Friday, 10 May 2024
อีอีซีไทม์

ประจวบคีรีขันธ์ - ครบรอบ 135 ปี วันสถาปนา กรมทหารราบที่ 13 มอบโล่ประกาศเกียรติคุณผู้ที่ให้การสนับสนุน

พ.อ.จักรพงษ์ โพธิ์นาแค ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 13 พร้อมด้วยข้าราชการ และพนักงาน ร่วมกันจัดงานเนื่องในวันสถาปนา กรมทหารราบที่ 13 ครบรอบ 135 ปี โดยมี พล.ต.ณรงค์ สวนแก้ว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 เป็นประธานในพิธีฯ ซึ่งในการจัดงานพิธีเนื่องในวันสถาปนา กรมทหารราบที่ 13 ในครั้งนี้ ได้มีการบวงสรวงถวายสักการะบูรพกษัตรย์, การประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับกำลังพลที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน , การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ/หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนภารกิจของ กรมทหารราบที่ 13 มาอย่างต่อเนื่อง

โดยมีแขกผู้มีเกียรติ มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งอดีต ผู้บังคับบัญชาของหน่วย , อดีตข้าราชการของหน่วย, นักธุรกิจจังหวัดอุดรธานี และส่วนราชการต่าง ๆ มาร่วมงานจำนวนมาก ทั้งนี้หน่วยได้ดำเนินการจัดพิธีฯ ตามมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด 

พล.ต.ณรงค์ สวนแก้ว ผบ.พล.ร.3 ได้พบปะพูดคุยสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ของอดีตข้าราชการของหน่วย เพื่อพัฒนาสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนหาแนวทางให้การช่วยเหลือ เมื่อได้รับความเดือดร้อนในโอกาสต่อไป

“กรมทหารราบที่ 13” มีประวัติความเป็นมาดังนี้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีเจ้าพระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยานมิต) เป็นแม่ทัพ จนเหตุการณ์สงบ เมื่อปี พ.ศ.2418 ต่อมาในปี พ.ศ. 2426 พวกฮ่อรุกรานเมืองหลวงพระบางอีก จึงโปรดให้พระยาพิชัย (มิ่ง) พระยาสุโขทัย (ครุธ) ยกกำลังไปปราบ แล้วให้พระยาราชวรานุกูล (เอก บุญยรัตนพันธุ์) เป็นแม่ทัพ จนถึงปี พ.ศ. 2428 แต่ไม่สำเร็จ จึงได้ถอนกำลังจากทุ่งเชียงคำกลับมายังเมืองหนองคาย เนื่องจากขาดเสบียงอาหารและแม่ทัพ คือ พระยาราชวรานุกูล ถูกฮ่อยิงบาดเจ็บ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารที่ได้รับการฝึกหัดตามแบบยุโรปขึ้นไปปราบฮ่อ

โดยจัดเป็นสองกองทัพคือกองทัพฝ่ายเหนือ มีนายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสงชูโต)  เป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อ ในแคว้นหัวพันห้าทั้งหกและแคว้นสิบสองจุไท กองทัพฝ่ายใต้  มีนายพันเอกพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพ ยกไปปราบฮ่อในแคว้นเมืองพวน และได้ตั้งกองบัญชาการกองทัพอยู่ที่เมืองหนองคาย แล้วให้ พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค) เป็นทัพหน้าเข้าตีค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ จนกระทั่ง พ.ศ. 2429  สามารถปราบฮ่อได้ราบคาบ จึงยกกำลังส่วนหนึ่งกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และคงกำลังส่วนหนึ่งไว้ในบังคับบัญชาของ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม

และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยทหารของ กรมทหารราบที่ 13 โดยมี พันเอกพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นผู้บังคับหน่วยคนแรก และต่อมา ในปี พ.ศ.2434 ได้จัดตั้งเป็นมณฑลลาวพวน โดยกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวพวน มีกองบัญชาการมณฑลที่เมืองหนองคาย ภายหลังการปราบปรามฮ่อสงบแล้ว ไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสเรียกว่า “กรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)” ด้วยพระปรีชาญาณของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาประเทศไว้  จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้แก่ฝรั่งเศส และปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ โดยห้ามประเทศสยามตั้งกองทหาร และป้อมปราการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขง

ดังนั้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2436 จึงได้เคลื่อนย้าย มณฑลลาวพวน ลงมาทางใต้เข้าที่ตั้งบริเวณบ้านหมากแข้งริมหนองนาเกลือ (หนองประจักษ์) กระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2443 ได้เปลี่ยนนามหน่วยจากมณฑลลาวพวน เป็น มณฑลอุดร ต่อมาในปี พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีอยู่ในเขตการปกครองของ มณฑลอุดร ขึ้นที่บ้านหมากแข้งโดยให้ย้ายกำลังทหารจากหนองนาเกลือ มาตั้งอยู่ที่ ริมหนองขอนกว้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายประจักษ์ศิลปาคมในปัจจุบัน กำลังทหารในขณะนั้นมี 2 หน่วยคือ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 และกรมทหารราบที่ 7 

ปี พ.ศ.2451 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อหน่วยใหม่เป็น กองทหารปืนใหญ่ที่ 10  และเปลี่ยนชื่อ กรมทหารราบที่ 7 เป็น กรมทหารราบที่ 20 ทั้ง 2 หน่วยขึ้นการบังคับบัญชากับ กองพลที่ 10 ปี พ.ศ.2454 กองทหารปืนใหญ่ที่ 10  ย้ายไปตั้งที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนกรมทหารราบที่ 20  ย้ายไปตั้งที่จังหวัดร้อยเอ็ด  โดยต่อมาในปี พ.ศ. 2456 จึงได้จัดตั้งกรมทหารม้าขึ้นที่จังหวัดอุดรธานี เรียกชื่อว่า กรมทหารม้าที่ 10 ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2459 ยุบเลิก และเปลี่ยนเป็น กรมทหารราบในกองพลทหารบกที่ 10

ปี พ.ศ.2460 กรมทหารราบในกองพลทหารบกที่ 10 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กรมทหารพรานในกองพลทหารบกที่ 9 ครั้นถึงปี พ.ศ.2462  กรมทหารพรานในกองพลทหารบกที่ 9 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น  กรมทหารพรานในกองพลทหารบกที่ 10 ต่อมากรมนี้ได้ถูกยุบเมื่อปี พ.ศ.2470  เนื่องจากกองทัพบกได้ปรับปรุงกองทัพใหม่ แล้วตั้งเป็น กองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 15

ปี พ.ศ.2471 กรมทหารราบที่ 15   ได้เปลี่ยนชื่อเป็น  กรมทหารราบที่ 6 โดยกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 15  เดิมได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 6  ส่วนจังหวัดทหารบกอุดร มีฐานะเป็นจังหวัดทหารบกชั้น  3  มีผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 6  เป็นผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในด้านกิจการต่างๆ ของสายงานจังหวัดทหารบกอุดร คงใช้เจ้าหน้าที่ของหน่วยกำลังรบเป็นส่วนใหญ่ ปี พ.ศ.2475 เปลี่ยนชื่อ กองพันที่ 2 เป็น กองพันทหารราบที่ 18 ปี พ.ศ.2477 กองพันทหารราบที่ 18 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองพันทหารราบที่ 22 ปี พ.ศ.2486 กองพันทหารราบที่ 22 ได้แบ่งแยกกำลังส่วนหนึ่งจัดตั้งเป็น กรมทหารราบที่ 13 โดย กรมทหารราบที่ 13  มี พันโท มล.เอก อิศรางกูล เป็น ผู้บังคับการกรม และกองพันทหารราบที่ 22 มี พันโท รัตน์ นพตระกูล เป็นผู้บังคับกองพัน

ปี พ.ศ.2489 กองพันทหารราบที่ 22 เปลี่ยนชื่อเป็น  กองพันที่ 1 และกำหนดให้เป็นหน่วยขึ้นตรงของ กรมทหารราบที่ 13 โดยทั้ง กรมทหารราบที่ 13 และ กองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  และในปีเดียวกัน ร.พัน.21 ได้ย้ายที่ตั้งจากจังหวัดเพชรบูรณ์ มาตั้งที่หนองสำโรง โดยเปลี่ยนนามหน่วยเป็น กองพันที่ 2 เป็นหน่วยขึ้นตรงของกรมทหารราบที่ 13

เมื่อปี พ.ศ.2494 ได้รับพระราชทานนามค่ายว่า “ค่ายประจักษ์ศิลปาคม” เพื่อเป็นอนุสรณ์ และถวายพระเกียรติแก่ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ในปี พ.ศ.2497 กองทัพบก ได้มีคำสั่ง ทบ. ที่ 28/4221 ลง 1 มีนาคม 2497  จัดตั้ง กองพันที่ 3 ให้เป็นหน่วยขึ้นตรงของ กรมทหารราบที่ 13 โดยมีที่ตั้งบริเวณฝั่งด้านทิศใต้ของหนองสำโรง ตำบลหมูม่น อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี  ร่วมกับกองพันที่ 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยจนถึงปัจจุบัน และต่อมาในปี พ.ศ.2498 กรมทหารราบที่ 13 แปรสภาพเป็น กรมผสมที่ 13 จนถึงปี พ.ศ.2510 โดยผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุดร และผู้บังคับการกรมผสมที่ 13 ซึ่งเดิมเป็นคนเดียวกัน ได้แยกกันอย่างเด็ดขาด และมีบทบาทหน้าที่โดยเฉพาะตามตำแหน่งที่ปฏิบัติงาน

 

ประจวบคีรีขันธ์ - พ่อเมืองประจวบฯ สั่งคุมเข้มราคาสินค้า ป้องกันเอาเปรียบผู้บริโภค

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเพื่อติดตามการดำเนินงานตามข้อสั่งการ "มอร์นิ่งบรี๊ฟ" ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัด โดยกำชับให้หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน บูรณาการการทำงานออกตรวจติดตาม เฝ้าระวัง และกำกับดูแลการกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะหมูเนื้อแดง ไข่ไก่ และสินค้าที่จำเป็นในดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งในช่วงนี้พี่น้องประชาชนได้ประสบปัญหาราคาสินค้าเนื้อหมูที่มีราคาสูงขึ้น เพื่อเป็นการควบคุมดูแลและแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภคในการกักตุนเนื้อสุกรเพื่อนำออกมาจำหน่ายในราคาที่สูงขึ้น

พร้อมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ติดป้ายแสดงราคาสินค้าอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาเลือกซื้อหรือใช้สินค้าได้เป็นธรรม รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกลาง ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2565 เรื่องการแจ้งปริมาณ ราคา สถานที่เก็บ และจัดทำบัญชีคุมสินค้าสุกร เนื้อสุกร ทั้งนี้ได้มอบแนวทางให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หารือร่วมกับผู้ประกอบการเพื่อผลักดันให้มีการดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน อาทิ กิจกรรมธงฟ้าราคาประหยัด และนำสินค้าราคาถูกมาจำหน่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป

 

ประจวบคีรีขันธ์ - ทูตเบลเยียม พบผู้ว่าประจวบฯ หารือถึงสถานการณ์โควิด และปัญหาชายแดน!!

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ให้การต้อนรับ นางซีบิลล์ เดอ การ์ทิเย่ร์ ดีฟส์ (Mrs.Sibille de Cartier d’Yves) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียม ประจำประเทศไทย ในโอกาสเดินทางมาเยือน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 23-24 มกราคม 65 พร้อมให้ข้อมูลที่สำคัญและปรึกษาหารือในประเด็นต่าง ๆ โดย นางซีบิลล์ มีความสนใจแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แผนและแนวทางการฟื้นฟูจังหวัดจากสถานการณ์โควิด รวมทั้งแผนการท่องเที่ยวแบบ Sandbox และกรณีปัญหาการอพยพของชาวเมียนมาซึ่งลักลอบเข้ามาตามแนวชายแดน

ซึ่งผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ ได้นำเสนอข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจังหวัดประจวบฯถือว่ายังสามารถควบคุมได้และมีอัตราการเสียชีวิตต่ำ ในส่วนแผนและแนวทางการฟื้นฟูจังหวัดจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ในด้านการท่องเที่ยว ถือเป็นด้านที่ต้องการฟื้นฟูมากที่สุด เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นรายได้หลักของจังหวัดประจวบฯ โดยมีแนวทางในการประชาสัมพันธ์แนะนำแหล่งท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ทราบถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามภายในจังหวัด

นอกจาก “หัวหิน” ที่เป็นเป้าหมายหลักสำหรับนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาจังหวัดประจวบฯแล้ว ภายในจังหวัดยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและหน้าสนใจอีกหลายจุดรวมทั้งยังมีเส้นทางการท่องเที่ยวในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลายเช่น การท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยววิถีชุมชน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีทางเลือกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และกรณีการท่องเที่ยวแบบ Sandbox นั้นทางจังหวัดประจวบฯได้มีแผนที่จะทำในอนาคต แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาเพื่อให้มีมาตรการที่ครอบคลุมปลอดภัย สำหรับผลกระทบในด้านการเกษตรหรืออุตสาหกรรมในจังหวัด ยังไม่ส่งผลมากนักจากสถานการณ์โควิด เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประชาชนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

 

ชลบุรี - ทัพเรือภาคที่1 นำกองทัพไอโอดีนจากพี่น้องประมงชลบุรี มุ่งหน้าส่งมอบ ‘จากทะเล-สู่ดอย’ ตามโครงการพระราชดำริฯ ‘ต่อต้านโรคขาดสารไอโอดีน’

เคลื่อนทัพแล้ว...ทัพเรือภาคที่1 นำกองทัพไอโอดีน จาก พี่ น้อง ประมง พื้นที่ จ.ชลบุรี สมทบ กับพื้นที่อื่น ๆ มุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที และส่งมอบให้เด็ก ๆ ตามโครงการพระราชดำริฯ ต่อต้านโรคขาดสารไอโอดีน

ที่เทศบาลตำบลบางเสร่ กลุ่มเกษตรกรประมง ต.บางเสร่ สมาคมการประมงแสมสาร และสมาคมประมงชลบุรี ร่วมกับ เทศบาลตำบลบางเสร่ ได้ส่งมอบ ปลากระตักแห้ง ปลาทูเค็ม และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน ให้แก่ กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่1

ภายหลังการส่งมอบเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ได้นำปลากระตักแห้ง ปลาทูเค็ม และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน ขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อ ของทัพเรือภาคที่1 ที่ได้จัดเตรียมไว้และ ได้ออกเดินทางทันที เพื่อไปสมทบกับขบวนรถของ ทัพเรือภาคที่1 ที่ได้รับมอบ ปลากระตักแห้ง ปลาทูเค็ม และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน จาก สมาคมการประมง องค์การสะพานปลาอื่น ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่1 (อ่าวไทยตอนบน )

ประจวบคีรีขันธ์ - จ.ประจวบฯ น้อมรำลึกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องใน ‘วันกองทัพไทย’

เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วย ผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี ผู้บัญชาการโรงเรียนนายสิบทหารบก ผู้บัญชาการศูนย์การกำลังสำรอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานต่างๆ ร่วมประกอบพิธีถวายราชสักการะและถวายพานพุ่มดอกไม้สด พร้อมกล่าวถวายราชสดุดี เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันกองทัพไทย เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช องค์วีรกษัตริย์ไทย และบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ ตลอดจนเหล่าบรรพบุรุษของไทยที่ได้สร้างวีรกรรมอันกล้าหาญสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้เป็นมรดกมาจนถึงทุกวันนี้

วันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย เป็นวันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า โดยถือเอาวันที่ 18 มกราคม ตามการคำนวณจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ระบุว่า พระองค์กระทำยุทธหัตถีในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ.954 คำนวณได้ ตรงกับวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2135 (บางตำรา พ.ศ.2136) เดิมกระทรวงกลาโหมได้กำหนดให้วันที่ 8 เมษายน ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ต่อมาในปี พ.ศ.2523 ได้เปลี่ยนโดยให้ถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทย ตามมติของคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้น ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดวันกองทัพไทยและวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ลง 13 มิ.ย.2523 ต่อมาภายหลังได้มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ตรวจสอบและพบว่าวันที่ทรงกระทำยุทธหัตถีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ตรงกับวันที่ 25 มกราคม แต่น่าจะตรงกับวันที่ 18 มกราคมปีดังกล่าว ทางราชการยังคงถือเอาวันที่ 25 มกราคมเป็นวันกองทัพไทยต่อไป

 

เพชรบุรี - “ยุทธพล” ลงหาดชะอำ หาแนวทางแก้ไขปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง

วันที่ 19 มกราคม นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วยนายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายปรานต์ ดิลกคุณากุล ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง นายสืบสกุล หนูไชยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 3 และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมกับนายชาตรี วชิระเผด็จศึก ผอ.สำนักงาน ทสจ.เพชรบุรี สื่อมวลชนและตัวแทนภาคประชาชนลงพื้นที่บริเวณชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อติดตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงกันคลื่นกัดเซาะชายหาดบริเวณชายหาดชะอำ ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่ตามที่มีประเด็นข่าวทางสื่อมวลชน ซึ่งบริเวณดังกล่าวขณะนี้ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการจัดทำโครงการกำแพงกันคลื่นซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างอยู่

สำหรับพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีมีความยาวชายฝั่ง 89.71 กิโลเมตร มีพื้นที่ประสบปัญหากัดเซาะชายฝั่งระยะทาง 50,42 กิโลเมตร ดำเนินการแก้ไขแล้ว 45.40 กิโลเมตร พื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่ง 5.02 กิโลเมตร และพื้นที่ที่ไม่ประสบปัญหากัดเซาะ 39.29 กิโลเมตร สำหรับในส่วนที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ดำเนินการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งโดยการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นในจังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง 6,760 เมตร

 

ชลบุรี - สำนักงาน ป.ป.ช.ชลบุรี แถลงข่าวชี้มูล คดีการทุจริตของข้าราชการ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วันที่ 17 ม.ค.65 นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี เป็นประธานจัดแถลงข่าว คดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ดำเนินการ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดรวมทั้งการเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในจังหวัดชลบุรี ณ ห้องประชุมแสนสำราญ ชั้น 2 อาคารศูนย์การประชุม โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี

นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. ระดับจังหวัด ดำเนินการแถลงข่าวคดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ดำเนินการ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด รวมทั้งการเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในจังหวัดชลบุรี เป็นประจำทุกเดือน เพื่อสร้างพลังทางสังคมในการต่อต้านการทุจริต และปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยต่อไป

สำหรับจังหวัดชลบุรี ได้มีประเด็นการแถลงข่าว 3 เรื่อง ได้แก่ กรณี ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สังกัดเทศบาลตำบลพานทอง ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำการเบิกจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพของเทศบาลตำบลพานทอง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 – 2557 โดยไม่มีเอกสารหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย กรณีที่ 2 อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร กับพวกรวม 1 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ออกใบอนุญาตปลูกสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร ในที่ราชพัสดุ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกองทัพเรือ และกรณีที่ 3 อดีตรองนายกเทศบาลตำบลบางเสร่ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่ควรแจ้งให้ทราบ ซึ่งในคดีนี้ ในที่ประชุมได้มีมติให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2564 อันมีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลบางเสร่ (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จนกว่าจะมีคำพิพากษา)

 

ชลบุรี - ถวายราชสักการะ ‘วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช’ ประจำปี 2565

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 17 มกราคม 2565 ที่ห้องโถง ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดชลบุรี นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานประกอบพิธีถวายราชสักการะ "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ” ประจำปี 2565 พร้อมด้วยนางสุภาพร เทียนไชย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี และรองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ เข้าร่วมในพิธีฯ โดยได้ปฏิบัติตามมาตรการ การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

โดยประธานในพิธี ถวายพานพุ่ม ดอกไม้สด จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และอ่านคำถวายอาศิรวาทราชสดุดี เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2565 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย

 

ชลบุรี - จับคู่เจรจายอดขาย 13 ล้านบาท!! พาณิชย์ชลบุรี ร่วมกับพาณิชย์จังหวัดภาคตะวันออก นำสินค้าปศุสัตว์และเกษตรปลอดภัย บุกตลาดจัดเจรจาธุรกิจ และจัดมหกรรมสินค้าคุณภาพช่วยเหลือเกษตรกรและปชช.ในช่วงโควิด

ที่ห้องศรีรัตน โรงแรมรัตนชล อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี นายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และว่าที่ร้อยโท สุธรรม ลครรำ(ละ-คอน-รำ) พาณิชย์จังหวัดชลบุรี ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน มหกรรมสินค้าปศุสัตว์ และเกษตรปลอดภัย ภายใต้โครงการส่งเสริมการบริโภคสินค้าปศุสัตว์และสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานปลอดภัย

ว่าที่ร้อยโท สุธรรม ละครรำ(ละ-คอน-รำ) พาณิชย์จังหวัดชลบุรี ได้กล่าวแถลงถึงผลการจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจ ภายใต้โครงการนี้ว่า ได้มีการจับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ คู่ซื้อขาย ได้จำนวนถึง 12 คู่เจรจา ผลการจับคู่เจรจา ได้ยอดขาย 13 ล้านบาท ซึ่งการจับคู่ธุรกิจครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการทำการตลาดเชิงรุก และยังมีการจัดงานมหกรรมสินค้าปศุสัตว์ และเกษตรปลอดภัย ระหว่างวันที่ 7-11 มกราคม 2565 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดชลบุรี โดยนำสินค้าจากผู้ค้า 8 จังหวัดภาคตะวันออก นำสินค้าปศุสัตว์ ปศุสัตว์แปรรูป และสินค้าเกษตรปลอดภัยมา จำหน่ายในราคาพิเศษ ถึง 100 ร้านค้า

 

ชลบุรี - ยืนยัน!! คลัสเตอร์ ทหารเรือสัตหีบ ไม่มีการแพร่ระบาดและสามารถควบคุมได้

พลเรือโท ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อบางสื่อรายงานข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งระบุว่าเกิด Cluster ในเขตพื้นที่ทหารเรือ โดยมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องไม่สามารถควบคุมได้นั้น โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือมีความไม่สบายใจต่อข่าวดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผู้ปกครองและครอบครัวของทหารใหม่ในสังกัดกองทัพเรือ มีความกังวลและตื่นตระหนก

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ สั่งการให้กรมแพทย์ทหารเรือ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ จากรายงานของกรมแพทย์ทหารเรือ ระบุว่า ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2565 มีรายงานการพบกำลังพลในสังกัดกองทัพเรือที่ติดเชื้อโควิด-19 ดังนี้ วันที่ 26 ธันวาคม 2564 ไม่มีผู้ติดเชื้อ วันที่ 27 ธันวาคม 2564  มีผู้ติดเชื้อ 1 ราย วันที่ 28 ธันวาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อ 2 ราย วันที่ 29 ธันวาคม 2564  มีผู้ติดเชื้อ 10 ราย  วันที่ 30 ธันวาคม 2564  มีผู้ติดเชื้อ 7 ราย วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อ 2 ราย วันที่ 1 มกราคม 2565  มีผู้ติดเชื้อ 9 ราย และ วันที่ 2 มกราคม 2565 มีผู้ติดเชื้อ 6 ราย 

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่อไปว่า กำลังพลของกองทัพเรือที่ติดเชื้อในพื้นที่สัตหีบ ตามรายงานข้างต้น ไม่ได้อยู่ในสังกัดหน่วยเดียวกัน ไม่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ไม่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) และปัจจุบันสามารถควบคุมการแพร่ระบาดในพื้นที่ได้ ดังนั้น ข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏที่ระบุว่า ไม่สามารถควบคุมได้ ถือว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมากองทัพเรือได้ให้ความสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อให้กับกำลังพลในทุกระดับ

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top