Saturday, 11 May 2024
POLITICS

“ผบ.ตร.” ยันฝึกควบคุมฝูงชนตามวงรอบ ยึดมาตรฐานยูเอ็น โยนนครบาลเคลียร์คืนพื้นที่ม็อบข้างทำเนียบฯ

เมื่อวันที่ 25 มีนาคาม ที่หาดท้ายเหมือง จ.พังงา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีออกคำสั่งฝึกทบทวนข้าราชการตำรวจ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลการชุมนุมสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ว่า มีวงรอบอยู่แล้วที่ตนสั่งการไปล่าสุดและเน้นย้ำไปคือให้ยึดตามมาตรฐานองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)เป็นตัวตั้ง ซึ่งจริง ๆ แล้วเราฝึกมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาฝึก แต่มีหลากหลายรูปแบบ แต่เราจะเน้นอันนี้เป็นตัวหลัก โดยให้หน่วยเขารับทราบ เพราะเวลามาปฏิบัติร่วมกันก็จะใช้มาตรฐานเดียวกันหมด 

เมื่อถามถึงการรับมือการชุมนุม หลังมีผู้ชุมนุมไปร่วมชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นจำนวนมาก พล.ต.อ.สุวัฒน์  กล่าวว่า เราดูแลเรื่องความสงบ เรื่องความเรียบร้อย ไม่ให้เขาละเมิดกฎหมาย ก็ยังคงใช้ตามเดิม ส่วนเรื่องจำนวนคนที่ชุมนุมก็สุดแล้วแต่ แต่เราก็มีมาตรการของเรา

เมื่อถามถึงกระแสข่าวเจ้าหน้าที่จะขอพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ชุมนุมอยู่บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องการปฎิบัติของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)เขาอาจจะต้องดูเวลาและความเหมาะสมในการบังคับใช้  ซึ่งตนขอชี้แจงว่าการชุมนุมในบริเวณดังกล่าวผิดกฎหมายอยู่แล้ว 

เมื่อถามต่อถึงภาพรวมการชุมนุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังมีการปรากฏภาพผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บ และภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจจับผู้ชุมนุมกดลงไปกับพื้น จนทำให้ทั้งสองฝ่ายมีการปะทะกัน พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ทุกครั้งเมื่อมีการปฏิบัติ เรามีการทบทวนบทเรียนเสมอ สิ่งใดที่ทำดีอยู่แล้ว เราก็รักษาต่อไป อะไรที่ต้องปรับปรุงเราก็ต้องทำ ส่วนการทบทวนนั้น มีการนำเข้าสนามฝึกและมีการทำความเข้าใจกับกำลังพลให้มีความแม่นยำในการปฎิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่ามีการกล่าวถึงคำพูดที่ว่าทำตามคำสั่งนาย  มองคำว่าคำสั่งนายกับกฎหมายอย่างไร พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า คำสั่งผู้บังคับบัญชาก็สั่งตามกฏหมายไม่ได้ออกนอกกฏหมายอยู่แล้ว

"โรม" อัด ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ จงใจปิดกั้นสิทธิเสรีภาพปชช. ชี้ หากบังคับใช้จะเป็นภัยใหญ่หลวง

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ว่า ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือฉบับ พ.ศ. 2540 แต่เมื่อได้อ่านในสาระสำคัญ 16 ข้อ ที่เผยแพร่ออกมา ก็น่ากังวลว่าหากมีการบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ขึ้นมาจริง ๆ ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน 

ตัวอย่างสาระสำคัญที่น่ากังวล เช่น ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฉบับ พ.ศ. 2540 กำหนดว่าข้อมูลข่าวสารของราชการที่ "อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" จะเปิดเผยมิได้ แต่ในร่างฉบับใหม่นี้ไปขยายอีกว่าแม้กระทั่งข้อมูลที่ “หากเปิดเผยแล้วอาจมีการนำไปใช้ในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" ก็เปิดเผยไม่ได้ด้วย กล่าวคือจากแค่ตีความในตัวเนื้อหาของข้อมูลเอง กลายเป็นต้องตีความเจตนาของผู้ได้รับข้อมูลด้วยว่าจะเอาไปใช้อย่างไร 

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สอง ข้อมูลที่เมื่อเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคง ฯลฯ เดิมกำหนดให้ "จะเปิดเผยหรือไม่ก็ได้" โดยชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์สาธารณะ แต่ในร่างฉบับใหม่เปลี่ยนเป็นว่า ข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ฯลฯ จะเปิดเผยมิได้ กล่าวคือจากเดิมต้อง "เปิดเผยแล้วเกิดความเสียหาย" จึงให้พิจารณาชั่งน้ำหนักก่อนว่าจะเปิดเผยหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายอาจเปิดเผยก็ได้ เปลี่ยนเป็นแค่เป็นเรื่องความมั่นคงทางทหาร ต่อให้เปิดเผยแล้วไม่เสียหายก็ห้ามเปิดเผย

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สาม ในการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงานรัฐ เพิ่มเติมเข้ามาว่าหากมีผลเป็นการสร้างภาระจนเกินสมควรแก่หน่วยงานรัฐ หรือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หน่วยงานรัฐจะไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้ก็ได้ จากเดิมต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการในการพิจารณาตามความเหมาะสม กลายเป็นโอนอำนาจให้หน่วยงานต้นเรื่องตัดสินได้เอง 

ประเด็นที่สี่ ในการพิจารณาคดีในศาลเกี่ยวกับข้อมูลที่มีห้ามเปิดเผย เดิมกำหนดแค่ว่าจะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาโดยมิให้ข้อมูลนั้นเปิดเผยแก่บุคคลอื่นที่ไม่จำเป็นแก่การพิจารณา แต่ในร่างฉบับใหม่เปลี่ยนมาเป็นบังคับให้ต้องพิจารณาเป็นการลับเท่านั้น กลายเป็นว่านอกจากเรื่องการป้องกันข้อมูลถูกเปิดเผยแล้ว กระบวนการพิจารณาส่วนอื่น ๆ ยังถูกปิดกั้นไม่ให้สาธารณะได้รับรู้ด้วย

“ผมเกรงว่าหากปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้บังคับใช้ได้จริง ๆ ข้อมูลข่าวสารพื้นฐานที่ประชาชนควรรู้ เช่น เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ ที่ใช้เงินภาษีประชาชน ก็จะถูกปิดกั้นไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ ถึงการใช้จ่ายซื้ออาวุธของกองทัพ ที่อ้างตลอดว่าเป็นไปเพื่อความมั่นคงด้านการทหาร แต่เมื่อได้เห็นรายการที่สั่งซื้อ เห็นตัวเลขวงเงิน ก็บ่งชี้ว่านี่คือการใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่า เกินความจำเป็น หรืออาจเข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชันด้วยซ้ำ ลองคิดดูว่าหาก พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่ประกาศใช้ เรื่องเหล่านี้จะยังถูกเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้หรือไม่?" นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ใน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ พ.ศ. 2540 ได้เขียนเหตุผลของการมี พ.ร.บ. ดังกล่าวไว้ว่า "ในระบอบประชาธิปไตย การให้ประชาชนมีโอกาสกว้างขวางในการได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นและใช้สิทธิทางการเมืองได้โดยถูกต้องกับความเป็นจริง อันเป็นการส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลโดยประชาชนมากยิ่งขึ้น สมควรกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิได้รู้ข้อมูลข่าวสารของราชการ" 

แต่ใน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่นี้ยิ่งทำให้เลวร้ายลงไปอีก จากกฎหมายที่เป็นหลักประกันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร กำลังถูกบิดเบือนให้กลายเป็นกฎหมายแห่งการปิดกั้นข้อมูลไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้แจ้งอีกว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็น "กฎหมายปฏิรูป" หมายความว่าตามรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาล มาตรา 270  ส.ว. จะมีอำนาจเข้ามาร่วมลงมติร่วมกับ ส.ส. ได้ตั้งแต่แรก คงตั้งใจจะเอาให้ผ่านสภาให้ได้จริง ๆ ฉะนั้น ถ้ากฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ขึ้นมาจะเป็นภัยกับประชาชนอย่างใหญ่หลวงแน่นอน ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด

"อนุทิน" ลั่น​ ถ้าวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้​ พร้อมเปิดประเทศ​ การันตี​ ยี่ห้อไหนผ่าน อย.ไทยปลอดภัยหมด “ฟุ้ง”​ สธ.ทำงานได้เกินเป้า

วันที่ 25 มี.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล​ นายอนุทิน​ ชาญวีรกูล​ รองนายกรัฐมนตรี​ และรมว.สาธารณสุข​ ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดประเทศว่า มาตรการผ่อนคลายต่างๆที่จะเกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีน​ ซึ่งจากนี้ถึงอีก 2 เดือนข้างหน้า จะมีการกระจายฉีดวัคซีนเป็นล้านคน ที่ผ่านมาใช้ไปประมาณ 1 ล้านโดส และเดือนหน้าอีกประมาณ 1-2 ล้านโดส ดังนั้นภายในเดือนพ.ค.นี้เราจะเริ่มรู้แล้วว่า คนที่ได้รับวัคซีนมีภูมิคุ้มกันระดับไหน ซึ่งถ้าผลเป็นที่น่าพอใจก็จะมั่นใจได้ว่าจะต้องฉีดให้คนจำนวนมาก จากนั้นจะเป็นการผ่อนคลายมาตรการให้เกิดความสะดวกและเป็นปกติมากขึ้น 

หลักการแรกคือต้องดูความปลอดภัยของประชาชน ปลอดภัยเมื่อไหร่เปิดเมื่อนั้น ไม่เก็บไว้แน่นอน ส่วนแผนและระยะเวลานั้น ขึ้นอยู่กับความปลอดภัย รวมทั้งการเจรจากับประเทศคู่เจรจาต่างๆ​ ทั้งนี้​ หากวัคซีนเข็มแรกที่ได้ฉีดให้กับทุกคนได้ผล มีภูมิคุ้มกันกันหมดจะเป็นตัวชี้วัดได้ ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังเร่งทำในเรื่องนี้อยู่แล้ว และกำลังเร่งขึ้นทะเบียนวัคซีน อย่างวันนี้องค์การอาหารและยา​ (อย.)​ ก็ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เท่ากับเรามีทางเลือกเพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเราไม่ได้มีการปิดกั้นในเรื่องของวัคซีน ตราบใดที่ผู้ผลิตวัคซีนยื่นเอกสารเข้ามา ถ้าทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอนเราจะอนุมัติโดยเร็ว 

เมื่อวันนี้ประเทศไทยเรามีวัคซีน 3 ยี่ห้อแล้ว ประกอบด้วย ซิโนแวค แอสตราเซเนกา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ใครสามารถไปเจรจาและเขายอมขายวัคซีนให้ ก็ถือว่ามีความชอบธรรมที่จะนำเข้า แต่เขาจะยอมขายหรือไม่เป็นอีกเรื่อง เพราะทุกบริษัทผลิตมาในช่วงภาวะฉุกเฉิน และหากผู้นำเข้ารับสภาพได้ว่า เป็นการนำเข้ามาเฉพาะในภาวะฉุกเฉิน ความรับผิดชอบของผู้ผลิตมีจำกัด ผู้ที่จะมารับขอวัคซีนเองรับสภาพได้ กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่มีปัญหา แค่ระบุว่าจะนำเข้ามาและไปฉีดที่โรงพยาบาลใด มีการขอและขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการกับกรมควบคุมโรค เราก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงสาธารณสุข เป็นการแบ่งเบาภาระ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในเรื่องของวัคซีนแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ การเข้าถึงวัคซีนมีเพิ่มมากขึ้น แต่เราไปซื้อจำนวนมากก็ไม่ได้ เผื่อมีการกลายพันธุ์ อนาคตก็ต้องดูวัคซีนที่มีการพัฒนา เราต้องใช้วัคซีนที่เหมาะสมที่สุด แต่ช่วงนี้ก็ต้องใช้สายพันธุ์นี้ไปก่อน

"วัคซีนที่ดีที่สุดในโลกมันไม่มีหรอก มีแต่วัคซีนที่เหมาะ​ มาถูกเวลา ราคาอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้ และส่วนใหญ่วัคซีนที่กว่าจะมาถึงมือเราใช้เวลามาก และกว่าจะผ่านขั้นตอนของอย.ไทยยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นหากอนุญาตให้มาใช้ได้แสดงว่ามีความปลอดภัยขั้นสูงสุดแล้ว" รมว.สาธารณสุขกล่าว

นายอนุทิน​ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการมาถือว่าเกินเป้าหมายทั้งตั้งไว้ ทั้งเรื่องการพัฒนา การเข้าถึงวัคซีน และความรวดเร็ว เกินคาดกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าไว้ วันนี้ปัญหาที่ต้องทำให้เร็วที่สุด คือการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ยิ่งฉีดได้มาก​ ฉีดได้เร็ว​ และมีประสิทธิภาพก็จะทำให้เปิดประเทศได้เร็ว วันนี้ทางสถานเอกอัครราชทูตก็เริ่มมาพูดคุยกันแล้วในเรื่องการพิจารณาการเข้าประเทศ

กลาโหมยันทหารโอนย้ายเป็น ตร.ได้ หากปลายทางเปิดรับ เชื่อแต่ละอัตราคุณสมบัติชัดเจน เอื้อประโยชน์ไม่ได้

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่โลกออนไลน์มีการเผยแพร่เอกสารนายทหารชั้นประทวนโอนย้ายไปเป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองหลายนาย แต่ในส่วนของตำรวจเองจะโอนย้ายกลับต้องผ่านการทดสอบความรู้ตามหลักเกณฑ์มากมายกว่านั้น ว่า เรื่องการโอนย้ายระหว่างหน่วยงาน หรือกระทรวงหนึ่งไปอีกกระทรวงหนึ่งสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบข้าราชการปกติ หากหน่วยงานปลายทางเปิดรับในตำแหน่งที่ว่าง แต่ถ้าเขาไม่เปิดรับก็โอนย้ายไม่ได้ ทั้งนี้การโอนย้ายแต่ละอัตราจะมีรายละเอียดคุณสมบัติระบุต่อท้ายชัดเจน ซึ่งไม่สามารถเอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือเฉพาะกลุ่มได้
 

รัฐบาล จ่อ! ออกมาตรการใหม่ดึงคนใช้จ่ายเพิ่ม

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษามาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ โดยรูปแบบเบื้องต้นจะให้กลุ่มคนมีรายได้ปานกลางถึงสูง นำเงินออมออกมาใช้จ่าย ในลักษณะร่วมกันจ่ายกับภาครัฐเร่งการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้า คล้ายกับมาตรการช้อปดีมีคืน แต่ครั้งนี้จะมีการลดหย่อนภาษีอย่างไรหรือไม่ จะมีการพิจารณาอีกครั้ง

"ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้คนไทยไม่กล้าใช้จ่ายจนเงินออมเพิ่มขึ้นถึง 11% มูลค่าหลายแสนล้านบาท จากช่วงสถานการณ์ปกติจะมีการออมเพิ่ม 3% ในแต่ละปี จึงมีแนวคิดว่าให้นำเงินออมส่วนต่างที่เกินมาช่วยชาติใช้จ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยในปี 64 ขยายตัวได้ 4% ตามที่รัฐบาลคาดหวังเอาไว้"

รองนายกฯ กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ในวันที่ 26 มี.ค.นี้จะมีการหารือจังหวัดนำร่องเป็นต้นแบบที่จะเปิดรับต่างชาติ ซึ่งได้มีจังหวัดภูเก็ตเสนอตัวเป็นจังหวัดต้นแบบเป็นแห่งแรก ซึ่งที่ผ่านมาเป็นจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนจริงเพราะถึงพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก และหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 4% จะต้องเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเที่ยวไทยก่อนเดือนต.ค.นี้

เร่งปรับกฎหมายค้ามนุษย์ มุ่งป้องการละเมิดทางเพศและอายัดทรัพย์ เพื่อเยียวยาเหยื่อผู้เสียหาย

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก ประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พร้อมกับคณะกรรมการประสานและกำกับติดตามการดำเนินงาน ทั้งสองคณะต่อเนื่องกัน  ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี รมว.ยุติธรรม รมว.แรงงาน และรมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมส่วนราชการต่างๆเข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ด้านป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

ที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานที่สำคัญ ในการเร่งทบทวนแก้ไขและปรับปรุงกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ .2551  ที่ให้น้ำหนักความสำคัญกับการลดอุปสงค์การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก การบังคับใช้แรงงานหรือการบริการและการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบมากขึ้น  รวมทั้งการกำหนดให้มีแนวทางการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิด เข้ากองทุนเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน  พร้อมกับรับทราบความร่วมมือการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์กับออสเตรเลีย รวมทั้งรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 63 ( Progress Report ) เพื่อประกอบการพิจารณาจัดระดับประเทศในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์

พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำถึงการค้ามนุษย์ เป็นความเสียหายทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ จึงถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ร่วมขับเคลื่อนเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ที่มุ่งความยั่งยืน  จึงต้องพิจารณาให้รอบด้านและครอบคลุมในทุกมิติ  โดยเฉพาะการป้องกันการล่อลวงการละเมิดทางเพศต่อกลุ่มเปราะบาง เด็กและสตรีในสื่อออนไลน์ รวมทั้งการเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มากขึ้น  จึงขอให้เร่งปรับปรุงกฎหมายที่ยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฉพาะการมอบหมายให้ สตม. ติดตามการลักลอบผู้โยกย้ายถิ่น และมอบสำนักงาน ป.ป.ง. ติดตามนำเงินที่ได้จากการยึดอายัดทรัพย์ไปเยียวยาผู้เสียหายให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับ การบริหารจัดการกองทุนเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยคณะกรรมการบริหารกองทุน ต้องให้โปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์  ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์ของการจัดทำรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 63 และให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างประเทศควบคู่กันไปโดยเฉพาะความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ และ ไทย - ออสเตรเลีย  ทั้งนี้ ขอให้พิจารณาปรับแผนปฏิบัติการ ปี 64 รองรับสถานการณ์โควิด-19 และสถานการณ์ทางสังคม เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคการปฏิบัติงาน พร้อมย้ำกับทุกส่วนราชการ เอาผิดเด็ดขาดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง

‘บิ๊กตู่' เผย ตำรวจออกหมายเรียกชายโพสต์ข่มขู่ลูกสาวแล้ว ‘พ้อ’ ไม่มีสื่อช่วยพูดมีแต่ปชช.ให้กำลังใจ

วันที่ 25 มี.ค. ที่อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม  ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในงานสถาปนากระทรวงยุติธรรม ครบรอบ 130 ปี ถึงกรณีการออกหมายเรียกผู้ใช้ทวิตเตอร์ชายไทย อายุประมาณ 40 ปี ที่โพสต์ข้อความข่มขู่คุกคามนางสาวธัญญา และ นางสาวนิฏฐา จันทร์โอชา บุตรสาว ว่า เป็นการออกหมายเรียกและหลังจากนี้ก็จะมีการสอบสวนหาหลักฐาน พร้อมย้อนถามสื่อว่า "แล้วควรทำไหม สื่อเห็นว่าควรทำไหม ไม่เห็นมีสื่อไหนพูดให้ผม มีแต่ประชาชนให้กำลังใจฉัน”
 

นิพนธ์ฯ กำชับ องค์การจัดการน้ำเสีย เร่งจับมือ ท้องถิ่น แก้น้ำเสีย 7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน หวังรักษาสมดุลน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค พร้อมประสานทุกความร่วมมือ ดำเนินแนวทาง "น้ำเสีย อยู่คู่ชุมชนได้"

วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะได้เดินทางมาตรวจเยี่ยม เพื่อมอบนโยบายการดำเนินงานขององค์การจัดการน้ำเสีย โดยมี นายพรพจน์ เพ็ญพาส ประธานกรรมการ อจน. พร้อมด้วยคณะกรรมการ นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการ อจน.ให้การต้อนรับ

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "ปัญหาน้ำเสียเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและต้องดำเนินการให้เป็นกิจจะลักษณะเป็นปัญหามลพิษทางน้ำที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างจริงจัง คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติเห็นชอบกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียขององค์การจัดการน้ำเสียให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย เพื่อเร่งรัดการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูรณาการดำเนินงานร่วมกันระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)

นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน รวมถึงการสร้างความตระหนักในการช่วยกันลดความสกปรกของน้ำเสียจากแหล่งกำเนิด การมีส่วนร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนว่าต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาน้ำเสียด้วยกันถึงจะประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย พร้อมบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างๆ อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น องค์การจัดการน้ำเสีย ในฐานะหน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำเสีย การประปาส่วนภูมิภาค และการประปานครหลวง ในฐานะหน่วยงานที่ผลิตน้ำประปา บูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการคุณภาพน้ำอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ เน้นการดำเนินงานตามกรอบแนวทางการกำกับกิจการที่ดีและตามมาตรฐานสากล ดำเนินงานอย่างโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 

อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือต้องเข้าไปประสานงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆที่มีความพร้อมดำเนินการเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาน้ำเสียที่มีมากถึง 7 ล้านลบ.ม.ต่อวัน โดยน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วสามารถนำมาเป็นนำกลับมาใช้ได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย ดังนั้น จึงถือว่าแนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้การใช้ทรัพยากรน้ำเกิดความคุ้มค่าสูงสุด”

นอกจากนี้ เรื่องบุคลากรถือเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนภารกิจขององค์กร ควรมีการเพิ่มศักยภาพความรู้ความสามารถของบุคลากรในองค์กรให้มีทักษะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีในการบำบัดน้ำเสียให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ประชาชนในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต้องทำให้เห็นว่าน้ำเสียสามารถอยู่คู่กับชุมชนได้อย่างเป็นระบบ มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประยุกต์ใช้พื้นที่ของระบบบำบัดน้ำเสียให้เป็นสถานที่ที่ประชาชน โดยใช้โรงงานน้ำเสียที่บำบัดอยู่ใต้ดิน ส่วนข้างบนเป็นสวนสาธารณะ หรือสนามฟุตบอลตามที่ท้องถิ่นต้องการให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมทั้งมีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

“อนุชา” เสียใจ"เอ๋ ปารีณา” ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ มั่นใจ! ไม่มีผลต่องานสภาฯเสียงรัฐบาล ยังปึ้ก

วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ศาลฎีการับคำร้อง กรณีนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพปชร. บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี โดยให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ไว้ก่อน ว่า ขณะนี้ในพรรคยังไม่มีการพูดคุยกัน ซึ่งหากเป็นจริงตนคิดว่าต้องรอดูเหตุการณ์ว่าจะเป็นอย่างไรในส่วนนี้ แต่ส่วนตัวก็รู้สึกผิดหวังไปกับนางสาวปารีณา ที่ต้องโดนตัดสิทธิ์

"ผมในฐานะเลขาธิการพรรคในการพรรคก็เป็นห่วงเป็นกังวล ในฐานะที่ทำงานร่วมกันมาซึ่งนางสาวปารีณาก็เป็นสมาชิกของเราคนหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราก็ต้องรู้สึกผิดหวังเป็นธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งในส่วนของพรรคก็ต้องมีการดำเนินกิจกรรมหลาย ๆ อย่างโดยต้องมาดูว่าเราจะสามารถคิดอ่านอย่างไรต่อไป ซึ่งก็ต้องเป็นภาพร่วมของพรรค โดยต้องมีการหารือในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งหนึ่ง แต่สำหรับผมในฐานะที่เป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องรู้สึกเสียใจกับนางสาวปารีณา"

เมื่อถามว่าการที่เสียงของรัฐบาลขาดไปหนึ่งเสียงจะทำให้มีผลกระทบอะไรในการทำงานสภาหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ไม่มีหรอก เพราะเราก็เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมา เสียงที่เรามีอยู่ตอนนี้ค่อนข้างที่จะมีความมั่นคง ซึ่งเรื่องของเสียงไม่สำคัญเท่ากับการเสียเพื่อนไปคนหนึ่งที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เท่านั้นเอง เรื่องเสียงในสภาไม่ใช่ประเด็น

“อนุชา” เผย พปชร. ยังไม่เคาะถก กก.บห. เปลี่ยนเก้าอี้เลขาฯพรรค ยัน! “บิ๊กป้อม” เอาอยู่

วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าวการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารพรรค ว่า ไม่ทราบ ยังไม่มีกำหนดการ ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ 

ผู้สื่อข่าวถามถึงความต้องการให้เปลี่ยนแปลงเก้าอี้เลขาธิการพรรค นายอนุชา กล่าวว่า ไม่มี ๆ ทุกอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคดูแลดีอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพปชร.ระบุพร้อมนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคหากมีการปรับเปลี่ยนตัวบุคคล นายอนุชา หัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ไม่หรอก ท่านอยากอาสา” เมื่อถามย้ำว่าเก้าอี้เลขาฯยังแข็งแรงใช่หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า อยู่ที่ภาพรวม ไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์อะไรได้โดยลำพัง ทุกอย่างอยู่ที่กระบวนการของพรรค พปชร.

“อนุชา” เผย พปชร.พร้อมแก้ รธน. ยัน! ไม่แตะหมวด1,2 โยนสภาฯ ไขปม ตัดอำนาจ ส.ว. ชี้ ปัญหารธน.60 อยู่ที่สังคมมอง

วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพปชร.ว่า จุดยืนไม่แตะหมวด1  หมวด2 

ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวทางเรื่องการแก้ไขอำนาจของ ส.ว. นายอนุชา กล่าวว่า ก็ไปว่ากัน ส่วนจะตัดหรือไม่ตัดอำนาจเป็นเรื่องของสภาฯเป็นคนตัดสิน เมื่อถามว่าที่มาของนายกรัฐมนตรี ควรมาจาก ส.ส.อย่างเดียว โดยที่ไม่ให้ ส.ว.มีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ไม่จำเป็นและหากจะแก้ไขต้องดูบริบทตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นภาพรวมที่ต้องไปคุยกันในพรรคว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีความเห็นอย่างไรบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่แก้รัฐธรรมนูญ ต้องไปว่าการถึงรายละเอียดในแต่ละครั้งไม่ใช่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคพปชร.มองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มีปัญหาตรงไหนบ้าง นายอนุชา กล่าวว่า ในฐานะที่เข้ามาตามรัฐธรรมนูญ 2560 หากจะมองว่าในอนาคตมีปัญหาหรือไม่ อย่างไร อยู่ที่สังคมและรัฐสภาเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่เราตัดสินเพราะเราเป็นคนอาสาเข้ามาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ 

เมื่อถามว่าดูเหมือนพรรคพปชร.จะถูกโดดเดี่ยวจากพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายอนุชา กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะความคิดเห็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความเห็นแตกต่างอยู่แล้วในทางการเมืองหากคิดเห็นเช่นเดียวกันคงไม่ปกติ เพราะการเมืองต้องมีความเห็นที่หลากหลาย สุดท้ายต้องมาจบว่ารัฐสภาจะไปทางไหน ต้องมาประมวล วิเคราะห์ และทำการบ้านร่วมกันว่าองคาพยพในการแก้ไขจะไปทางไหนได้บ้าง ซึ่งต้องใช้เสียงส่วนรวมตามระบอบประชาธิปไตย

เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลต้องคุยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญอีกหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว

กระทรวงแรงงาน จับมือ กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ”

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ” เพื่อสร้างการรับรู้ รับฟังข้อเสนอแนะและร่วมกันพิจารณาผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ...รองรับสถานการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงไป พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบให้ดียิ่งขึ้น 

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ” โดยมี นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน กล่าวต้อนรับ นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเชิงนโยบายและกฎหมายแรงงานและโฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน กล่าวรายงาน 

โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การช่วยเหลือเยียวยา แบ่งเบาภาระค่าครองชีพของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน รวมถึง “พี่น้องแรงงานนอกระบบ” และพร้อมที่จะให้การดูแลเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

โดยมีนโยบายในการเร่งรัดการออกกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ เพื่อรองรับแรงงานนอกระบบทุกคน จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การระบาดของโรคโควิด – 19 การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลต่อการจ้างงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สภาพการจ้างงานยังไม่มีความชัดเจน เป็นการจ้างงานรูปแบบใหม่ที่เราต้องศึกษา ควบคุม และดูแลต่อไป 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน มีเป้าหมายเดียวกันกับคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และคณะอนุกรรมาธิการศึกษานโยบายและกฎหมายแรงงาน คือ การดูแลแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน จึงได้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบขึ้น ซึ่งการสัมมนาในวันนี้ ทุกท่านคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันสนับสนุนและผลักดัน การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... ให้สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยเร็ว 

นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเชิงนโยบายและกฎหมายแรงงานและโฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน กล่าวว่า โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ” ในวันนี้ จัดขึ้นโดย คณะกรรมการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับกระทรวงแรงงาน เพื่อส่งเสริมการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ..... เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ..... และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และกระทรวงแรงงานในการพิจารณาผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ.....ร่วมกัน 

โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมสัมมนา จำนวน 300 คน ประกอบด้วย คณะกรรมาธิการการแรงงานและคณะอนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ นักวิชาการและเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านแรงงาน วิทยากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่จากภาครัฐและผู้สังเกตการณ์ แรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตัวแทนผู้ประกอบการ เจ้าของสถานประกอบการ เครือข่ายภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่เกี่ยวข้องด้านแรงงานนอกระบบ 

ผู้เข้าสัมมนาในวันนี้โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ ยังไม่มีใครคุ้มครองดูแลสิทธิประโยชน์ จากการสัมมนาในวันนี้จะเป็นการให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบในการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริม คุ้มครอง และพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังข้อเสนอแนะ ในด้านคุ้มครองแรงงาน สวัสดิการแรงงาน รายได้ อาชีพ และเครือข่ายการขึ้นทะเบียน เพื่อนำผลจากการสัมมนาครั้งนี้ไปขับเคลื่อนนโยบายและร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ..... ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการกฤษฏีกา และรัฐสภา เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้ผลสำเร็จ เกิดผลเป็นรูปธรรมและนำไปบังคับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป

“ศรีสุวรรณ” ร้อง กกต. วินิจฉัย อสม. ลงสมัครเลือกตั้ง พร้อมขอตรวจสอบ ปมผู้สมัครนายกเทศมนตรีอ.พยุหะคีรี นำรูปคนมีชื่อเสียงขึ้นคู่หาเสียง

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นต่อ กกต.เพื่อให้วินิจฉัยกรณีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สามารถสมัครรับเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นได้หรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ด้วย อสม. หลายคนได้เข้ามาสมัครสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ซึ่ง อสม. ตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 1,000 บาท และได้รับสิทธิพิเศษอีกมากมายรวมทั้งสิทธิในการเสนอเพื่อรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย ไม่ต่างอะไรกับข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ 

แต่ในพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 ได้กำหนดว่า ข้าราชการ พนักงานของรัฐ จะมาสมัครเป็นสมาชิกหรือผู้บริหารองค์กรท้องถิ่นไม่ได้ แต่ที่ปรากฏทั่วประเทศตอนนี้คือ อสม. ไปสมัครเป็นสมาชิกและผู้บริหารท้องถิ่นกันเยอะ ซึ่งเป็นก็จะเกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่างผู้สมัครทั่วไปที่ไม่ได้เป็น อสม. เนื่องจาก อสม. ใช้เงินของรัฐมาดำเนินการสร้างปฏิสัมพันธ์ช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด เมื่อมาสมัครเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นก็จะได้เปรียบ ดังนั้น กกต. ผู้ดูแลในเรื่องนี้ควรมีคำวินิจฉัยที่ออกมาให้ชัดเจนว่า อสม. ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ 

นอกจากนี้ยังขอให้ กกต. ตรวจสอบกรณีผู้สมัครนายกเทศมนตรีนำรูปของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้สมัครมาขึ้นคู่กับป้ายหาเสียงของตนว่าเข้าข่ายผิด พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 มาตรา 65(1) (5) หรือไม่ โดยพบกรณีดังกล่าวในพื้นที่ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ที่นายอนุรักษ์ พงษ์สาลี ผู้สมัครนายกเทศมนตรี เบอร์ 2 ได้นำรูปของทีมงาน 2 ราย คือนางศศิธร ศรีเพ็ง และนายนคร  พิริยะโภคานนท์ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้สมัคร แต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น และเป็นบุคคลที่นายอนุรักษ์ นำเสนอว่าหากตนได้รับเลือกตั้งก็จะแต่งตั้งทั้งสองคนเป็นรองนายกเทศมนตรี จึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของนายอนุรักษ์ เป็นการหวังจะได้คะแนนจากฐานเสียงของบุคคลทั้งสองมาสนับสนุนให้ตนเองได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี ซึ่งเข้าข่ายเป็นการจัดเตรียมเพื่อจะให้ผลประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้กับตนเองตามมาตรา 65(1) และ ( 5) 

จึงอยากให้กกต.วินิจฉัยทั้งสองประเด็นนี้ให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้งสมาชิกและนายกเทศมนตรีเพราะหากเป็นความผิดก็จะได้ตัดสิทธิผู้สมัครก่อนการลงคะแนน ก็จะได้ไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในภายหลัง รวมทั้งจะได้เป็นบรรทัดฐานในการลงสมัครและการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาต่อไป

"แรมโบ้" ลั่น! ม็อบ ยุติการชุมนุม หันมาช่วยกัน ‘รวมไทยสร้างชาติ’ อย่าฟัง พวกชังชาติ

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นที่น่าภาคภูมิใจที่ในปี 2564 ประเทศไทยเป็นอันดับ 1ในอาเซียน ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเรื่องของดิจิทัล  อีกทั้งยังเป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุดในปี 2564  ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล นอกจากจะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ แล้ว นายกรัฐมนตรียังให้ความใส่ใจกับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพราะถือว่าประชาชนได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด และยังเป็นประโยชน์กับประชาชนในหลายด้าน 

นายเสกสกล กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้พัฒนาประเทศและแก้ไขปัญหามาหลายด้าน จนประชาชนทั้งในประเทศและนานาประเทศให้การยอมรับ ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนได้มั่นใจในตัวพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลในการทำงาน อยากจะพัฒนาประเทศให้ได้มากที่สุด ยังเห็นความสำคัญของประชาชน และประเทศ มาเป็นอันดับที่ 1 พร้อมที่จะช่วยเหลือในทุกด้านโดยไม่เหน็ดเหนื่อยไม่ย่อท้อ และพร้อมทุ่มเทพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าเติบโต ประชาชนอยู่ดีกินดี จึงเรียกร้องไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีการเคลื่อนไหวให้ยุติการชุมนุม เพราะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น และยังทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 

"บ้านเมืองเป็นของพวกเราทุกคน ควรหันมาช่วยกัน ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ช่วยนายกฯและรัฐบาลขับเคลื่อนประเทศเดินหน้าไปสู่นโยบายที่วางไว้ให้สำเร็จ ไม่ใช่เวลาที่จะออกมาชุมนุม จนทำให้บ้านเมืองเสียหายย่อยยับ เราทุกคนควรหันกลับมาร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข อย่าไปเชื่อฟังบุคคลที่คิดยุยงปลุกปั่น พวกบ่อนทำลาย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คนชังชาติเหล่านั้นไม่หวังดีต่อประเทศไทย พวกเราอย่าตกเป็นเครื่องมือคนคิดร้ายต่อแผ่นดินไทยเลย" นายเสกสกลกล่าว

"มายด์" พร้อมพวกรายงานตัวอัยการคดีชุมนุมสถานทูต เผยกำลังใจดีสู้ไม่ถอย - พระร่วมให้กำลังใจชูป้าย "ขอบิณฑบาตอนาคตของชาติ #ยกเลิก112"

วันที่ 25 มี.ค 2564 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารกรุงเทพใต้ นางสาวภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ พร้อมพวกผู้ต้องหาแกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร เดินทางมารายงานตัวตามที่อัยการนัดฟังคำสั่งคดีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนี ซึ่งถูกแจ้งข้อหาในความผิดตาม ป.อาญา ม.112 และยุยงปลุกปั่นฯ ม.116 และข้อหาอื่นๆ 

โดย นางสาวภัสราวลี เปิดเผยว่า วันนี้มารอฟังคำสั่งอัยการ ส่วนตัวเตรียมพร้อม เข้มแข็งจากการชุมนุมเมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) เติมกำลังใจตัวเองได้อย่างดี สู้ต่อไม่ถอย ซึ่งพ่อกับแม่ก็ให้กำลังใจ ส่วนที่มีข่าวว่าวันนี้อัยการจะเลื่อนนัดสั่งคดีนั้น ยังไม่มั่นใจ ต้องรอฟังอีกที ทุกคนในคดีจะมากันครบ เพราะทุกคนมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ มั่นใจในสิ่งที่ทำ กล้าหาญ กำลังใจดีเข้มแข็ง พี่น้องประชาชนส่งพลังให้ตนและทุกคน 

ส่วนหากมีการส่งฟ้องแล้วศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ถ้าให้ประกันตัว ประชาชนจะมองกระบวนการยุติธรรมอย่างมั่นใจ ทุกคนโดนข้อหาเดียวกันทั้ง 13 คน หลายคนเป็นนักศึกษา และส่วนตัวก็ยังมีสอบ เชื่อว่าพลังของประชาชนที่ออกมาเป็นส่วนสำคัญ 
.
ด้าน นางสาวเบนจา อะปัญ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เปิดเผยว่า หากไม่ได้รับการประกันตัวก็จะให้มวลชนเดินหน้าต่อสู้กันต่อไป ตนเองก็จะสู้ต่อไปเพียงแค่เปลี่ยนสถานที่ สำหรับการชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมา พยายามจัดการชุมนุมให้มีความปลอดภัยกับผู้ชุมนุมมากที่สุด และให้มวลชนได้มีส่วนร่วมกับการทำกิจกรรม ส่วนภารกิจที่ติดค้างคือเรื่องเรียน และการต่อสู้ยังเป็นภารกิจสำคัญ ขณะนี้มองว่าควรที่จะมีการยกเลิกการส่งฟ้องไปเลย ซึ่งจะไม่เป็นการค้างคา 

ผู้สื่อข่าวยังถามถึงความคิดเห็นที่มีต่อการชุมนุมของกลุ่ม REDEM ที่ไม่มีแกนนำ นางสาวเบนจา มองว่า เป็นการชุมนุมที่ให้คนหลายกลุ่มได้เข้ามาร่วม ซึ่งตนเองก็ไม่เคยบอกว่าการมีแกนนำหรือไม่มีแกนนำดีหรือไม่ดีอย่างไร จะมีความแตกต่างกันในด้านวิธีการ แต่แนวทางการต่อสู้คือเป้าหมายเดียวกัน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารกรุงเทพใต้ในวันนี้ มีผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรและผู้ใกล้ชิดเดินทางมารอให้กำลังใจผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดี โดยผู้มาให้กำลังใจ อาทิ นายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และ นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน รวมถึงมีกลุ่มพระสงฆ์ 4 รูป ถือป้ายข้อความว่า "ขอบิณฑบาตอนาคตของชาติ #ยกเลิก112" 

ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมที่เดินทางมาให้กำลังใจแกนนำราษฎรในวันนี้ หลังทราบข่าว นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ถูกศาลฎีกาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ต่างพากันดีใจด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top