Monday, 28 April 2025
CRIMES

ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ ตรวจยึดและอายัดทรัพย์สิน มูลค่าร่วมกว่า 30 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา  ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบและดำเนินการจับกุม การกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ในทุกรูปแบบ ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สอท.3 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการสืบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ประชาชนแจ้งการกระทำผิดกฎหมาย กรณีกรณีมีเว็บไซต์พนัน https://www.richawinvip.com/ซึ่งได้เปิดให้มีการเล่นการพนันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์  เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้เข้าตรวจสอบเว็บไซต์ดังกล่าวปรากฏว่าเว็บดังกล่าว ได้มีการเปิดให้เล่นพนันออนไลน์จริง จึงได้ส่งสายลับเข้าไปทำการไปเล่นการพนันในเว็บดังกล่าวจนได้ทราบถึงข้อมูล บัญชีที่ใช้ในการ ฝาก-ถอน ของเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าว จากการรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.3  จึงได้ขออนุมัติศาลจังหวัดขอนแก่น ออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวนหลายราย รวมทั้งได้สืบสวนหาข่าว เพื่อจับกุมบุคคลในขบวนการและผู้เกี่ยวข้อง โดยในปฏิบัติการครั้งนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 ราย ดังนี้

1.นายดนุพงษ์ อายุ 41 ปี ชาวตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
2.นายสถาพร อายุ 33 ปี ชาวตำบลโคกสูง อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์
3.น.ส.ขจีวรรณ อายุ 32 ปี ชาวตำบลแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม
4.น.ส.บุษกร อายุ 27 ปี ชาวตำบลหนองแวง อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์

โดยเมื่อวันที่ 12 ก.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า ผู้ต้องหาที่ 1 ได้มาพักอาศัย
ในพื้นที่ หมู่บ้านพฤกษานารา ต.สามเรือน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้นำหมายค้นของศาลอาญา เข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏว่าพบ ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น และบุคคลภายในบ้านอีก 2 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 กำลังนั่งทำงานอยู่ภายในบ้าน จากการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ในบ้านหลังดังกล่าว พบว่าผู้ต้องหาที่ 2 ทำหน้าที่เป็นแอดมิน คอยตอบคำถามทางแอบพลิเคชันไลน์ และ ผู้ต้องหาที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีการเงิน และจากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1 ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ถูกจับทั้ง 3 คน ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต” , “ ร่วมกันหรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปช่วยเหลือหรือสนับสนุน ในการกระทำความผิดอันเป็นการฟอกเงิน”

และในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า ผู้ต้องหาที่ 4  
ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ 238/2566  ลงวันที่ 27 เม.ย.66 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันกับผู้ต้องหาข้างต้น มาปรากฏตัวที่บริเวณริมถนนสาธารณะหน้าธนาคารธนาคารทหารไทยธนชาต ต.ในเมือง อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบผู้ต้องหาอยู่บริเวณดังกล่าว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมแสดงบัตรข้าราชการและได้แสดงหมายจับพร้อมอ่านข้อความในหมายจับ รวมทั้งได้ให้ผู้ต้องหาตรวจสอบหมายจับและอ่านหมายจับเอง ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ถูกจับทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต” , “ร่วมกันหรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปช่วยเหลือหรือสนับสนุน ในการกระทำความผิดอันเป็นการฟอกเงิน” จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง พนักงานสอบสวน บก.สอท.3 (ส่วนภูมิภาคขอนแก่น) เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการปฏิบัติการครั้งนี้สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินที่ต้องสงสัยว่าได้มาจากการกระทำความผิด อาทิเช่น เงินสด,ทองคำ,โฉนดที่ดิน,บัญชีธนาคาร,บ้าน,ยานพาหนะ มูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท จึงได้ทำการตรวจยึดและนำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.3 เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.ธีระ เชื้อสุวรรณ ผกก.4 บก.สอท.3 ได้ฝากเตือนพี่น้องประชาชนกลุ่มผู้เล่นการพนัน นอกจากจะมีความผิดตามกฎหมายแล้ว ยังเสี่ยงที่จะถูกเข้าถึงข้อมูล Privacy Data (ข้อมูลส่วนตัว) ที่ให้กับเว็บไซต์การพนันซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรม และถูกโกงเงินไม่สามารถถอนเงินคืนจากเว็บไซต์พนันได้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.ธีระ เชื้อสุวรรณ ผกก.4 บก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.วริศพันธ์ เขมสิริเมธีกุล รอง ผกก4 บก.สอท.3 พ.ต.ท.ภูวสิษฐ์  เจริญธนะฐิตฺโชติธเนตร สว.กก.4 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

ตำรวจไซเบอร์จับเจ้าของบัญชีหลอกลงทุน exchange อ้างแค่ให้เพื่อนยืม ทำเหยื่อสูญกว่า 1.2 ล้าน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1  เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ภายใต้การอำนวยการของ  พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงส์  ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  ชุดจับกุมนำโดย  พ.ต.ท.สุรพล เห็มไธสง  สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้ร่วมกันจับกุม น.ส.สมฤทัย อายุ 26 ปี  ผู้ต้องหา ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรี

สืบเนื่องจากพฤติกรรมของคนร้ายรายนี้จะใช้บัญชีเฟสบุ๊ก สร้างโปรไฟล์ให้มีความน่าเชื่อถือ ติดต่อเข้าคุยกับผู้เสียหาย โดยจะชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ผ่านทางแพลตฟอร์มชื่อ C.P.GROUP (https://www.cp-group.cc) อ้างว่าได้กำไรดี และเพื่อที่จะติดต่อส่งข้อมูลกันได้สะดวกขึ้น และต่อมาคนร้ายได้เปลี่ยนช่องทางการสื่อสารไปผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งผู้เสียหายเห็นว่ามีความน่าสนใจ จึงหลงเชื่อและร่วมลงทุนเทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยโอนเงินไปร่วมลงทุน เข้าบัญชีคนร้าย จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งหมด จำนวน 1,196,999 บาท แต่ภายหลังไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ จึงเชื่อว่าถูกหลอกลองทำให้ได้รับความเสียหาย จึงเข้าพบพนักงานสอบสวนร้องทุกข์ดำเนินคดีคนร้ายให้ได้รับโทษตามกฎหมาย

ต่อมาตำรวจไซเบอร์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 สืบสวนทราบว่าคนร้าย คือ  น.ส.สมฤทัย ได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ อพาร์ทเม้นท์ ในเขตพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร จึงสั่งการให้  พ.ต.ท.สุรพล เห็มไธสง  สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ติดตามไปจับกุมตัว โดยชุดสืบสวนได้ประสานให้บิดาของ น.ส.สมฤทัยฯ นำ น.ส.สมฤทัยฯ เข้ามามอบตัวที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ (อาคารบี) แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 10.00 น. และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้าน  พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงส์  ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.สมฤทัย มีหมายจับติดตัวค้างเก่า ที่ยังมีผลบังคับใช้อีกจำนวน ๒ หมายจับ คือ หมายจับ  ศาลจังหวัดระนอง ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “สนับสนุนผู้อื่นให้ฉ้อโกงประชาชน และสนับสนุนผู้อื่นให้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และ หมายจับ ศาลจังหวัดระนอง ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนฉ้อโกง” รวมทั้งหมดเป็น 3 หมายจับ และเมื่อนำชื่อ น.ส.สมฤทัย บุคคลตามหมายจับ มาตรวจสอบในระบบ Blacklistseller.com (https://www.blacklistseller.com/) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ตรวจสอบคนโกง เช็คบัญชีมิจฉาชีพ รู้ทันกลโกง พบว่า น.ส.สมฤทัย มีชื่อเป็นบุคคลเฝ้าระวัง เป็นมิจฉาชีพ เป็นผู้ที่หลอกขายสินค้า หลอกให้โอนเงิน โกงเงิน โกงการส่งสินค้า หลายรายการ และได้ตรวจสอบในระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (https://thaipoliceonline.com/) ยังพบอีกว่า มีความเชื่อมโยงในระบบแจ้งความออนไลน์ 9 CaseID จากการตรวจสอบพบมีผู้เสียหายจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติฯ กล่าวว่า ขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนระมัดระวังการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพลักษณะดังกล่าว ขอความร่วมมือผู้พบเห็นข้อความชักชวนลงทุนต่าง ๆ ไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมเตือนบุคคลที่สนใจการลงทุน ให้รู้เท่าทันกลลวงในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการอ้างผลการลงทุนได้ค่าตอบแทนที่สูงเกินจริง และข้อสำคัญเพื่อป้องการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ ต้องไม่เร่งรีบตัดสินใจเชื่อเมื่อพบเห็นข้อมูลเชิญชวนต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย ขอให้ตรวจสอบตัวตนผู้มาเชิญชวนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังในการโอนเงิน ตามหลักการ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” ของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโจรออนไลน์ทุกรูปแบบ

‘แก๊งมือฆ่าหั่นศพ’ เครียด-คอตก หิ้วฝากขังศาลพัทยา คาด ถูกค้านประกันตัว หลังโดนเพิกซ่าวีซ่าทั้งหมด .

(13 ก.ค. 66) จากการเสียชีวิตของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชาวเยอรมัน ถูกฆ่าหั่นศพหมกตู้แช่แข็งเพื่ออำพรางศพ ภายในบ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยตำรวจขอศาลอนุมัติออกหมายจับ 3 ผู้ต้องหา ก่อนจับตัวชาวเยอรมัน 3 คน คือนางเพธา คริสเติล กรุนด์กริฟ อายุ 54 ปี นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ อายุ 52 ปี และ น.ส.นิโคล เฟรเวล อายุ 52 ปี ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 พ.ต.ต.วชิรวิชญ์ วิสุทธิ์เสรีพันธุ์ สว.สอบสวน สภ.หนองปรือ จ.ชลบุรี พร้อมกำลังตำรวจเกือบ 10 นาย คุมตัวนางเพธา, นายโอลาฟ และ น.ส.นิโคล เฟรเวล ชาวเยอรมันทั้ง 3 คน นำตัวออกจากห้องขัง ขึ้นรถควบคุม เพื่อเดินทางไปยังศาลจังหวัดพัทยา เพื่อยื่นคำร้องฝากขังผัดแรก ระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวออกมา ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน มีสีหน้าเคร่งเครียด คอตก และไม่ตอบคำถามใด ๆ กับนักข่าว

สำหรับ นางเพธาและนายโอลาฟ ถูกตำรวจออกหมายจับ ในข้อหากล่าวหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ ส่วน น.ส.นิโคลหญิงพิการ เป็นผู้เช่าบ้าน ที่นำตู้แช่แข็งไปวางในห้องนอน ก่อนจะพยายามหลบหนีและกรีดแขนตัวเองฆ่าตัวตาย

ถูกตำรวจตั้งข้อหา “ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ” โดยชาวเยอรมันทั้ง 3 คน ถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.ชลบุรี ทำเรื่องเพิกถอนวีซ่า และหนังสือเดินทาง จึงทำให้คาดการณ์ว่า น่าจะไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นศาล อีกครั้งยังเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ

นายชาฮ์รูค อายุ 27 ปี สัญชาติไทยเชื้อชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาคนสุดท้าย ที่ถูกตำรวจจับได้ที่ จ.กาญจนบุรี พบว่าตำรวจย้ายไปฝากขังที่ห้องควบคุม สภ.บางละมุง เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้นายโอลาฟ และนางเพธา พบหรือพูดคุยกัน เนื่องจากว่าจะเกรงว่าจะเสียรูปคดี

อีกทั้งตำรวจเชื่อว่า นายชาฮ์รูคอาจเป็นตัวกุญแจสำคัญในการไขปมสังหารในครั้งนี้ทั้งหมด ซึ่งนายโอลาฟและนางเพธา ไม่ยอมปริบอกให้การใด ๆ กับตำรวจทั้งสิ้น

ผู้ว่าฯพิจิตร สั่งเปิดยุทธการตาเถรกวาดลานทวงคืนวัดหลวงพ่อเงินบางคลานจากแก๊งทรชน

วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ความคืบหน้าสถานการณ์ที่ วัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร ที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 66 ที่มีชายชุดดำจำนวนนับสิบคน ปลุกระดมชาวบ้านใช้กำลังเข้าทำร้ายกรรมการและคนงานของวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน เข้าทำลายกล้องวงจรปิดและประกาศยึดวัดหลวงพ่อเงินบางคลานโดยตั้งตัวเป็นกลุ่มซ่องโจรอั้งยี่เข้าบริหารรับเงินทำบุญและเข้าควบคุมวิหารหลวงพ่อเงินจนเป็นข่าวใหญ่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างหวาดผวาไม่กล้าเข้าไปท่องเที่ยว หรือ เข้าไปทำบุญ ส่งผลทำลายภาพลักษณ์ของจังหวัดพิจิตรยืดเยื้อมายาวน่านจากวันนั้นถึงวันนี้นับระยะเวลารวม 97 วัน ที่ไม่มีใครบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังทั้งๆที่มีคำสั่งศาล มีคำสั่งบังคับคดี ต่างๆ แล้วก็ตาม

ล่าสุดวันนี้ นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าฯ พิจิตร ได้มอบหมายสั่งการให้ นายสิงหราช วงษ์เสงี่ยม รอง ผู้ว่าฯ พิจิตร , นายสุเมธ เมธีรัตนาพิพัฒน์ นายอำเภอโพทะเล เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์เปิดยุทธการตาเถรกวาดลาน โดยใช้กำลัง ทหาร-ฝ่ายปกครอง – อส. ประสานงานกับตำรวจจังหวัดพิจิตรนำกำลังนับร้อยคนพร้อมรถดับเพลิงอุปกรณ์ในการควบคุมฝูงชนเพื่อดำเนินการจะพา พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของคณะสงฆ์เข้าวัด

แต่ปรากฏว่าเมื่อกำลังตำรวจ-ทหาร- -ฝ่ายปกครอง- อส. เดินทางไปถึงก็พบว่าประตูทางเข้าวัดหลวงพ่อเงินบางคลานทุกจุดถูกกลุ่มอันธพาลและชาวบ้านปิดประตูสกัดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไป โดยไม่เชื่อฟังคำสั่งของฝ่ายปกครองที่ชี้แจงเหตุผลว่า การกระทำที่ชาวบ้านเข้ายึดวัดหลวงพ่อเงินบางคลานในลักษณะนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย กลุ่มชาวบ้านซึ่งแท้ที่จริงเป็นพวกรับจ้างมาป่วนในวัดหลวงพ่อเงินบางคลานก็เริ่มใช้หนังสติ๊กยิงใส่กำลังของ ตำรวจ-อส.-ฝ่ายปกครอง จนโล่ที่ใช้กำบังควบคุมฝูงชนแตกเสียหาย รวมถึงได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน เมื่อการเจรจาไม่ได้ผลกำลัง ตำรวจ-อส.-ฝ่ายปกครอง จึงต้องใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำใส่ฝูงชนที่มีประมาณเกือบ 100 คน  ที่เฝ้าประตูในแต่ละจุด 

การปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบ่ายของวันนี้ กองกำลัง ตำรวจ-ทหาร- -ฝ่ายปกครอง- อส. ก็ยังไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมของพวกชายฉกรรจ์และชาวบ้านที่ยึดวัดหลวงพ่อเงินบางคลานเพื่อจะนำพา พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน เข้าไปในวัดได้

สำหรับการปฏิบัติการในครั้งนี้ มีรายงานว่าฝ่ายปกครองและฝ่ายบ้านเมืองจะลงมือตามลำดับความหนักเบาของสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายต้องเข้าวัดหลวงพ่อเงินบางคลานเพื่อคืนความสงบสุขให้กับพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธาเข้ามาสักการะบูชาหลวงพ่อเงินให้ได้เป็นปกติสุขตามกฎหมายต่อไปให้จงได้

ตำรวจไซเบอร์จับกุมแอดมิน VK กลุ่ม DARKSIDE อัปคลิปอนาจารและโปรโมตเว็บพนัน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ต่าง ๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนให้ถึงต้นตอของขบวนการอย่างจริงจัง

สืบเนื่องจากกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. ได้ตรวจสอบพบ แอปพลิเคชัน VK ชื่อกลุ่ม DARK SIDE CLUB ได้มีการโพสต์ภาพลามกอนาจาร แอบแฝงชักชวนเล่นพนันออนไลน์ มีผู้ติดตามกว่า 50,000 คน

ต่อมาวันที่ 12 ก.ค.66 พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต บก.ตอท. พร้อมด้วย พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ขุนพิลึก สว.ฯ, พ.ต.ท.วิเชียร คําชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.ณัฐพงค์ เผือกเนียม สว.ฯ ชุดสืบสวนได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี และ กก.สส.ภ.จว.เพชรบุรี นำหมายค้นศาลจังหวัดเพชรบุรี เข้าตรวจค้นบ้านพักในพื้นที่ หมู่ 3 ต.หนองปรง อ.เขาย้อย จว.เพชรบุรี พบนายอัครนันท์ พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ซิมการ์ด 2 ซิม จากการตรวจสอบตรวจพบหลักฐานยืนยันว่านายอัครนันท์ฯ เป็นแอดมิน VK ชื่อกลุ่ม DARK SIDE CLUB ซึ่งเป็นกลุ่มสาธารณะที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่มีรหัสป้องกัน หรือต้องได้การรับเชิญจากผู้จัดการ และ กลุ่มอื่น ๆ ที่มีการโพสต์ภาพลามกอนาจาร แอบแฝงชักชวนเล่นพนันออนไลน์ รวมแล้ว 19 กลุ่ม มีผู้ติดตามรวมกว่า 250,000 คน

จึงได้ร่วมกันจับกุม นายอัครนันท์ อายุ 27 ปี ในความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ ผู้ใดจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.การพนัน จากนั้นนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เบื้องต้นจากการสอบถามผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับทำมาแล้วหลายปีเคยได้เงินมากสุดถึง 100,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันได้ผันตัวเป็นเอเย่นคอยส่งงานการโฆษณาชักชวนให้เล่นการพนันไปยังแอดมินกลุ่มอื่น ๆ โดยทำหน้าที่เป็นคนกลางหักหัวคิว

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต บก.ตอท. สั่งการ พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ขุนพิลึก สว.ฯ, พ.ต.ท.วิเชียร คําชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.ณัฐพงค์ เผือกเนียม สว.ฯ พร้อมทีมสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘สาว’ โพสต์เตือนภัย!! หลังถูกแอบถ่ายใต้กระโปรงบนรถไฟฟ้า เผย โรคจิตคนนี้ก่อเหตุมาแล้ว 3 ครั้ง โชคดีมีพลเมืองดีช่วยไว้

เมื่อไม่นานมานี้ บัญชี TikTok ชื่อ ‘PIMJAI’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอ ‘EP1 เตือนภัยโดนแอบถ่ายใต้กระโปรงบนรถไฟฟ้า’ โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“วันนี้จะมาเล่าเตือนภัยหลังโดนแอบถ่ายใต้กระโปรงบนบีทีเอส ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสักช่วงค่ำ ๆ เป็นเวลาที่เรากลับจากการทำงานค่ะ และได้ใช้บีทีเอสกลับบ้านปกติ แต่สาเหตุที่ทำให้รู้สึกเอะใจ เริ่มจากที่บีทีเอสสยามค่ะ มีคนมาสะกิดข้างเรา และถามว่าเส้นนี้ผ่านชิดลมไหม เราเลยตอบกลับไปว่าใช่ หลังจากนั้นบีทีเอสก็มา ประตูเปิดเราก็เดินเข้าบีทีเอสไป ซึ่งเราอุส่าห์เดินจากประตูนึงไปอีกประตูนึงที่อยู่เยื้องกันไป เพราะเห็นว่าแถวนั้นไม่ค่อยมีคน แต่ผู้ชายที่สะกิดเราตอนแรกได้เดินตามหลังเรามา เราเลยมองกระจกที่มันสะท้อนไปด้านหลังก็เห็นผู้ชายคนนั้นท่าทางแปลก ๆ ทำไมต้องมาอยู่ใกล้หลังเราด้วยทั้งที่บริเวณพื้นที่ตรงนั้นเยอะมาก” 

“เราก็เลยหันไปมองด้านหลัง แล้วตาก็เหลือบไปมองกระเป๋าเขาพอดี ตรงกระเป๋าเขาตรงปลายก็จะปักเป็นตัวอักษร R แต่เรารู้สึกว่าตัว R มันแปลก ๆ เหมือนเจาะรูดำเอาไว้ ซึ่งเราก็ได้เพ่งไปที่กระเป๋าเขา แล้วก็คิดว่า เฮ้ย! มันคุ้น ๆ สถานการณ์นี้เหมือนเป็นกล้องแอบถ่ายเลย เราก็เลยก้มลงไปหยิบกระเป๋าเขาขึ้นมาเลยนะคะ แล้วถามว่า นี่ใช่กล้องไหมคะ? ซึ่งตอนนั้นถ้าหน้าแตกก็คือยอมหน้าแตกเลย หลังจากนั้นผู้ชายคนนี้ก็ทำท่าลุกลี้ลุกลนแล้วก็ดึงกระเป๋ากลับ เราเลยคิดว่าใช่แน่ ๆ เราจึงยื้อกระเป๋าเขาไว้ และตะโกนว่า “ช่วยด้วยค่ะ โดนแอบถ่ายใต้กระโปรง” เพื่อให้คนในขบวนได้รับรู้ ซึ่งเราเป็นคนที่เสียงดังมาก จังหวะนั้นประตูบีทีเอสเปิดพอดี ไอ้โรคจิตมันก็เลยกระชากกระเป๋าวิ่งออกจากบีทีเอสไปเลย”

ถัดมา ‘คุณ PIMJAI’ ได้ออกมาโพสต์เฟสบุ๊กเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “โชคดีมาก ๆ มีพลเมืองดีประมาณ 4-5 คน กรูกันไปจับ มีคนนึงกระโดดถีบคนร้ายโรคจิตจนติดกำแพง ก็เลยสามารถจับไว้ได้ทัน ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยนะคะที่ช่วย ไม่งั้นมันคงหนีไปได้แน่ จับได้แล้วเราก็ตะโกนเรียก รปภ. แถวนั้นให้มาช่วยแต่หาไม่เจอ มีผู้ชายใจดีไปช่วยตาม รปภ. มาให้ เจ้าหน้าที่ที่รถไฟฟ้าคนอื่น ๆ ก็ตามกันมาช่วย โทรตามตำรวจมาเอาคนร้ายโรคจิตไปไต่สวนที่โรงพักเพื่อดำเนินคดี”

“เหตุการณ์วันนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ช็อกมาก ๆ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน โชคดีมากที่ตอนนั้นสังเกตสิ่งรอบตัว ไม่มัวยืนเล่นมือถือ ไม่งั้นคงไม่รู้แน่ ๆ ว่ากำลังโดนแอบถ่าย แล้วก็โชคดีที่ตัวเองใส่กางเกงซับในไว้ตลอด (ไม่อยากจะเชื่อว่าต้องมาดีใจที่ตัวเองป้องกันไว้ ทั้งที่จริงสิ่งเหล่าที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย ต่อให้เขาจะนุ่งสั้นนุ่งยาวก็ตาม)”

“สรุปคือโรคจิตคนนี้บอกว่าก่อเหตุมา 3 ครั้งแล้ว แต่ละคลิปคือเดินแอบถ่ายใต้กระโปรงผู้หญิงตามห้าง ตามรถไฟฟ้า มีหลาย ๆ คนที่โดนแอบถ่ายโดยไม่รู้ตัว อยากจะเตือนทุกคนว่าโรคจิตพวกนี้มันมีอยู่ตลอด ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็โดนได้หมด (วันนี้ที่เราไปแจ้งความ ก็มีผู้ชายไปแจ้งเรื่องโดนแอบถ่ายเหมือนกัน) เวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ อยากให้ทุกคนพยายามสังเกตสัญญาณที่น่าสงสัยรอบตัวไว้บ้างนะคะ แล้วเวลามีอะไรเกิดขึ้น อย่าไปอายที่จะตรวจเช็กและขอความช่วยเหลือนะคะ”

ตำรวจไซเบอร์จับพ่อค้าป้ายทะเบียนปลอม พบส่งขายทั่วไทย ค้นบ้านเจอของกลางอื้อ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากกรณีมีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมรถยนต์หรูติดป้ายทะเบียนปลอมวิ่งผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางโดยไม่ชำระค่าบริการจำนวนหลายครั้ง เช่น กรณีรถ BMW ติดป้ายแดงปลอมวิ่งผ่านด่าน M-Flow ค้างค่าชำระกว่า 7,000 บาท กรณีต่างชาติขับรถเบนซ์ป้ายแดงปลอม ผ่านด่าน M-Flow พบว่าค้างค่าผ่านทางสูงสุด 20 อันดับแรก และ อีกหลายกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์จึงออกสืบสวนหาข่าว จากการสืบสวนทราบว่าได้มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ“ขายป้ายแดง พร้อมเล่ม” ได้มีการโพสต์ขายแผ่นป้ายทะเบียนที่ไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางบก (ป้ายปลอมและสมุดคู่มือประจำรถปลอม) ส่งขายออนไลน์ทั่วประเทศ ในราคา 3,500 – 8,500 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการล่อซื้อจนทราบว่าผู้ที่เป็นแอดมินเพจดังกล่าวชื่อ นายศิวพัฒน์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายศิวพัฒน์ฯ ได้แล้วที่จังหวัดสระบุรี ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีผู้ร่วมขบวนการ (ผู้ส่งของ) ได้มาจากการส่งแผ่นป้ายทะเบียนพร้อมสมุดคู่มือประจำรถปลอมจากพื้นที่จังหวัดตราด ทราบชื่อภายหลังคือ นายอติรุจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา

จนกระทั่งวันที่ 11 ก.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งใน ต.หนองเสม็ด อ.เมืองตราด จ.ตราด โดยพบแผ่นป้ายทะเบียนอยู่ในบ้านจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจยึด และจับกุมนายอติรุจ ในความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.4 เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น นายอติรุจ ให้การรับว่าตนเองได้ซื้อแผ่นป้ายทะเบียน
(ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือประจำรถมาจากนายศิวพัฒน์ฯ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งนายศิวพัฒน์ฯ เป็นแอดมิน
ในราคา 3,500 บาท และตนเป็นผู้นำส่งให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านบริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่งเป็นประจำ ซึ่งตนเองได้สั่งซื้อมาแล้วจำนวนหลายครั้ง แต่ไม่ทราบว่าแผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวเป็นของปลอม และตนเองมาทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมเกี่ยวกับผู้ที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ (ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือประจำรถปลอมทางโทรทัศน์และสื่อต่างๆ จนตนเองได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 จับกุมตามหมายจับของศาลอาญาในวันนี้

ตำรวจไซเบอร์ ขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าการซื้อขายแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หรือสมุดคู่มือประจำรถในเพจต่างๆ อาจจะถูกเจ้าของเพจที่เป็นมิจฉาชีพหลอกหรืออาจจะได้แผ่นป้ายรถยนต์และสมุดคู่มือประจำรถปลอม ซึ่งจากหลายครั้งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กวดขันจับกุมผู้ที่กระทำผิดในการใช้และครอบครองแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และสมุดคู่มือประจำรถที่ผิดกฎหมายมาตลอด จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าถ้าต้องการแผ่นป้ายทะเบียนและสมุดคู่มือประจำรถที่ถูกกฎหมายควรจะไปติดต่อที่กรมการขนส่งทางบกในพื้นที่ต่างๆ เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อของมิจฉาชีพต่อไป

‘ตร.’ คุมตัว ‘โอลาฟ’ มือฆ่าโหดนักธุรกิจเยอรมัน ส่ง สภ.หนองปรือ เร่งสอบสวนเค้นหาเหตุจูงใจ

(12 ก.ค. 66) จากกรณีการหายตัวไปของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค (MR.HANS PETER RALTER MACK) อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งวันที่ 10 ก.ค. ตำรวจไล่กล้องวงจรปิด พบว่า โตโยต้า รีโว สีดำ จค 7679 ชลบุรี ซึ่งนายโอลาฟ ชาวเยอรมัน และเป็นเพื่อนสนิทของนางเพธา ได้รับช่วงต่อในการบรรทุกตู้แช่แข็งขับวนรอบๆ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นระยะทางกว่า 160 กม. ก่อนจะขับเข้ามาจอดในหมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น โฮม 1 ซึ่งห่างจากลานจอดรถชั่วคราวที่รถเบนซ์ของนายฮันส์ถูกนำไปจอดทิ้งไว้

จากนั้นตำรวจจึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ จนทราบว่าตู้แช่แข็งถูกนำมาซุกซ่อนไว้ในบ้านทาวน์โฮมชั้นเดียว ภายในหมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น โฮม 1 หมู่ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงรีบนำกำลังเข้าตรวจสอบ พร้อมด้วยตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน เขต 2 ชลบุรี ภายหลังเจ้าหน้าที่เปิดตู้แช่ พบร่างนายฮันส์ถูกฆ่าหั่นเป็น 13 ส่วน บรรจุใส่ถุงดำแล้วนำไปแช่แข็งไว้ จากการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล เบื้องต้นยืนยันว่าเป็นศพนายฮันส์ ปีเตอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน ที่หายตัวไป ศพถูกแช่แข็ง ทำให้ศพยังอยู่ในสภาพยังไม่เน่าเปื่อย แต่พบว่าที่ศีรษะมีร่องรอยถูกตีด้วยของแข็งหลายครั้งจนเป็นแผลฉกรรจ์ ตำรวจจึงได้ส่งศพให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มีการขอศาลอาญาออกหมายจับ ผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย 1.) MRS.PETRA CHRISTL GRUNDGREIF (เพตรา) ชาวเยอรมัน 2.) MR.OLAF THORSTEN BRINKMANN (โอลาฟ) ชาวเยอรมัน และ 3.) นายซาฮ์รูค คารีม อุดดิน ชาวปากีสถาน สัญชาติไทย ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ และต่อมา นางเพตรา ถูกจับกุมเป็นรายแรก ก่อนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกมาเปิดเผยว่า รู้พิกัดของผู้ต้องหาอีก 2 รายแล้ว อยู่ระหว่างปฏิบัติการล่าตัว

ต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน ชุด บก.ตม. 3 ไล่ล่าตัวผู้ต้องหา ฆ่าหั่นศพนักธุรกิจชาวเยอรมัน ตรวจสอบวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่า นายโอลาฟจะใช้หลบหนีหลังมีการขโมยรถ จยย.ในการหลบหนี พบว่าหนีออกนอกพื้นที่ จ.ชลบุรีแล้ว มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จึงติดตามมากระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ในห้องพักหลังร้านอาหาร พื้นที่ สน.ประเวศ ก่อนนำตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สน.ประเวศ ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ จากนั้นนำตัวไปสอบปากคำที่ สภ.หนองปรือ จ.ชลบุรี

โดยเมื่อเวลา 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ มาที่ สภ หนองปรือ โดยได้ควบคุมตัวเข้าห้องสอบสวนทันที โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถาม นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ ว่ามีไรจะพูดหรือไม่?

ทางด้าน นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ ไม่ได้พูดอะไร ใช้เสื้อปิดหน้าปิดตา ก่อนเดินเข้าทางด้านหลัง สภ.หนองปรือ ทันที พร้อมนำตัวเข้าห้องสอบสวน เพื่อสอบถามอย่างละเอียดถึงมูลเหตุจูงใจ ที่ก่อเหตุในครั้งนี้

‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ เล่านาทีโดนหลอกจนสูญเงิน 3.2 ล้าน เผย!! ช่วงแรกผวา ‘นอนไม่หลับ-กินข้าวไม่ลง’ รู้สึกเหนื่อย

(11 ก.ค.66) สืบเนื่องจากกรณีข่าวแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นตำรวจหลอกลวง นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือ ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ ให้โอนเงินสูญเงินไป 3.2 ล้านบาท

ล่าสุด ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ ได้มาเปิดใจผ่านรายการ ‘คุยแซ่บ Show’ เผยนาทีโดนหลอกสูญเงิน 3.2 ล้าน ท้อใจโอกาสได้เงินคืนไม่ถึง 1%

ต๋อง เผย ชีวิตหลังโดนหลอกรู้สึกเข่าแทบทรุด การใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป ต้องไปปิดอายัดบัญชีธนาคารทั้งหมด เบอร์โทรศัพท์มือถือก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นเยอะมาก และเราก็ต้องประหยัดขึ้น ทำอะไรระวังตัวเองมากขึ้น ยอมรับว่าช่วงเกิดเหตุ 2 สัปดาห์แรกนอนหลับไม่สนิท กินข้าวก็ไม่ลง รู้สึกเหนื่อย และใช้ความคิดค่อนข้างเยอะ บอกเลยว่าไม่โดนด้วยตัวเองไม่มีทางเข้าใจ

ตำรวจไซเบอร์จับคาผ้าเหลือง เครือข่ายสรรพากรเก๊หนีจนมุมคากุฏ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรไปหาผู้เสียหายหลอกว่ามาจากกรมสรรพากร แล้วอ้างว่าจะทำเรื่องลดภาษีให้ แต่ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน ต่อมาให้แอด LINE แล้วกรอกลิงก์ทำตามขั้นตอน หลังจากนั้นมือถือผู้เสียหายค้าง ทำอะไรไม่ได้ เมื่อใช้การได้ปกติพบว่าเงินในบัญชีที่ติดตั้งแอพธนาคาร 3 บัญชีถูกโอนออกไปหมด รวมมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท จากการรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดมหาสารคาม ออกหมายจับ นายอันนพ อายุ 46 ปี ชาว จ.กำแพงเพชร

ต่อมาในวันที่ 10 ก.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า นายอันนพฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ มาปรากฏตัวบริเวณวัดแห่งหนึ่งใน อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบผู้ต้องหาอยู่ภายในวัดดังกล่าว จึงได้แสดงตัว และอ่านหมายจับ รวมทั้งได้ให้ผู้ต้องหาตรวจสอบหมายจับและอ่านหมายจับเอง ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ต้องหา ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและร่วมกันเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน” และได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้ฝากเตือนให้ผู้เสียภาษีระมัดระวังกลลวงจากมิจฉาชีพด้วย ซึ่งในปีที่แล้ว พบมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายภาษีในกรณีต่างๆ เช่น อ้างว่าจะคืนภาษีให้ อ้างว่าเป็นหนี้ภาษีอากรค้างกรมสรรพากร หรือในเรื่องอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขให้กดลิงก์ปลอมตามที่ส่งให้ทางแอพพลิเคชั่น LINE หรือให้แจ้งรหัส OTP 6 หลัก โดยอ้างว่าจะดำเนินการให้ จึงขอย้ำเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร โทรหาส่ง SMS แจ้งให้ประชาชนยื่นแบบหรือให้ชำระภาษีประจำปี เพราะอาจทำให้ท่านสูญเสียทรัพย์สินได้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธเนตร กาละกุล สว.กก.2 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top