กระทำความผิดที่อ้างว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยจำนวน 55 ล้านรายการว่า จ่าสิบโทเขมรัตน์ ได้ถูกส่งตัวมาที่กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนคดีทางเทคโนโลยี โดยได้มีการสอบสวนและจะนำตัวจ่าสิบโทเขมรัตน์ไปค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านพัก

ผู้ต้องหายืนยันว่า ข้อมูลที่ได้มาไม่ได้มาจากการแฮกข้อมูล แต่ได้จากการซื้อมาจากเว็บมืดที่ผิดกฎหมาย จำนวน 8 ล้านรายการ ราคา 8 พันบาท เมื่อซื้อข้อมูลมาแล้วต้องการทดลองว่า มีรายชื่อของตนอยู่ในข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ เมื่อตรวจสอบพบว่ามีจริง จึงนำมาโพสต์ ครั้งแรกไม่ได้รับการตอบสนอง จึงเลือกเอารายชื่อของผู้มีชื่อเสียงมาโพสต์ทำให้เกิดความสนใจมาก

‘ตร.สืบสวน’ ซ้อนแผนรวบ ‘ตั้มฟองเบียร์’ หนุ่มมีรสนิยมใคร่เด็ก ลวง ด.ญ.อายุต่ำกว่า 15 ปี 3 ราย มีเพศสัมพันธ์-ถ่ายคลิปอนาจาร

(12 เม.ย. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส. 4 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น, ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา, ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพ, จ.ส.ต.เอกวุฒิ เชื้อโชติ, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) จับกุม นายศรัณย์ หรือฉายา ‘ตั้มฟองเบียร์’ อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดศรีษะเกษ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ จ.228/2566 ลงวันที่ 27 มี.ค. 66

ข้อหา “ปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา” โดยชุดจับกุมแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า “ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” จับกุมได้ที่ ริมถนนในซอยเอกชัย 64/5 แขวงบางบอนเหนือ เขตบางบอน จังหวัดกรุงเทพเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจาก ชุดลาดตระเวนออนไลน์ของสืบนครบาล ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายรายหนึ่งผ่านเฟซบุ๊กเพจ สืบสวนนครบาล IDMB โดยผู้เสียหายแจ้งว่า ลูกสาววัย 11 ปี นักเรียนชั้นป.6 ถูกคนร้ายซึ่งมีศักดิ์เป็น ‘อดีตน้าเขย’ พาตัวหนีออกไปจากบ้านกว่า 11 วัน และกระทำชำเราจำนวนหลายครั้ง ซึ่งตนแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม

ปัจจุบันออกหมายจับคนร้ายรายนี้แล้ว แต่ยังลอยนวล เกรงว่าลูกสาวจะไม่ปลอดภัย แล้วอาจจะถ่ายคลิปโป๊เก็บไว้ จากตรวจสอบแล้วคือ นายศรัณย์ อายุ 30 ปี ชาว อ.พยุห์ จ.ศรีษะเกษ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.228/2566 ลงวันที่ 27 มี.ค.66 โดยผู้เสียหายขอความช่วยเหลือให้ช่วยติดตามจับกุมตัวโดยเร็ว เพราะครอบครัวของผู้เสียหายไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ ต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวว่า คนร้ายจะมาพาตัวลูกสาวไปอีก

หลังรับแจ้งทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมได้ตรวจสอบประวัติของ น.ส.ศรัณย์ พบประวัติเคยต้องโทษกว่า 4 คดี 1.) พ.ศ. 2553 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล” 2.) พ.ศ. 2555 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “ใช้สารระเหย” 3.) พ.ศ. 2558 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครอง” และ 4.) พ.ศ. 2558 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย”

พล.ต.ต.ธีรเดช จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) ลงพื้นที่โดยเริ่มจากการเข้าไปพบปะพูดคุยกับครอบครัวของเหยื่อ จนทราบข้อมูลว่าหลังจากที่ครอบครัวของเหยื่อพากันไปแจ้งความ นายศรัณย์หลบหนีไปไม่สามารถติดตามตัวได้ จนกระทั่ง ตนลงมาควบคุมการปฏิบัติด้วยตนเองและเปิดแผนปฏิบัติการสุดคลาสสิค คือการใช้ ‘นางนกต่อ’ ติดต่อไปหา นายศรัณย์จนกระทั่งสามารถตกลงนัดหมายได้

กระทั่งเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 เวลา 18.40 น. เมื่อถึงเวลานัดหมาย นายศรัณย์เดินทางมา ณ จุดนัดหมาย ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเจ้าหน้าที่ดักซุ่มอยู่แล้ว ผบก.สส.บช.น. นำกำลังชุดสืบสวนนครบาลเข้าจับกุมตัว นายศรัณย์ตามหมายจับ โดยจับกุมขณะกำลังนั่งรอเด็กนกต่ออยู่ริมถนน ในซอยเอกชัย 64/5 แขวงบางบอนเหนือ เขตบางบอน กรุงเทพฯ

จากการสอบสวนนายศรัณย์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเหยื่ออายุ 11 ปี กระทั่งมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่อเดือน ม.ค.66 บนรถที่ตนใช้ทำงาน และหลังจากนั้นก็มีเพศสัมพันธ์กันอีกหลายครั้ง

กระทั่งทางบ้านของเหยื่อจับได้และมาติดตาม ตนจึงพาเหยื่อ 11 ปี รายนี้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นเป็นเวลากว่า 11 วัน และสุดท้ายเหยื่อก็ขอกลับบ้าน ตนก็ได้ปล่อยไป และยังยอมรับอีกว่านอกจากเหยื่อรายนี้ยังมี เด็กหญิงวัย 15 ปี อีกคนหนึ่ง ซึ่งตนคบหากันเป็นแฟนและเคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันมาแล้ว

โดยตั้งใจจะคบเป็นภรรยาทั้ง 2 คน และในอดีตตนเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์ ซึ่งตอนนั้นตนมีความสัมพันธ์กับเด็กหญิงอายุ 14 ปี ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบว่าตนชอบเด็กเพราะอะไร และยอมรับว่าเคยถ่ายคลิประหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่อรายอายุ 15 ปี ไว้ในโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ไปเผยแพร่ที่ไหน”

ชุดสืบสวนขยายผลการจับกุมจนพบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของ นายศรัณย์คือคลิปโป๊ ซึ่งเป็นการบันทึกภาพระหว่างมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่อจริง และยังมีภาพลักษณะวาบหวิวของเหยื่ออีกด้วย จึงแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า “ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ดำเนินคดีตามกฏหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top