Saturday, 22 June 2024
POLITICS

‘บ่อนระยอง’ เรื่องตลกที่ Google รู้ แต่ตำรวจบอก ‘ม่ายรู้’

‘บ่อนระยอง’ เรื่องตลกที่ Google รู้ แต่ตำรวจบอก ‘ม่ายรู้’

.

จากกรณีในหลาย ๆ สถานที่ที่ทางกรุงเทพมหานครได้มีการประกาศปิด และมีข้อจำกัดในการเปิดให้บริการที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หากจะเปิดให้บริการก็มีความสงสัยในประชาชนว่าที่ไหนเปิดที่ไหนปิดอย่างชัดเจน

ทาง ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) จึงได้โพสต์คำตอบผ่านเฟซบุ๊ก ‘เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง - Earth Pongsakorn Kwanmuang’ โดยระบุว่า

"หลังจากที่ กทม. มีประกาศปิด 4 สถานที่ชั่วคราว ก็มีหลายคนสงสัยว่าตกลงแล้วสถานที่ใดปิดบ้าง สถานที่ไหนเปิดได้บ้าง วันนี้เลยเอาคำถามยอดฮิตที่ถามกันเยอะ มาตอบให้คลายความสงสัยกันครับ

ถาม: ร้านตัดผม/เสริมสวย เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านอาหาร ที่มีบริการห้องคาราโอเกะ สำหรับลูกค้าร้องเพลงกันเอง เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ แต่ต้องไม่มีพนักงานปรนนิบัติ และไม่มีพนักงานร่วมร้องเพลงกับลูกค้า

ถาม: ผับ / บาร์ / ร้านเหล้า ยังเปิดได้ไหม?

ตอบ: สถานที่ดังกล่าวเข้าข่ายเป็นสถานบริการ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการพ.ศ.2509 ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามเวลา #แต่สามารถปรับเป็นร้านอาหารได้ แต่ต้องไม่มีการเต้น รำวง ไม่มีพนักงานปรนนิบัติลูกค้า ไม่มีพนักงานร้องเพลงร่วมกับลูกค้า หากมีดนตรีสดต้องเปิดไม่เกินเที่ยงคืน

ถาม: ร้านอาหาร สามารถเล่นดนตรีสด และจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ไหม?

ตอบ: ได้ครับ แต่ต้องไม่มีพื้นที่ให้เต้น ห้ามนักร้องร้องเพลงกับลูกค้า และต้องเปิดไม่เกินเที่ยงคืน

ถาม: ฟิตเนส/สระว่ายน้ำ เปิดให้บริการได้อยู่ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: บ่อตกกุ้ง / ข้าวต้มโต้รุ่ง

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านเกมส์ / ร้านอินเทอร์เน็ต / สนุกเกอร์ เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านนวดแผนไทย/นวดเพื่อสุขภาพ/สปาเปิดได้ไหม?

ตอบ : เปิดได้ครับ

ทั้งนี้ทุกสถานที่และทุกกิจกรรมต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid19"


ที่มา: เฟซบุ๊ก เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง - Earth Pongsakorn Kwanmuang

สื่อรัฐสภา ตั้งฉายารัฐสภา ปี 63 แบบเจ็บๆ คันๆ เหมือนเคย ส่วนปีนี้ใครจะรับฉายาใด ลองไปตามดู!!

ที่ประชุมร่วมกันของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกันในการตั้งฉายาของรัฐสภา เพื่อเป็นการเป็นการสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีข้อสรุปดังนี้

ปลวกจมปลัก1.สภาผู้แทนราษฎร : ปลวกจมปลัก
ปลวกเป็นสัตว์ที่มีการแบ่งงานกันทำเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด สำหรับสภาผู้แทนราษฎรแล้วมีส.ส.ที่ทำงานดุจปลวกที่ทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการใช้สภาเป็นเครื่องมือเพื่อชิงอำนาจและทำลายล้างฝั่งตรงข้าม ยิ่งนานวันก็จมปลักกลับการทำงานแบบเดิม ไม่ใช้สภาเพื่อประโยชน์ในการระดมสมองและแก้ปัญหาให้กับประชาชน หนำซ้ำตลอดปีมานี้การประชุมสภาฯล่มกลางคันหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าส.ส.ชุดนี้ไม่ให้ความสำคัญกับการประชุมสภาฯทั้งที่เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ ส.ส.ในฐานะคนทำงานจึงเปรียบเป็นปลวกที่จมปลักไม่พัฒนาและจะยิ่งกัดกินหลักการของประชาธิปไตยให้พุกร่อนเข้าไปทุกที  

สภาปรสิต2.วุฒิสภา : สภาปรสิต
ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายถึง 'ปรสิต' ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยผู้อื่นหรือเซลล์ชนิดอื่นเป็นที่พักอาศัยและแหล่งอาหาร และบางครั้งทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประโยชน์นั้นหรือเซลล์ภายในจนเจ็บป่วยหรือถึงกับเสียชีวิต เมื่อกลับมามองในมิติทางการเมืองแล้วจะพบว่าวุฒิสภาชุดนี้ก็มีสภาพไม่ต่างปรสิตที่อาศัยอยู่ในรัฐสภา นอกจากไม่มีผลงานที่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนปรสิตแล้วยังนำมาซึ่งพิษภัยแก่การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยเฉพาะการพยายามใช้เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างเพื่อชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาพิจารณาก่อนรับหลักการไปจนถึงการลงชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ฉายา 'ปรสิต' จึงเหมาะกับวุฒิสภาชุดนี้

ครูใหญ่ไม้เรียวหัก3. 'ชวน หลีกภัย' ประธานสภาผู้แทนราษฎร: ครูใหญ่ไม้เรียวหัก
ทุกครั้งที่ 'ชวน หลีกภัย' ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาไม่เคยถูกกังขาถึงความเป็นกลางแม้แต่ครั้งเดียว และตลอดปีที่ผ่านมาก็ยังยึดแนวทางดังกล่าวไว้ได้อย่างมั่นคง นอกเหนือไปจากการพยายามควบคุมการประชุมสภาแล้ว ประธานสภายังสวมบท 'ครูใหญ่' ที่ถือไม้เรียวคอยกวดขันวินัยของส.ส.ที่หย่อนยานอีกด้วย เช่น การตักเตือนส.ส.ให้สวมหน้ากากในห้องประชุมสภา เพื่อคุมการระบาดของโควิด 19 หรือการขอความร่วมมือส.ส.ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา เป็นต้น แต่ปรากฎว่าส.ส.การ์ดตกทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการละเลยการสวมหน้ากากอนามัย หรือแม้แต่อเรื่องเล็กๆอย่างขอความร่วมมือส.ส.งดนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับประทานในห้องประชุมก็ไม่เป็นผล และที่ร้ายแรงที่สุด คือ เหตุการณ์สภาล่ม ซึ่งเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าต่อให้ประธานสภาจะยึดมั่นหลักการแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจสร้างเปลี่ยนแปลงได้เพราะส.ส.ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ เหมือนกับครูใหญ่ที่มีไม้เรียวและต่อให้ฟาดแรงจนไม้เรียวหักคามือ ส.ส.ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

หัวตอ รอออเดอร์4. 'พรเพชร วิชิตชลชัย' ประธานวุฒิสภา: "หัวตอ รอออเดอร์"
ถ้าเทียบบารมีทางการเมืองระหว่างเมื่อครั้งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับประธานวุฒิสภา ถือว่านับตั้งแต่มาเป็นประมุขสภาสูงบารมีของ 'พรเพชร' ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำด้วยทุกครั้งที่ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในฐานะรองประธานรัฐสภา พบว่าไม่สามารถควบคุมการประชุมให้เป็นที่เรียบร้อยได้เมื่อเทียบกับ 'ชวน หลีกภัย' หลายครั้งที่รับมือกับความเขี้ยวทางการเมืองของส.ส.ฝ่ายค้านไม่ไหว ทำให้การประชุมเกิดความปั่นป่วนเป็นระยะ กลายเป็นหัวหลักหัวตอที่สมาชิกรัฐสภาไม่ค่อยให้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ การทำหน้าที่ของประธานวุฒิสภายังไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะหลายเรื่องในวุฒิสภากลับปล่อยให้ส.ว.เป็นผู้ชี้นำประธานวุฒิสภาแทน ภาพรวมแบบนี้ทำให้ประธานวุฒิสภาเสมือนหัวหลักหัวตอที่ไม่มีใครสนใจแต่มีหน้าที่แค่รับคำสั่งทำงานเท่านั้น

สุทิน คลังแสง (ประชด)5. สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร : สุทิน คลังแสง?
ก่อนอื่นต้องบอกว่าฉายาของผู้นำฝ่ายค้านฯที่ปรากฎออกมานั้นเป็นฉายาที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้เขียนผิดแต่อย่างใด เนื่องจากต่างเห็นตรงกันว่าบทบาทการเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯนั้น 'สมพงษ์' ไม่ได้โดดเด่นสมกับตำแหน่งเท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับเป็น 'สุทิน คลังแสง' ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่น หลายต่อหลายครั้งเป็นตัวแทนของฝ่ายค้านไปร่วมประชุมกับฝ่ายรัฐบาลจนทำให้ฝ่ายค้านได้เวลาอภิปรายในสภาอย่างสมน้ำสมเนื้อและสามารถชี้นำสภาในที่ประชุมได้ ผิดกับผู้นำฝ่ายค้านฯตัวจริงที่ยังไม่ทำงานเชิงรุกมากนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้อดไม่ได้ว่า 'สุทิน คลังแสง' คือ ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่ใช่ 'สมพงษ์ อมรวิวัฒน์'

ดาวเด่นแห่งปี6.ดาวเด่นแห่งปี : สุทิน คลังแสง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2563 ตลอดทั้งปี 'สุทิน คลังแสง' ในฐานประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ได้อย่างท็อปฟอร์ม หลายครั้งที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องสำคัญและส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยที่อภิปรายนอกประเด็นไปไกลและใช้แต่วาทะศิลป์ในการโจมตี แต่ทุกอย่างก็กลับเข้ารูปเข้ารอยเมื่อ 'สุทิน' ได้ขึ้นอภิปรายสรุปประเด็น การอภิปรายสรุปของประธานวิปฝ่ายค้านไม่ใช่แค่การอภิปรายสรุปเพื่อให้จบตามหน้าที่เท่านั้น เพรายังหยิบจับประเด็นสำคัญบางเรืองที่ส.ส.ฝ่ายค้านอาจไม่ได้พูดถึงหรือพูดถึงแต่ยังไม่มีความชัดเจน มาขยายความเพื่อให้สภาได้ข้อเท็จจริงเพิ่มมากขึ้น ตำแหน่งดาวสภาประจำปี 2563  จึงตกเป็นของ 'สุทิน คลังแสง' ไปอย่างเอกฉันท์

ดาวดับแห่งปี7.ดาวดับแห่งปี : วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย
การตัดสินตำแหน่งดาวดับแห่งปีในครั้งนี้ถือว่ามีความลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีข้อเสนอควรให้ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ สมควรได้รับตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน ภายหลังมงคลกิตติ์แสดงจุดยืนทางการเมืองที่กลับไปกลับมา นึกอยากจะร่วมรัฐบาลก็ประกาศสนับสนุน แต่วันใดไม่อยากสนับสนุนก็ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ ซึ่งอาจบอกว่าเป็นส.ส.ไร้จุดยืนก็คงไม่ผิดนัก แต่ถึงที่สุดแล้วสื่อมวลชนรัฐสภามีความเห็นว่าควรให้ตำแหน่งดาวดับเพียงคนเดียว และตำแหน่งนั้นเป็นของ 'วิสาร เตชะธีราวัฒน์' ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ใช้มีดปลอกผลไม้กรีดแขนกลางที่ประชุมสภา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพราะเป็นการชี้นำให้ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเป็นส.ส.หลายสมัยและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนที่สมควรเป็นแบบอย่างที่ดี แต่กลับแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อหวังผลทางการเมือง จึงหวังว่าตำแหน่งดาวดับที่สื่อมวลชนมอบให้จะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

คู่กัดแห่งปี8.คู่กัดแห่งปี : 'สิระ เจนจาคะ' และ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์'
เกือบได้เห็นการวางมวยกลางสภา ภายหลังปฐมบทแห่งความเดือดมาจากกรณีที่ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถควบคุมความสงบได้ ต่อมา 'สิระ เจนจาคะ' ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวตอบโต้ว่า "การออกมาเรียกร้องเช่นนี้ต้องการผลประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือเงินหมด เพราะบริจาคเงินเดือนส.ส.ให้ในสถานการณ์โควิดไปแล้ว ซึ่งหากเงินหมดจริงติดต่อผมได้" เรื่องไม่ได้จบแค่นั้นเพราะ 'มงคลลกิตติ์' โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กระบุว่า "เจอสิระที่ไหนจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก" และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เจอหน้ากันจริง โดยเป็นเหตุการณ์ระหว่างที่ 'มงคลกิตติ์' กำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบริเวณรัฐสภา และได้พบกับ 'สิระ' ทำให้เดินเข้าไปจับแขนสิระแต่สิระสะบัดออก ปรากฎว่า 'มงคลกิตติ์' พยายามเดินตามแต่สิระเดินหนี ที่สุดแล้วต้องถึงมือ 'ชวน หลีกภัย' ที่ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ปรามทั้งสองฝ่ายว่าต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของสภาด้วย  

เหตุการณ์แห่งปี9.เหตุการณ์แห่งปี : การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยากที่สุด โดยเฉพาะการต้องมีเสียงส.ว.สนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นผลให้การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในเดือนก.ย.ไม่สามารถลงมติได้ แต่กลับต้องมาตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ และเมื่อกลับมาประชุมรัฐสภาอีกครั้งในเดือนพ.ย. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนนำโดยกลุ่มไอลอว์ได้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนครั้งแรก การประชุมรัฐสภาเวลานั้นไม่ได้เข้มข้นเฉพาะในสภาเท่านั้น แต่นอกสภาก็เดือดไม่แพ้กัน ภายหลังกลุ่มสนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา และเกิดการปะทะกันเป็นระยะ อีกด้านหนึ่งตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร จนกระทั่งที่สุดแล้วเหตุการณ์นอกสภาสงบลงพร้อมด้วยการลงมติของรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยกับการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป ด้วยเหตุนี้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาจึงเป็นเหตุการณ์แห่งปีไปอย่างไม่ต้องสงสัย  

วาทะแห่งปี (มันคือแป้ง)10.วาทะแห่งปี : "มันคือแป้ง"
"สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดของรัฐนิวเซาท์เวลส์ อ้างว่าเป็นเฮโรอีน 3.2กิโลกรัม มันคือแป้ง" เป็นการชี้แจงของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 27 ก.พ. เวลานั้น ร.อ.ธรรมนัส ถูกกังขาถึงความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งว่ามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนนำมาสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งของตนเองถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัส กลับเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯน้อยที่สุดเพียง 269 เสียง โดยที่ร.อ.ธรรมนัส ได้ลงคะแนนไว้วางใจตัวเอง จากเหตุการณ์นี้เองทำให้คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลงและสื่อต่างประเทศก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการจับกุมร.อ.ธรรมนัสในอดีตด้วย

คนดีศรีสภา11.คนดีศรีสภา : ยกเลิกตำแหน่งนี้ถาวร
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาไม่ได้มอบตำแหน่งคนดีศรีสภาให้กับสมาชิกรัฐสภา เนื่องจากท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ปรากฎว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดที่จะเป็นแบบตัวอย่างที่ดีในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้น สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จึงมีความเห็นร่วมกันว่าสมควรยกเลิกตำแหน่งนี้เป็นการถาวร จนกว่าในอนาคตจะมีสมาชิกรัฐสภาที่มีความประพฤติที่เหมาะสม

'ญาศิณี (สุขศรี) ธงสิบเจ็ด' สตรีผู้ตั้งธงพิทักษ์สถาบัน 'พระมหากษัตริย์' | Contributor EP.1

ญาศิณี (สุขศรี) ธงสิบเจ็ด สตรีผู้ถูกนิยามว่า 'โง่' และ 'บ้า' เพียงเพราะตั้งธงพิทักษ์สถาบัน 'พระมหากษัตริย์ จนสื่อออสเตรเลีย เอาไปตีข่าวครึกโครม

.

แม้กระแสพิฆาตเจ้า, ล้ม ม.112และร่วมกันออกมาหักล้างทุกแอคชั่นของภาครัฐจากกลุ่มสารพัดม็อบจะเคลื่อนขบวนสมทบเป็นพลังแห่งแกนเปลือกโลก แต่อยู่ ๆ ทำไมช่วงหลังมานี้...ลมหายใจของสารพัดม็อบ 3 นิ้ว เริ่มแผ่วเบาลง?

หากวิเคราะห์กันแบบตื้นเขินของผู้เขียน เกมที่จุดติดของการ ‘ล้มตู่’ ลุกลามไปถึง ‘ล้มเจ้า’ ของหัวโจก กวิ้น / รุ้ง / ไผ่ดิ้น / ไมค์ไม่น่าอภิรมย์ ล้วนได้แรงหนุนมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ปลุกผีโซเชี่ยล’ ทั้งสิ้น

ยิ่งผสานแรงหนุนจากผู้ใหญ่ (จริงๆ ก็แรงหลักแหละ กระแดะเขียนเป็นแรงหนุนไปอย่างงั้น) อย่าง ‘พรรคส้ม’ ผู้ช่วยล้มแบบเกือบลับ ภายใต้ ‘หัวหน้าแก๊งค์แลนด์สไลด์’ นักสอนสถิติ เพื่อหลอกตัวเอง แม้เก้าอี้สนามจะจบลงที่ 0 (เลือกตั้งอบจ.) ก็ยิ่งทำให้พลังของเด็กรุ่นใหม่แข็งแกร่งขึ้นพอ ๆ กับ ‘ชัชชาติ’ จนให้วิดพื้นโชว์ด้วย 3 นิ้วก็ยังไหว

ฟากหนึ่งปลุกด้วยดิจิทัล อีกฟากหนึ่งปลุกไปยังเทรดิชันนั่ล โอ้โห!! โคตรลงตัว

จากกลุ่มก้อนเล็กๆ ก็เลยค่อยๆ ขยายวงใหญ่ เป็นอีเว้นท์ระดับม็อบประเทศ ที่เรียกแขกได้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นก็นำภาพและสีสันกลับมาขยี้ต่อในโซเชี่ยล วนไปวนมาแบบนี้ เกิดเป็นภาพที่สุดแสนงดงามในเชิงของกลศึกล้มช้าง

นานวันเข้า รัฐบาล ก็เริ่มบิดตัว และพยายามลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง แต่ก็ดูเหมือนพังผืดที่เกาะตามข้อ พอขยับตัวหน่อย ก็ยิ่งกลายเป็นโชว์เต่า เพราะอะไรที่ทำไป เหมือนเขารู้หมด ไม่ว่าจะไอโอเนี่ยน หรือนักวิชาเกินที่รู้เยอะ แต่ออกมาพูดแบบเสียเหลี่ยมมากมาย

ผลสุดท้ายเกมนี้ ยังไงรัฐบาลก็แพ้ทุกประตู ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘สื่อ’

ว่ากันว่ายุคนี้คือยุคของการสื่อสาร ที่ ‘ไวรัล’ และการแชร์มีพลังมหาศาล ทวิตเตอร์ คือ เครื่องอาวุธสั้นมหากาฬ ก่อนจะไปทรมานคู่กรณีต่อในเฟซบุ๊ก และไม่มีขั้วตรงข้ามม็อบที่ออกมาต่อต้านกลุ่มม็อบด้วยเชิงชนกลเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ยุทธศาสตร์อย่าง ‘การสื่อสาร’ ค่อยๆ เปลี่ยนเกมกลับมา แต่ขอโทษ!! ไม่ใช่พลังหรือยุทธศาสตร์ก้าวทันใด ๆ ของรัฐ หากแต่เป็นพลังของหน่วยทะลวงฟัน ที่ออกมาดันกันเองในรูปแบบของ ‘ประชาชน’ ที่เหลืออด

แต่แน่นอนว่า การออกมาโต้แย้ง มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำแล้วเห็นผล ทุกคนที่ออกมาแย้ง กลายเป็นบุคคลที่เห็นต่าง และบางคนที่อารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งก็เข้าใจแหละในสถานการณ์ที่เจอเด็กมันเอา ‘ตรีน’ มาเกาคางพวกหัวหงอก

อย่างไรก็ตาม หากดูแบบนี้แล้ว เกมคงจบที่อาจจะมีประชาชนกลุ่มอื่นๆ เข้ามาสมทบให้สารพัดม็อบยิ่งฮึกเหิม

เพียงแต่ ‘สื่อ’ ก็คือ ‘สื่อ’ พลังของมันมีมากมหาศาล หากใช้ได้อย่างถูกจุด จากคนที่มาถูกจังหวะ ก็ทลายข้อความที่ก่อเป็นกำแพงใหญ่ให้โครมร่วงลงมาในช่วงพริบตา

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีชื่อ 2 บุคคล ที่ออกมาตอบโต้ทุกมูลเหตุ ทั้งเรื่องของม็อบ ผู้อยู่เบื้องหลัง ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และเป้าหมายการเดินหน้าของพรรคการเมืองฝ่ายขั้วตรงข้ามรัฐบาลได้แบบถึงพริกถึงขิง

พลังในการสื่อสารของทั้ง 2 ท่านนั้นน่าเหลือเชื่อ โดยคนแรกเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ที่หลายคนเรียกกันว่า ‘ดร.นิว’

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ เป็นนักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่พยายามออกมานำสิ่งที่เป็นรากฐานของสังคมไทย ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามอ้างอิงว่าเป็นวัฒนธรรมแบบแปะมือ และกลายเป็นกลุ่มแบ่งแยกสังคมไทย โดยเฉพาะ ‘รุ่นใหม่ - รุ่นเก่า’ เขย่าสถาบันครอบครัวที่เป็นรากฐานจนสั่นคลอน และกระดอนไปสู่สถาบันการเมือง

ดร.นิว พยายามออกมาเป็นกันชนหน้าด่าน ในแบบของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่าไม่ทะเลาะหาเรื่องกับใคร แต่ชี้แจงให้เห็นถึงกระบวนกวน ปั่นหัวคน ด้วยความไม่รู้จริง ขาดตรรกะ จนนำไปสู่การสร้างวาทกรรมบิดเบือนในโลกออนไลน์ แล้วก็ไป ‘บูลลี่’ จนคนเห็นต่างเหมือนควาย เมื่อมีทั้งความรู้ และมีทั้งการควบคุมอารมณ์ในทุกถ้อยวลี ทำให้ ดร.นิว ค่อยๆ เป็นหน่วยทะลวงฟันข้อมูลเท็จ ‘ที่ผิดเพี้ยน’

เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยบนการไม่ยอมรับฟังผู้อื่น การปราศรัยของแกนนำม็อบราษฎรที่นำพามวลชนไปสร้างความขัดแย้ง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนน้อยที่คุมการเคลื่อนไหวทางความคิด

เขาพยายามดึงสติคนรุ่นใหม่ ให้รับรู้ว่าการปราศรัยที่กักขฬะหยาบคาย ไม่ได้มีหลักการหรือหลักวิชาที่ถูกต้องใด ๆ มีแต่การใช้อารมณ์กับความเชื่ออันบิดเบี้ยว ยุยงให้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นรวมถึงกฎหมายอาญา ผิดจากวิสัยของปัญญาชน ขาดความปลอดภัยและมีความเสี่ยงในการชุมนุม มันไม่ใช่การเรียกร้องที่ถูกต้อง และฮ่องกงโมเดล ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนผู้มีอริยธรรม

นี่ยังไม่รวมอีกทุก ๆ การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนสังคมไทยให้ผิดเพี้ยนของกลุ่มม็อบและผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีการโพสต์ให้ความรู้มาตลอดระยะเวลาหลายปี

ข้อมูลและการแสดงออกทางสื่อต่าง ๆ ที่ผ่านมาของ ดร.นิว จึงถือเป็นการตกตะกอนความคิดให้เด็กรุ่นใหม่บางกลุ่มเริ่มคิดตามสมองตัวเอง มากกว่าเพลินตามปากผู้อื่น เพราะในท้ายที่สุดแกนนำเขาก็ไปนั่งกินบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมหรู ส่วนหนู ๆ ก็ต้องออกไปตากแดดตากฝนแทน ขณะที่บางช่วงหลัง ๆ ยังชอบแกงกันเอง ทะเลาะกันเอง ตีกันเอง ยิงกันเอง ทำตัวเป็นภาระสังคม ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ หวังบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติ มันเละเทะจนต้องยอมกลับไปกราบตักคุณพ่อคุณแม่ที่เคยล่วงเกินท่านเสียจะดีกว่า

ต่อมา จากสื่อแบบดิจิทัล ออกมาสู่สื่อใหญ่ที่เรียกว่าทีวี ซึ่งทุกวันนี้มีบางรายการช่วยปั่นและป้อนให้ ‘แมสมีเดีย’ ไปอยู่ข้างม็อบอย่างเมามัน เช่น รายการของสื่อหัวเขียวที่มีพิธีกร ‘จอมแขวะ’ มาฟาดคนของรัฐ ที่ก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดี เพราะหลาย ๆ ท่านที่มาเป็นตัวแทนของฟากภาครัฐ และมาดีเบตกับกลุ่มแกนนำม็อบ หรือผู้เกี่ยวข้อง ยิ่งฉุดเรตติ้งรัฐบาลลงมิดพสุธา แบบไม่ต้องฝังกลบก็ไม่มีปัญญาปีนขึ้น

เพราะการออกรายการแนวนี้ พิธีกร จอมแขวะ สามารถปั้นให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใช่เป็นไม่ใช่ โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนที่ยังงงๆ กับเรื่อง ‘สถาบันกษัตริย์’ ต้องแอบหลับตาข้างนึง ตามกลเก๋าของนักข่าวมือฉมัง จนช่วยเติมพลังให้คนฟากม็อบยิ่งมีแต่เฮ ๆ

แต่จนแล้วจนรอด จะด้วยความมั่นใจว่าในทุกวัน คือ ‘รันเวย์ของฉัน’ หรือไม่ก็ไม่ทราบ การต่อยอดแผนกระชากสถาบันให้จมดิ่ง กลายเป็นทำให้ ‘ม็อบ’ จนมุมอับเอาดื้อๆ แทน

นั่นก็เพราะ หน่วยทะลวงฟันอีกราย คือ ‘ของจริง’ ที่ออกมาถกประเด็น พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561 และคนๆ ก็คือ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ และ ‘รุ้ง-ปนัสยา’ แกนนำม็อบราษฎร ได้เผชิญหน้ากัน ในรายการถามๆ กับจอมขวัญ ที่เชื่อกันว่าเกมนี้รุ้งน่าจะได้มาโชว์เชือดเรียกคะแนนไปแบบใสๆ ตามสไตล์ หัวหน้าแก๊งค์ที่มีแบ็คดันเต็มเหนี่ยว แถมมีพิธีกรเทรนนิ่งมาก่อนเข้าสนาม จึงรับรองได้ว่าคู่ใจโชว์ความฉลาดให้รุ้งได้อย่าง 100%

แต่ผลลัพธ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็น หลังเท้า เพราะทุกประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาของรุ้ง และผู้ช่วยของรุ้ง (พิธีกร) ไม่ได้สร้างบาดแผลใดๆ ให้กับ ดร.อานนท์ เลยแม้แต่น้อย หากแต่ยังถูก ดร.อานนท์ สอนมวย ด้วยองค์ความรู้ที่ทั้งรุ้งและพิธีกร เหมือนคนมานั่งถกแบบไร้ข้อมูล จนแม้แต่ในเพจและชาแนลยูทูปของสื่อหัวเขียว ยังรับไม่ได้กับความอ่อนด้อยของทั้ง 2 สาวเลยแม้แต่น้อย

และสุดท้ายก็โดนปิดฉากน็อคตายแบบตาไม่หลับในรายการด้วย ถ้อยคำที่กลายเป็นวาทะแห่งปีว่า “คุณรู้ไม่จริงคุณอย่าพูดซี้ซั้ว ไปทำการบ้านก่อนมั้ย คุณพูดอะไรพูดไปเดี๋ยวผมจะสอน ใจเย็นๆ ผมอาจจะดุไปบ้างนิดนึง พอคุณไม่แม่น ผมก็อาจต้องสอนหน่อย” และนี่ก็ทำให้ชื่อของ ดร.อานนท์ กลายเป็นชื่อที่ฟากตรงข้ามรัฐเริ่มเกรง จนถึงขั้นไม่กล้าไปดีเบตกับ ดร.อานนท์ เลยสักคน

ทั้งนี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ หรือ อาจารย์ อานนท์ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Phychomertrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

โดยเมื่อปีพ.ศ.2561 ดร.อานนท์ นั้นได้ดำรงตำแหน่งในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าดพล และได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการวิชาการเอาไว้ด้วย หลังที่ตัดสินใจลาออก จากตำแหน่ง ผอ.นิด้าโพล หลังจากนั่งเก้าอี้เพียง 14 วัน เนื่องจากสถาบันระงับการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง ‘นาฬิกาหรูที่ยืมเพื่อน เป็นเรื่องบิดเบือนหรือเรื่องจริง?’

และเมื่อย้อนไป ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เคยขึ้นเวที กปปส.ร่วมเป่านกหวีด ซัตดาวน์ประเทศและประชาธิปไตยมาแล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ดร.อานนท์ นับเป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ใช้โซเชี่ยลมีเดีย เป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และมุมมองเชิงวิชาการ ให้ข้อมูลในประเด็นที่สังคมสนใจมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ความเหมือน-ต่าง ‘คณะราษฎร 2475 กับ 2563’, 12 ความจริงของภาษี..ที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง และหัวข้อทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นของรัฐ (ราษฎร) หรือ เป็นของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น

ที่จะบอก คือ รัฐก็ยังคงเป็นรัฐที่รั่วในการปิดจุดอ่อนด้านการสื่อสารและการให้ข้อมูล ส่วนคนที่เห็นต่างกับม็อบ ก็ขาดซึ่งศิลปะในการสื่อและข้อมูลที่จะมา ‘อุด’ และ ‘แบะ’ ความผิดเพี้ยนในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันกษัตริย์ และการเมืองเรื่องน้ำเน่า

แต่การที่ 2 ท่านนี้ เริ่มออกมาแสดงตัว และแสดงข้อมูลอันแท้จริงต่าง ๆ แบบผู้มีจริยธรรม ก็ทำให้สังคมตาสว่างมากขึ้น นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งในม็อบเริ่มบาง (อันนี้คิดเอง)

ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง คือ ธนาธร ที่เคยกล่าวอย่างมั่นใจก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่าจะชนะแบบ ‘แลนด์สไลด์’ นั่นคือ ถล่มทลายกันเลยทีเดียวนั้น กลับต้องมา ‘แพ้แบบแลนด์สไลด์’ ก็พอจะบอกได้ว่าเจอเอฟเฟ็กต์ของ 2 ผู้หมู่ทะลวงฟันไม่มากก็น้อย

อันนี้ก็คิดเองนะ...อย่าเกรี้ยวกราดล่ะ!!

โกหกด้วยสถิติ!! ‘ดร.อานนท์’ ขุดราก ‘ก้าวหน้า-ธนาธร’ ปั้นโกหกด้วยสถิติ จ๋อยสนามเล็ก แต่เพ้อแต้มนิยมไม่จาง

สถิติถ้าจงใจเอาไปใช้อย่างผิดๆ (Misuse of statistics) ก็จะกลายเป็นขั้นสูงสุดของการโกหก หรือที่เรียกว่า ‘การโกหกด้วยสถิติ’

มุมมองนี้ถูกกระเทาะจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligenceและ Actuarial Science and Risk Managementคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ได้มีการโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับการโกหกด้วยสถิติในเฟซบุ๊กส่วนตัวของตน โดยมีข้อความดังนี้

ผมในฐานะครูสอนสถิติศาสตร์และสอนการวาดภาพนิทัศน์จากข้อมูล (Data visualization) ต้องขอขอบคุณอดีตพรรคอนาคตใหม่หรือคณะก้าวหน้า และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ทำให้ผมมีตัวอย่างอันชัดเจนเพื่อประกอบการสอนในหัวข้อ ‘การโกหกด้วยสถิติและกราฟ’ (How to lie with statistics and graph) ซึ่งผมสอนให้นักศึกษาที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ อยู่แล้วเป็นปกติ 

ผมสอนนักศึกษาว่า สถิติ สามารถนำไปใช้โกหกให้คนที่ไม่มีความแตกฉานทางสถิติหรือข้อมูล (Data and statistical literacy) ได้อย่างง่ายดาย และบิดไปมานิดเดียวก็โกหกได้แล้ว

ที่สอนนักศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือให้นักศึกษาจับการโกหกด้วยกราฟหรือสถิติได้ จะได้เป็นผู้ตื่นรู้และเท่าทัน อย่างที่สอง คือ สอนว่าอย่าทำเช่นนี้ ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพตนเองไม่ว่าจะเป็นนักสถิติหรือนักวิทยาการข้อมูลก็ตาม ก็ได้สอนเช่นนี้มาโดยตลอด และคิดไตร่ตรองก่อนสอน

อาจจะเป็นเรื่องคุณธรรม/จริยธรรมในวิชาชีพที่ผมได้สอนอย่างเน้นแล้วเน้นอีกตาม มคอ. (กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ) หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (Expected learning outcome) ด้านคุณธรรมหรือจริยธรรม ตามแนวคิดของ กระทรวง อว ที่ผมย้ำแล้วย้ำอีก

              ...การโกหก

              ...โคตรของการโกหก

              ...และสถิติ

สามคำนี้มาจากภาษาอังกฤษ คือ Lie, damn line, and statistics ว่ากันว่าคำนี้มาจาก Benjamin Disraeli รัฐบุรุษชาวอังกฤษ แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันมากว่าใครกันแน่ที่เป็นคนคิดคำพูดนี้เป็นคนแรก แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ

สาระสำคัญ คือ สถิติ ถ้าจงใจเอาไปใช้อย่างผิดๆ (Misuse of statistics) ก็จะกลายเป็นขั้นสูงสุดของการโกหก คือการโกหกด้วยสถิติ

ทั้งนี้หากว่ากันด้วยเรื่องของการโกหกนั้น Frank Abagnale (แฟรงก์ อบาเนล) จอมต้มตุ๋นบรรลือโลก ได้เคยเขียนหนังสือ Catch me if you can เอาไว้และได้เอามาทำเป็นภาพยนตร์อันโด่งดัง โดย Frank ได้สอนเคล็ดลับในการโกหกที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ว่า วิธีการโกหกที่ได้ผลแยบยลดีที่สุด คือให้เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเรื่องที่ตนเองโกหกนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น หมายความว่าการจะโกหกให้ได้แยบยลได้ผลดีที่สุดนั้น ต้องโกหกหลอกลวงตนเองให้เชื่อในสิ่งที่ตัวเองโกหกหลอกลวงว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดอย่างหมดจดหมดหัวใจ จึงจะสามารถโกหกได้อย่างแนบเนียน

วันนี้ผมได้เห็นว่าคณะก้าวหน้าและธนาธร ได้บูรณาการหลอมรวมวิธีการโกหกด้วยสถิติอันเป็นการโกหกขั้นสูงสุดและวิธีการโกหกให้แนบเนียนแยบผลที่สุดคือการโกหกตนเองให้ได้สมบูรณ์และหลอกตัวเองว่าสิ่งที่โกหกนั้นเป็นจริง

โดยจากการแถลงข่าวของคณะก้าวหน้าและธนาธรได้ใช้ทั้งสองวิธีการอย่างน่าทึ่งและคนไทยตลอดจนนักวิชาการทางสถิติศาสตร์และวิทยาการข้อมูลควรจะได้เรียนรู้ไว้ให้แตกฉานถ่องแท้

เราลองมาฟัง/อ่านและวิเคราะห์การแถลงข่าวยอมรับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 อย่างราบคาบของคณะก้าวหน้าหรืออนาคตใหม่ ที่แถลงไว้ว่า...

“แต่แม้จะไม่ได้ตำแหน่งนายก อบจ. ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลย เราได้รับคะแนนทั้งหมด 2,670,798 คะแนน ซึ่งตนขอขอบคุณทุกคะแนนและความไว้วางใจที่ทุกคนมอบให้ นอกจากนี้ ยังช่วงชิงตำแหน่ง ส.อบจ.ได้ทั้งหมด 57 ที่นั่ง ใน 20 จังหวัด และยังมีส่วนร่วมผลักดันให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงความสำคัญของ อบจ. ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ บ่งบอกว่า คณะก้าวหน้าไม่ได้รับความนิยมลดลงเมื่อเทียบกับสมัยพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งทั่วไป มี.ค. 2562 มีผู้มาใช้สิทธิใน 42 จังหวัด 19.6 ล้านคน พรรคได้รับคะแนนรวมกันกว่า 3.18 ล้านคะแนน ส่วนการเลือกตั้งวานนี้ มีผู้มาใช้สิทธิ 15.7 ล้านคน มีผู้เลือกเรา 2.6 ล้านคน แม้คะแนนดิบดูจะน้อยลง แต่เมื่อเทียบสัดส่วนของคะแนนแล้ว จะเห็นได้ว่าในรอบ 1 ปีกว่าที่ผ่านมา คะแนนนิยมของเราไม่ได้ลดลง ดังนั้น คะแนนที่พวกเราได้มา เราจึงมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง” (สามารถรับชมได้จากทาง https://www.youtube.com/watch?v=ozNO6DYNc3w ตั้งแต่นาทีที่ 13 เป็นต้นไปเริ่มมีการโกหกด้วยสถิติและเริ่มมีการหลอกตัวเอง)

โดยในเนื้อหานั้นมีการทำภาพกราฟฟิกประกอบการโกหกหลอกลวงตัวเองด้วยว่า

  • หนึ่ง แม้ไม่มีผู้สมัครได้รับเลือกในตำแหน่งนายกอบจ.
  • สอง แต่ก็ยังมีผู้สมัครได้รับเลือกสมาชิกสภาอบจ 55 คนจาก 18 จังหวัด และ
  • สาม คะแนนจากการเลือกนายกใน 42 จังหวัดทั้งหมด 2,670,798 คะแนน
  • และสี่ คณะก้าวไกลและกระผม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยังได้ช่วยเหลือยกระดับคุณภาพความเข้าใจของประชาชน

ข้อความโกหกหลอกลวงตัวเองที่สำคัญมากคือ คณะก้าวหน้าไม่ได้รับความนิยมลดลงเมื่อเทียบกับสมัยพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งทั่วไป มี.ค. 2562 มีผู้มาใช้สิทธิใน 42 จังหวัด 19.6 ล้านคน พรรคได้รับคะแนนรวมกันกว่า 3.18 ล้านคะแนน ส่วนการเลือกตั้งวานนี้ มีผู้มาใช้สิทธิ 15.7 ล้านคน มีผู้เลือกเรา 2.6 ล้านคน แม้คะแนนดิบดูจะน้อยลง แต่เมื่อเทียบสัดส่วนของคะแนนแล้ว จะเห็นได้ว่าในรอบ 1 ปีกว่าที่ผ่านมา คะแนนนิยมของเราไม่ได้ลดลง

ทั้งยังได้มีการทำกราฟแท่ง (Bar chart) ประกอบการโกหกด้วยสถิติและการโกหกหลอกลวงตัวเอง โดยประการแรก มีการใช้สัดส่วนที่ผิดมาก (Scale distortion) เรียกว่ามีการบิดเบือนการรับรู้ (Perceptual distortion) ดังนี้

คะแนนของคณะก้าวหน้าได้สองล้านหกแสนจากจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 63 ที่มีราวสิบห้าล้านเจ็ดแสนหรือคิดเป็นคะแนนนิยมร้อยละ 14 แต่กราฟแท่งของจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 63 ต้องมีความยาวมากกว่ากราฟแท่งคะแนนของคณะก้าวหน้าอย่างน้อย 15.7 ล้าน/2.6 ล้าน หรือ 100%/17% ซึ่งผมลองใช้ไม้บรรทัดวัดแล้วอย่างไรก็ไม่ถึง ห้าเท่าเป็นแน่แท้ จึงเป็นการจงใจโกหกเพื่อให้ดูว่าคณะก้าวหน้าได้คะแนนเลือกตั้ง 63 สูงกว่าความเป็นจริง

เช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 กราฟแท่งสีแดง ก็มีสัดส่วนที่บิดเบือน คือคะแนนเลือกตั้งที่พรรคอนาคตใหม่ได้คือ 3.1 ล้าน ส่วนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งปี 2562 เท่ากับ 19.6 ล้านหรือประมาณ 6 เท่า ดังนั้นกราฟแท่งของคะแนนของพรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ก็ต้องมีความยาวเพียงแค่ประมาณ 1 ในหก ของกราฟแท่งผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในปี 2562

นอกจากนี้ จำนวนคะแนนเลือกตั้งคณะก้าวหน้าได้ 2.6 ล้านในปี 2563 ส่วนคะแนนของพรรคอนาคตใหม่ 3.1 ล้านในปี 62 ซึ่งห่างกันประมาณ 5 แสนคะแนน หรือเท่ากับ 1 ในหก แต่กราฟแท่งสีขาวในปี 63 กับกราฟแท่งสีแดงในปี 62 มิได้เป็นสัดส่วนกันเท่ากับ 5 ใน 6 แต่อย่างใด มีการจงใจบิดเบือนสเกลของรูปเพื่อให้ดูว่าคะแนนนิยมตกลงไปเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก

ประการที่สอง การบอกแต่ข้อมูลเศษ โดยไม่บอกข้อมูลส่วน หรือบอกแต่ตัวตั้งไม่บอกตัวหาร เป็นการโกหกหรือการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว แต่ ดร.อานนท์ ได้สืบค้นและรวบรวมมาดังนี้ว่า...

คณะก้าวหน้า ส่งสมาชิกสภาอบจ. 50 จังหวัด รวมจำนวน 1,023 คน เเต่ได้รับเลือก ตามที่ ธนาธร เเถลงคือ 55 คน โดย 42 จังหวัด  ส่งเเค่ นายกอบจ. เเละใน 42 จังหวัด ที่ส่งนายกอบจ. มี 39 จังหวัด ส่งทั้งนายกอบจ. เเละ สมาชิกสภาอบจ.

11 จังหวัด ส่งเเค่ สมาชิกสภาอบจ.

39 + 11 รวมเป็น 50 จังหวัด ที่ส่งสมาชิกสภาอบจ.

อ้างอิงจากข้อมูลเว็บไซด์คณะก้าวหน้า ที่บอกว่า จังหวัดไหน ส่งผู้สมัคร นายกอบจ. เเละ ผู้สมัครสมาชิกสภาอบจ. กี่คน เเต่ทางเเอดมิน มานั่งนับเเละรวบรวมสรุปยอดเองครับ https://progressivemovement.in.th/local-election/

ขอเสริมว่าอินโฟกราฟฟิกแสดงผลว่าจังหวัดใดบ้างที่ได้รับการคัดเลือกสมาชิก อบจ. อย่างละกี่คน ก็ไม่ได้ แสดงตัวหาร แสดงแต่ตัวตั้งเช่นกัน เช่น สมุทรปราการ มีสมาชิกอบจ. ทั้งหมด สมมุติว่า 30 คน ก็แสดงแต่ว่าคณะก้าวหน้าได้มา 1 ตำแหน่ง เลือกตั้งทั่วประเทศมีกี่จังหวัดก็ไม่ได้บอก คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครสมาชิกอบจ. กี่จังหวัดก็ไม่ได้รายงาน บอกแค่ว่าตัวเองได้ 18 จังหวัด

ประการที่สาม นอกจากจะไม่บอกตัวหารแล้ว ยังมีอคติในการเลือกลงสมัคร (Bias) เพราะคณะก้าวหน้าไม่ได้ส่งทุกจังหวัดที่มีการเลือกตั้ง อบจ. แน่นอนว่าคณะก้าวหน้าจะเลือกส่งสมัครในจังหวัดที่ตนเองพอจะมีหวังหรือมีแนวโน้มที่จะชนะ จึงส่งแค่ 42 จังหวัด

จังหวัดที่ไม่ส่งในภาคใต้คือ 9 จังหวัด จาก 14 จังหวัด

จังหวัดที่ไม่ส่งในภาคกลางคือ 10 จังหวัดจาก 22 จังหวัด

แน่นอนว่าคณะก้าวหน้าไม่มีฐานเสียงในภาคกลางและภาคใต้มากนัก จึงเลือกที่จะไม่ส่ง ดังนั้นหากพิจารณาในการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้ว ไม่มีทางได้ถึง 6.5 ล้าน เพราะที่ได้มา 17% หรือ 2.6 ล้านนั้นมาจากจังหวัดที่พอจะมีฐานเสียงหรือมีความมั่นใจได้เปรียบในระดับหนึ่ง แต่ถ้าสเกลใหญ่ เช่นเลือกตั้งทั่วไปทั้งประเทศซึ่งรวมกรุงเทพมหานครเข้าไปด้วย โอกาสที่จะได้สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 17 จึงเป็นเรื่องยากมาก

คณะก้าวหน้าไม่ชนะคู่แข่งเลยในการเลือกตั้ง สมาชิก อบจ. ในภาคเหนือ 8 จังหวัด ภาคกลาง 11 จังหวัด ภาคใต้ 5 จังหวัด (ส่งห้าจังหวัดแพ้รวดห้าจังหวัด) ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ภาคอีสาน 14 จังหวัด

ผมต้องขอขอบคุณคณะก้าวหน้าและคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้ยกตัวอย่างการโกหกด้วยกราฟและสถิติและสุดยอดเทคนิคในการโกหกให้แนบเนียนแยบยลที่สุดคือการโกหกตัวเองและเชื่อสนิทใจในสิ่งที่ตัวเองโกหกให้ผมสามารถนำไปเป็นตัวอย่างในการสอนวิชาสถิติและการวาดภาพนิทัศน์จากข้อมูล ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำอีกครั้งว่า "ความจริงเท่านั้นที่มีชัย" อันเป็นคาถาภาษิตบนตราแผ่นดินของประเทศอินเดีย เมื่อคราวประเทศอินเดียได้รับเอกราช โดยใช้รูปแกะสลักสิงโตบนยอดเสาพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งเมืองสารนาถ และคาถาภาษิตนี้กำกับข้างใต้ คาถาภาษิตสันสกฤตนี้เขียนไว้ว่า สัตยเมวชยเต (สันสกฤต: सत्यमेव जयते, Satyameva Jayate)

และท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งใดสามารถชนะความจริงได้ ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงกล่าวกับนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม เอาไว้ว่า “ต้องช่วยกันเอาความจริงออกมา”

Echo chamber ของพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ ตลอดจนคณะราษฎรและม็อบปลดแอก จึงแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมีการบิดเบือนและโกหกหลอกลวงประชาชนเป็นนิจศีล

พุทธศาสนสุภาษิตได้กล่าวไว้ว่า นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน. (อ่านว่า นัด-ถิ, อะ-กา-ริ-ยัง, ปา-ปัง, มุ-สา-วา-ทิด-สะ, ชัน-ตุ-โน) คนมักพูดมุสา จะไม่พึงทำชั่ว ย่อมไม่มี (ขุ.ธ. ๒๕/๓๘, ขุ.อิติ. ๒๕/๒๔๓) หรือแปลให้ง่ายขึ้นว่า คนโกหก ไม่ทำชั่ว ไม่มี ฉะนี้แล


ขอขอบคุณที่มา: เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich

 

ที่ผ่านมาสังคมไทยเกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในช่วงเสื้อเหลือง-เสื้อแดง หรือในช่วงระบอบทักษิณเป็นใหญ่ แต่ดูเหมือนผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ กำลังจะทำให้ไทยกลับมาเป็นหนึ่งเดียว

เหตุผลเพราะการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่คณะก้าวหน้าของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่ได้เลยสักคนเดียว (0-42)

ตรงนี้มีนัยยะสำคัญมากๆ เมื่อคำนึงถึงความแตกแยกทางความคิดที่กลุ่มและพรรคของธนาธร ได้ปลุกปั่นล้างสมองคนไทยรุ่นใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาให้ ‘ชังเจ้าและชังชาติ’ จนสำแดงตัวออกมาบนท้องถนนเป็นม็อบคณะราษฎรที่ชู ‘ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์’ เพื่อลิดรอนพระราชอำนาจ (=ล้มเจ้า)

แต่หลังจากผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ออกมา มันชัดเจนมากเหลือเกินว่า สังคมไทยไม่เอาพวกชังเจ้า-พวกล้มเจ้าอย่างเด็ดขาด โดยที่ไม่มีความเห็นต่างหรือแตกแยกในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

ทั้งนี้ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย ได้เผยเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ว่า “แปลกแต่จริง ที่การก้าวข้ามความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในสังคมไทย มันดันออกมาในรูปของการก้าวข้าม ‘พวกคนบ้ากลุ่มหนึ่ง’ (ทั้งพวกหน้าฉากและพวกหลังฉาก) ที่ออกมาชูธงล้มเจ้าแบบเย้ยฟ้าท้าดิน อย่างพร้อมเพรียงกัน

“ความพร้อมใจของคนไทยทั้งประเทศนี้แหละ มันมีศักยภาพสูงมากที่จะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์เพื่อฝ่าฟันวิกฤตต่างๅที่กระหน่ำประเทศนี้ในตอนนี้หรือหลังจากนี้ได้...

“จงมุ่งไปในทิศทางนี้ร่วมกันเถิด”

สุดท้ายแล้ว สูตรสร้างความแตกแยกของสังคมไทย ที่บ่มเพาะกันมาตั้งแต่สมัย ‘เหลือง-แดง’ ดูจะมาจบสิ้นเพียงเพราะหมากเพี้ยนๆ ของธนาธร เสียแล้วกระมัง…


ที่มา: ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย

เด็กถิ่นย่าโม!! โชว์​ ‘ป๋าเต็ด’ ฮีโร่เศรษฐกิจ ดันเม็ดเงินเพียบป้อนปากช่อง ปวดใจปมปิด​ Big Mountain​ สะเทือนศก.วงกว้าง แต่ยันคน​ '​โคราช-ปากช่อง' ยังต้อนรับป๋าเสมอ

จากกรณี ผู้ว่าฯ นครราชสีมา สั่งปิดการแสดงคอนเสิร์ตบิ๊กเมาน์เท่น ในวันสุดท้ายของการแสดง เนื่องจากถูกร้องเรียนเรื่องมาตราการป้องกันโควิด-19 และ ยุทธนา บุญอ้อม หรือ ‘ป๋า เต็ด’ ได้ทำหนังสืออุทธรณ์ แต่ไม่เป็นผล

ล่าสุด มารุต ชุ่มขุนทด ผู้ก่อตั้งร้านกาแฟ Class Cafe (คลาส คาเฟ่) ในจังหวัดนครราชสีมา ได้มีการแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ผ่านทางเฟซบุ๊กว่า

“เรื่อง Big Mountain ดูจะเลยเถิด สิ่งที่พวกเราอาจจะลืมว่า​ สิ่งที่มหกรรม ดนตรีอันยิ่งใหญ่นี้เป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจ ตัวสำคัญ ตัวนึงของเมืองโคราช เมื่อคืนวันที่ 13 ธ.ค. คนที่หนักใจที่สุดคงไม่พ้นป๋าเต็ด ยุทธนา ผู้จัดงาน ที่ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ปีนี้ Big Mountain เป็นปีที่​ 11 ผมเป็นคนนึงที่เคยเป็นผู้สนับสนุนหลักเมื่อครั้งที่จัดครั้งแรกสนับสนุนโดย Nokia presented Big Mountain ภาพ ป๋าเต็ดโดนรุมสกัมเมื่อวาน ฝั่งพ่อค้าดูแล้วช่างเจ็บปวด เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดู ถ้าเล่นเทศกาลที่ใหญ่อันดับ 1 ของเมืองไทยได้ ตรงไหนก็สั่งปิดได้

“ภาพช่างน่าเจ็บปวด เพราะเราลืมไปว่า ภาคการท่องเที่ยว เราพังพินาศ มาตั้งแต่เริ่มโควิด แต่วันนี้ปากช่อง โคราช โรงแรมคนแน่นไปหมด ร้านอาหารที่หงอยเหงากลับมาเต็มแน่น โรงแรมไม่ต้องโปรทิ้งขาดทุนย่อยยับ ร้านรวงข้างทาง ปั๊มน้ำมัน ซุปเปอร์ คนแน่นเอียด …. ฮีโร่ทางเศรษฐกิจ คนนี้กำลังโดน ทำร้าย อย่างน่าเศร้าโดนผลักไปเป็นจำเลย อย่างเจ็บปวด

“ลองคิดดูสิ ว่าเค้าสร้างเม็ดเงินกี่พันล้านให้กับเมืองปากช่องมาเท่าไหร่ ตลอดสิบปี … งานเมื่อวาน ลองนึกดูว่าคนหลายหมื่นเดินทางมาจากทั่วประเทศ จ่ายค่ารถ ค่าเดินทาง มาหมดแล้ว ค่านักแสดง นักดนตรี จ่ายหมดแล้ว ยังไม่นับ เหล้าเบียร์ อีกมหาศาล … ระหว่างที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ ผมเห็น วินมอเตอร์ไซค์ ที่คอยโบกให้คนจอดรถอย่างคึกคักฟันค่าวิ่งกันมหาศาล…. ถ้าหยุด การประท้วงครั้งใหญ่คงระเบิดขึ้นแน่ๆ เพราะทั้งอารมณ์ร่วม ของวัยรุ่น มารวมกันและให้หยุดกลางทาง ต้องบอกว่า หยุดไม่ได้ ….

“เชื่อเหอะ การปิดกลางอากาศ แบบที่คำสั่งออกมาช่างดูง่าย แต่เอาจริงๆ ความเสียหายมันเยอะเหลือเกิน … เหมือนป๋ากำลังขับเรือไททานิคแล้วสั่งให้เบรค … ยังไงก็พัง แต่ทำไงให้กระทบน้อยที่สุด ผมว่าออกมาแบบเมื่อวานผมว่าสวยมากๆ จบแบบ “ป๋ายอมเจ็บ แกรมมี่ยอมพัง” เป็นจุดที่ทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อ… และเชื่อว่า ปีหน้า คนยังจะจดจำป๋าในฐานะ ฮีโร่คนเดิม ที่อยากให้จัดงานดีๆ ที่นี่อีกครั้ง

“แน่นอนคนที่เป็นจำเลยอีกคนนึงก็ไม่พ้นผู้ว่า ที่ถืออำนาจสูงสุดของเมือง… แต่เราอย่าลืมนะครับ ที่ตัดสินใจอะไรก็โดนด่า ไม่ให้จัดก็โดน จัดมาก็โดน มีคนติดก็โดน ก่อนหน้านั้นมี รมต.คนนึงที่ออกข่าว ว่า “โควิดนั้นกระจอก คอนเสิร์ต จัดได้” พ่อค้า แม่ค้า คนจัดงาน นักดนตรี ต่างตาลุก เมื่อคิดว่าครั้งนี้จะกลับมาคึกคักได้ซะที

“… แต่ดูหมือน งานนี้คนส่งสัญญาณ ไฟเขียวคนนั้นจะลอยตัวไปแล้ว ปล่อยผู้ว่าฯ​ กลายเป็นจำเลยไปอีกคนนึง...ประชาชนคนโคราชไม่ห่วงเพราะทีมหมอรพ.มหาราชโคราชก็พร้อมมากและแข็งแรงมาก เราน่าจะเอาอยู่ แต่สภาพเศรษฐกิจ แบบที่ทั้งเมืองยังไม่มีขอทานข้างถนนมาหากินเลย แสดงว่ามันแย่มากๆ แล้ว ต้องการการขับเคลื่อน ทางเศรษฐกิจ ครับ

“โคราช ปากช่อง ยังต้อนรับป๋าเสมอ…. เอาใจช่วยทีมงานทุกคนครับ อดทนไว้ครับ"


เครดิตภาพ : BRAND BUFFET

ธปท. แจง ‘ชาวเน็ต’ เคลียร์ชัดธนบัตรที่ระลึก 100 & 1,000 ‘ปลอมยาก’ ขอปชช.มั่นใจ แม้ไม่มีกลุ่มดาวยูไรอัน แต่ให้สัมผัส - ยกส่อง – พลิกเอียง ส่วน 1,000 บาท แยกง่าย หลังตัวธนบัตรยาวกว่า1.2 ซม.

หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปล่อยธนบัตรที่ระลึกเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ชนิด 1,000 บาท และ 100 บาท ออกมา และ ‘สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย’ (อ้างอิง หนังสือข่าว ธปท.ฉบับที่ 82/2563 ) 

แต่ดูเหมือนจะเป็นประเด็นเมื่อมี ‘ชาวเน็ต’ ตั้งข้อสังเกตว่า ธนบัตรชนิด 100 บาท ที่ปล่อยออกมานั้น ‘ไม่มีกลุ่มดาวยูไรอัน’ หรือ EURion constellation ซึ่งมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนนำธนบัตรไปถ่ายเอกสารสี (ซีรอกซ์) และนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายได้ 

งานนี้ชาวเน็ตจึงให้ความเห็นว่า จะกลายเป็นช่องว่างในการปลอมแปลงธนบัตรหรือไม่ เพราะธนบัตรชนิด 100 บาทที่ออกมานั้น ได้หมุนอยู่ในระบบกว่า 20 ล้านฉบับ เป็นเงินกว่า 2 พันล้านบาทเลยทีเดียว

เมื่อเกิดประเด็นนี้ทาง ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงได้ออกมาชี้แจงว่า ธนบัตรดังกล่าว มีลักษณะการต่อต้านการปลอมแปลงตามมาตรฐานขั้นสูงในระดับเดียวกับธนบัตรหมุนเวียนตามปกติ เช่นเดียวกันกับธนบัตรที่ระลึกในอดีต ประชาชนจึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยต่อการถูกปลอมแปลงและสามารถนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนได้ตามปกติเช่นเดียวกับธนบัตรทุกรุ่น

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้มีการนำมาใช้วันแรก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 และมีการตั้งคำถามจากชาวเน็ต ว่ามีการป้องกันการปลอมแปลงธนบัตรหรือไม่ ทาง ธปท. จึงได้ชี้ถึง  5 จุดสังเกตของธนบัตรที่ระลึกฯ ชนิดราคา 100 ได้แก่ 1.ตัวเลขแจ้งชนิดราคา 2.ธนบัตรเป็นสีเหลืองทอง 3.ตราพระราชพิธีฯ 4.ตัวเลขแจ้งชนิดราคาในดอกไม้ และ 5.ภาพด้านหลัง  

นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถตรวจสอบธนบัตรด้วย 3 วิธีง่ายๆ คือ สัมผัส - ยกส่อง - พลิกเอียง ซึ่งมีจุดสังเกตที่สำคัญ เช่น ความนูนของการพิมพ์บอกชนิดราคาที่มุมธนบัตรและคำว่ารัฐบาลไทย ลายน้ำ แถบสีที่มีภาพเคลื่อนไหว และหมึกพิมพ์แม่เหล็กสามมิติเปลี่ยนสีได้ 

ในส่วนของปัญหาที่ประชาชนมีความสับสนในการใช้ธนบัตรชนิดราคา 100 บาท ที่มีความคล้ายกับธนบัตรราคา 1,000 บาท สามารถสังเกตได้ ด้วยขนาดของธนบัตรหมุนเวียน 1,000 บาท จะมีขนาดความยาวกว่าใบละ 100 ที่ 1.2 เซนติเมตร โดยธนบัตรทั้ง 2 แบบ มีตัวเลขบอกชนิดราคาที่มุมธนบัตรด้านล่างอย่างชัดเจน
 

กาพรรคไหนดี!! หากวันนี้ต้องเลือกตั้ง

ซุปเปอร์โพลชี้ชัด กระแสรัฐบาลกระเตื้อง หลังผู้ชุมนุมหยาบคายและข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทำดรอป

จากผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ‘การเมืองใหม่ หรือ เก่า สาดสี’ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 5,260 ตัวอย่าง ที่ดำเนินโครงการระหว่าง 1 มิถุนายน  – 10 ตุลาคม พ.ศ.2563 ชี้ค่อนข้างชัดว่า

พฤติกรรมของผู้ชุมนุมที่หยาบคายและข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ผ่านมาทำให้คะแนนนิยมที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ในขณะที่พรรคเพื่อไทยซึ่งตัดสินใจกลับลำ "กราบ" และถอนตัวจากการขบวนการดังกล่าวได้ทันก็คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นทันทีเช่นกัน ส่วนพรรคก้าวไกลคะแนนนิยมลดลงต่ำที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่มา

อย่างไรก็ตามหากโพลดังกล่าวมีความถูกต้องและแม่นยำจริง แสดงว่าข้อเรียกร้องทางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และยุทธวิธีก้าวร้าวหยาบคายของคณะราษฎร 2563 ไม่น่าจะนำไปสู่ชัยชนะในยุคนี้ได้เลย

ทั้ง ๆ ที่โพลระบุก่อนหน้านี้ว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคือเสียงข้างมากของคนในประเทศ แต่ตอนนี้เสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ต้องการพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลแล้ว

แต่ต้องการทางเลือกใหม่...พรรคการเมืองใหม่!!

กลุ่มราษฎรเปิดตัว ‘หวยราษฎร’ เรียกแขก 3 รางวัลสุดแสบสะท้าน ‘สลิ่ม’ ดีเดย์แจกฟรี 2475 ฉบับ ในวันรัฐธรรมนูญ

ไอเดียบรรเจิดมักเกิดขึ้นในกลุ่มม็อบได้ตลอด หลังก่อนหน้าเพิ่งจะออกแบงก์เป็ดกันไปได้ไม่นาน มางวดนี้กลุ่มราษฎรมาพร้อมไอเดียสุดแสบอีกครั้งกับ "หวยราษฎร" ที่เตรียมไว้ต้อนรับวันรัฐธรรมนูญกันเลยทีเดียว

โดยสลากกินแบ่งราษฎรหรือว่าหวยราษฎรนี้ มีหน้าตาคล้ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ต่างกันก็ตรงที่ขึ้นเงินไม่ได้และรางวัลที่จะได้ก็ไม่ใช่ "เงิน"

แต่รางวัลที่ระบุไว้หลังสลาก ก็มาสไตล์จิกกัด ที่มีมาให้ทั้งหมด 3 รางวัล ได้แก่

  • รางวัลที่ 1 ประชาธิปไตย
  • รางวัลที่ 2 สถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
  • รางวัลปลอบใจ ประยุทธ์ จันโอชา ลาออก

เรียกว่าแต่ละรางวัลเอา Like กลุ่มราษฎรไปเลย

สำหรับภาพของ "หวยราษฎร" นั้น บนสลากจะเป็นรูปอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มีข้อความระบุไว้ว่า "โดยราษฎรเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุด" และมีแถบข้างระบุว่า "สลากสร้างสรรค์เพื่อประชาธิปไตย" แต่ที่แสบสันคือข้อความทิ้งท้ายที่ว่า "ไม่ขาย ไม่ซื้อให้ "สลิ่ม" ทุกรูปแบบ"

เมื่อถามถึงราคาหวยว่า ราคาเท่าไร และซื้อขายกันยังไง งานนี้บอกเลยไม่มีขายแต่อย่างใด อยากได้ก็ต้องไปรับเอาเองที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันนี้ (10 ธันวาคม พ.ศ.2563) ซึ่งหวยราษฎรได้ผลิตมาจำกัดมีทั้งหมด 2475 ใบเท่านั้น (0001-2475)

ส่วนเวลาแจกนั้นยังไม่มีการอัพเดทใด ๆ ใคร Want ก็ไปคอยเสียตั้งแต่หัววันโลด...

เปิดแฟ้ม 20 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ทุกวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่งของประเทศไทย นั่นก็คือ วันรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นวันที่ระลึกคล้ายวันที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

.

ส่งผลให้เกิดการยกเลิก พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร

.

อย่างไรก็ตามจากวันนั้นถึงวันนี้ ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาตามกาลสมัย โดยหากนับถึงปัจจุบันแล้ว ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญมาแล้วรวม 20 ฉบับ

.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

1.) พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 (27 มิถุยายน – 10 ธันวาคม พ.ศ.2475)

2.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (ไทย) พุทธศักราช 2475 (10 ธันวาคม พ.ศ.2475 – 9 พฤษภาคม พ.ศ.2489) ถูกยกเลิกเพราะล้าสมัย

3.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (9 พฤษภาคม พ.ศ.2489 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490) ถูกยกเลิกโดยคณะรัฐประหาร

4.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 รัฐธรรมนูญตุ่มแดง หรือ รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม (9 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 – 23 มีนาคม พ.ศ.2492)

5.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 (23 มีนาคม พ.ศ.2492 – 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494) ถูกยกเลิกโดยคณะรัฐประหาร

6.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 (8 มีนาคม พ.ศ.2495 – 20 ตุลาคม พ.ศ.2501) ถูกยกเลิกโดยคณะปฏิวัติ

7.) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 (28 มกราคม พ.ศ.2502 – 20 มิถุนายน พ.ศ.2511)

8.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 (20 มิถุนายน พ.ศ.2511 – 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2514) ถูกยกเลิกโดยคณะปฏิวัติ

9.) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 (25 ธันวาคม พ.ศ.2515 – 7 ตุลาคม พ.ศ.2517)

10.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 (7 ตุลาคม พ.ศ.2517 – 6 ตุลาคม พ.ศ.2519) ถูกยกเลิกโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

11.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 (22 ตุลาคม พ.ศ.2519 – 20 ตุลาคม พ.ศ.2520)

12.) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 (9 พฤศจิกายน พ.ศ.2520 – 22 ธันวาคม พ.ศ.2521)

13.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 (22 ธันวาคม พ.ศ.2521 – 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534) ถูกยกเลิกโดยคณะ รสช.

14.) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 (1 มีนาคม – 9 ตุลาคม พ.ศ.2534)

15.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 (9 ธันวาคม พ.ศ.2534 – 11 ตุลาคม พ.ศ.2540) ถูกยกเลิกหลังตรารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

16.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ฉบับประชาชน (11 ตุลาคม พ.ศ.2540 – 19 กันยายน พ.ศ.2549) ถูกยกเลิกโดยคณะ คปค.

17.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 (1 ตุลาคม พ.ศ.2549 – 24 สิงหาคม พ.ศ.2550)

18.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (24 สิงหาคม พ.ศ.2550 – 22 กรกฎาคม พ.ศ.2557)

19.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 (22 กรกฎาคม พ.ศ.2557 – 6 เมษายน พ.ศ.2560)

20.) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (6 เมษายน พ.ศ.2560 – ปัจจุบัน)

.

รู้หรือไม่?

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ถูกร่างขึ้นโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในระหว่าง พ.ศ. 2557 - 2560 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงลงพระปรมาภิไธย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร และมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ

"RT Movement" มุกใหม่ "เยาวชนปลดแอก" ดันทุกคนเป็นแกนนำ ไร้เวที ไร้การ์ด ไร้ชนชั้น พร้อมควง "ค้อน - เคียว" สัญลักษณ์แห่งคอมมิวนิสต์ย้อนแย้งธงประชาธิปไตย

กลายเป็น Talk ชั่วข้ามคืน เมื่อบนเพจเฟซบุ๊ก เยาวชนปลดแอก ได้มีการโพสต์ภาพโลโก้พร้อมข้อความประกาศเปิดตัว "RT MOVEMENT" (ทีมข้อเดียวมูฟเมนท์) โดยระบุว่า...

"นี่คือ MOVEMENT ครั้งใหม่ที่จะไม่มีอะไรเหมือนเดิม ปลุกสำนึกทางชนชั้นของเหล่าแรงงานผู้ถูกกดขี่ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน พนักงานออฟฟิศ นอกเครื่องแบบ ชาวนา ข้าราชการ 'เราทุกคนล้วนเป็นแรงงานผู้ถูกกดขี่' "

"RT MOVEMENT นี้ ไม่มีแกนนำ ไม่ตั้งเวที ไม่มีการ์ด ไม่มีรถห้องน้ำ ไม่มีการเจรจา ไม่มีการต่อรอง! มาร่วม RESTART THAILAND เพื่อสร้างสังคมที่ 'คนเท่ากัน' โปรดรอติดตามช่องทางที่จะใช้เพื่อทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้"

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าข้อความดังกล่าวที่ชาวเน็ตต่างพุ่งเป้า คือ โลโก้ของ RT MOVEMENT ที่ดู ๆ ไปแล้วช่างละม้ายคล้ายสัญลักษณ์ 'ค้อน - เคียว' ของลัทธิคอมมิวนิสต์เหลือเกิน ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นความตั้งใจหรือแค่บังเอิญกันแน่แต่

ว่าแต่สัญลักษณ์ 'ค้อน - เคียว' ที่ว่าคืออะไร ? ไหน ๆ ก็พูดถึงสัญลักษณ์ ค้อน - เคียวกันแล้ว The States Times ก็จะพาไปดูกันสักหน่อยว่าสัญลักษณ์เหล่านี้มีความหมายหรือว่าเกี่ยวข้องอย่างไรกับลัทธิคอมมิวนิสต์

จริง ๆ แล้วสัญลักษณ์ ค้อน-เคียว มักนำมาเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของลัทธิคอมมิวนิสต์ พรรคคอมมิวนิสต์ หรือรัฐคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ทั่วโลก

โดยความหมายของค้อน คือ ภาคอุตสาหกรรม ส่วนเคียวก็คงจะพอเดากันได้ก็ คือ ภาคเกษตรกรรมนั่นเอง!!

จะเห็นได้ว่าทั้งสองสัญลักษณ์ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นชาวนา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมในระบบ 'คอมมิวนิสต์' โดยส่วนใหญ่จะนำค้อนและเคียวมาใช้ในลักษณะไขว้กัน เมื่อรวมกันแล้วจึงเปรียบเสมือนความเป็นเอกภาพของแรงงานในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ฉะนั้นสัญลักษณ์ค้อนเคียวนี้ จึงได้มาเป็นสัญลักษณ์ให้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น บนธงชาติสหภาพโซเวียต, ธงพรรคคอมมิวนิสต์จีน, ธงพรรคคอมมิวนิสต์เลบานอน และในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งในการเมืองของไทยที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ โดย 'เยาวชนปลดแอก'

นั่นเลยกลายเป็นเหตุให้เกิดการตั้งคำถามทั้งจากกลุ่มเยาวชนปลดแอกและบุคคลนอกกลุ่มว่า ถ้าหากนำสัญลักษณ์ดังกล่าวมาเป็นมุกใหม่ของการเคลื่อนตัว จะเป็นการย้อนแย้งหรือไม่?

เพราะว่าสิ่งที่ทางเยาวชนปลดแอกและคณะราษฎรเรียกร้องมาตลอด คือ 'ประชาธิปไตย' แต่เหตุไฉนถึงเอาสัญลักษณ์ของ 'ลัทธิคอมมิวนิสต์' มาใช้ในการต่อสู้รูปแบบใหม่กันล่ะเนี่ย?

การแฉกลับของ "ดร.นิว" เมื่อ 80% IO ม็อบ...ขั้วสำเนา เฝ้าอยู่นอก

ต้องยอมรับ โซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางสำคัญในการหาแนวร่วมทางการเมือง เพราะสามารถส่งข้อมูลถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและตรงตามจุดมุ่งหมายที่อยากนำเสนอ ทั้งการปลุกระดม และการแชร์ข้อมูล ทั้งที่เป็นประโยชน์ต่อฝั่งตัวเอง และให้ร้ายกับฝ่ายตรงข้าม

ก่อนหน้านี้ เรามักจะได้ยินข่าวว่า ทางฝั่งทหารใช้ปฏิบัติการไอโอ "IO" (Information Operation) เพื่อสร้างข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือให้กับฝั่งรัฐบาล และคอยตอบโต้ฝั่งตรงข้าม

คนที่ออกมาให้ข่าวเรื่อง IO อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างต่อเนื่อง ก็คือ "ช่อ" (พรรณิการ์ วานิช) กรรมการบริหารคณะก้าวหน้าที่พยายามขยี้เรื่องนี้แบบถี่ว่าฝั่งรัฐบาลใช้วิชามาร ทำลายความน่าเชื่อถือกลุ่มคณะราษฎร หรือม็อบ 3 นิ้ว และผู้เห็นต่างจากรัฐบาล

แต่ในขณะ "ช่อ" ออกมาเขย่าเรื่องนี้ ก็เหมือนจะถูกสังคมรื้อประวัติทางฝั่งตนที่เคยใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดีย และ IO ปั่นกระแสช่วงเลือกตั้งปี 2562 จนได้เสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่อย่างถล่มทลาย

กระทั่งมาถึงม็อบ 3 นิ้ว ก็ยังคงมีเคลื่อนไหวของรูปแบบ IO ผ่านแอคเคาน์ทวิทเตอร์เยาวชนปลดแอก (@FreeYOUTHth) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสังเกตให้ดีช่วงที่ผ่านมา จะเห็นวิธีการสร้างแแฮชแท็กให้ติดเทรนด์เป็นกระแสบนทวิตเตอร์อย่างรวดเร็ว ผ่านการแชร์หรือรีทวิตของผู้ใช้งานจำนวนมาก ๆ เพื่อให้คนส่วนใหญ่คล้อยตามและเห็นด้วย

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีใครออกมาแฉกันจะ ๆ แต่เมื่อยุทธการปั่นประสาทคนในเชื่อว่ารัฐใช้ IO ไม่เลิกยังมีภาคต่อ ก็เลยเกิดการแฉพฤติกรรม IO ของขั้วตรงข้ามรัฐบาลอย่างกลุ่มม็อบ 3 นิ้วให้หนาว ๆ ร้อน ๆ

โดยล่าสุดเฟซบุ๊ก "Suphanat Aphinyan" ของ "ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ" หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas สหรัฐอเมริกา ได้ออกมาโพสต์ข้อความที่น่าสนใจระบุว่า การรีทวิต ของ "เยาวชนปลดแอก" พบว่า เกือบ 80% มาจากนอกประเทศ

ดร.นิว ให้ลองสังเกตแบบผิวเผิน คือ ในทุกๆ ครั้งที่ @FreeYOUTHth ใช้งานทวิตเตอร์จะมีการรีทวิต ภายใต้แฮชแท็กเดียวกันซ้ำ ๆ เพื่อให้แฮชแท็กที่ต้องการสามารถติดเทรนด์ขึ้นเป็นกระแสบนทวิตเตอร์ในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว

แต่ถ้าสังเกตแบบเชิงลึกจะพบว่า @FreeYOUTHth มีขบวนการ Retweet ที่ไม่ได้เกิดจากฝีมือของมนุษย์โดยตรง แต่เป็นการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือ "บอท" มาทำ IO แทน ซึ่งเกิดจากการเขียนโปรแกรม ให้มีอัลกอริทึมสั่งการให้ระบบคลาวด์ หรือ ระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ทำการรีทวิตแทนมนุษย์ เพื่อปั่นกระแสและชี้นำทางความคิดเชิงปริมาณ ผ่านยอดของการปั่นแฮชแท็กในทวิตเตอร์ ที่สร้างขึ้นอย่างบิดเบือน

คนไทยที่รู้ไม่เท่าทันจำนวนหนึ่ง จึงหลงเชื่อตกเหยื่อของการหลอกใช้ทางการเมืองได้ง่าย โดย ดร.นิว เผยว่า 76.69% ของการรีทวิตเกิดขึ้นภายนอกประเทศ ในขณะที่เพียง 23.31% เท่านั้นที่เกิดขึ้นจากการปั่นกระแสภายในประเทศ

ประชาชนอย่างเรา ๆ เฝ้ามองดูเรื่องราวเหล่านี้ ก็อย่าไปอินมันมาก เพราะมันก็เป็นเพียงแค่กลยุทธ์การแข่งขันทางการเมือง ที่ไม่ว่าจะกลุ่มใด ต่างก็พยายามช่วงชิงพื้นที่กลุ่มเป้าหมายมาสู่ฟากตนเท่านั้น

ฉะนั้นประชาชนแบบเรา ๆ ต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดด้วยตัวเอง รู้ต้องรู้ให้หมด ฟังต้องฟังให้รอบ ถ้ากระแดะยึดเรื่องที่ติดหัว แล้วร้องปาว ๆ ว่าฉันฉลาด ฉันรู้ คุณก็แค่เหยื่อโง่ ๆ ที่ตกเป็นทาสกลยุทธ์ให้ชักใยไปเพลิน

ผลสุดท้าย คนคุมเกม จะชนะหรือแพ้ ก็แค่จากไปเมื่อเกมจบ ส่วนคนลงไปเล่น หรือถูกบังคับให้ลงไปเล่น ก็ได้มายาคติฝังหัว แบบยากจะแงะออก เชื่อแล้ว เชื่อเลย ใครคิดต่างก็เป็นไอ้โง่ สังคมเกิดความแตกแยกจนต่อไม่ติด แหม่ ๆ จะว่าไปแล้วเทคนิคเหล่านี้ (IO) มันก็เข้าหลักทางการตลาดแบบไวรัลมาร์เก็ตติ้งพอดีเป๊ะ

...เล่ห์การเมืองสมัยนี้ #ช่างร้ายกาจนักนะ

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top