Monday, 10 February 2025
คนตัวเล็ก

งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่เป็นผล!! ประชาชนเริ่ม ส่ายหน้า เสื่อมศรัทธา รัฐบาล ไทยเดินหน้า ‘คาสิโน’ แต่ ‘เวียดนาม’ เตรียมเป็นผู้ผลิต ‘เซมิคอนดักเตอร์ชิป’ รายใหญ่

(2 ก.พ. 68) ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. 47 จังหวัด ประกาศครบถ้วนไปแล้ว พรรคการเมืองครอบครองพื้นที่ไหน คงมีหลายๆ สื่อนำเสนอไปแล้ว แต่คงพอให้เห็นความนิยมบางอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงจากเวทีใหญ่

ภาพใหญ่จากความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่แจกเฟส 2 ก่อนสนามการเมืองระดับท้องถิ่น เหมือนจะสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้มาก เพราะตั้งแต่แจกเงินเฟสแรก เศรษฐกิจไทย ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น แถมใช้เม็ดเงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากนับรวมเฟส 3 ที่จะแจกประชาชนทั่วไปอายุ 16-60 ปี ประมาณ 16 ล้านคน จะใช้งบประมาณราว 334,500 ล้านบาท มากกว่างบประมาณรวมจากหลายๆ โครงการ ที่อาจเป็นรูปธรรมมากกว่า 

บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น เริ่มทยอยเพลี้ยงพล้ำ ถอนธุรกิจจากประเทศไทย ล่าสุด Z.Com ยุติให้บริการโบรกเกอร์ในไทย เริ่มปิดบัญชีลูกค้า 3 มีนาคม นี้  ทั้งค่ายรถยนต์ ที่เจอคู่แข่งรถไฟฟ้าสัญชาติจีน โรงงานผลิตชิ้นส่วนอีกหลายแห่ง ที่จำเป็นต้องซาโยนาระ (ลาก่อน) จากประเทศไทย

แถมมีข่าว 7-11 ญี่ปุ่น ทาบทาม 'เครือซีพี' ของไทย ร่วมลงทุนในดีลใหญ่ ซื้อหุ้นคืน 9 ล้านล้านเยน สู้ศึกเทกโอเวอร์จากกลุ่มแคนาดา ศักยภาพผู้นำเศรษฐกิจในไทยยังคงแข็งแกร่ง ส่วนผู้นำอุตสาหกรรมโลก เห็นภาพชัดว่าจีน แข็งแกร่งมากเพียงใด 

แต่รัฐบาลไทย กลับจะปั้นเศรษฐกิจประเทศด้วย “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ แทนที่จะเร่งต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ที่ตอนนี้ กลายเป็น ‘เวียดนาม’ เตรียมขึ้นแท่นก้าวเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชิปรายใหญ่ของโลก

กำลังซื้อยังไม่ฟื้น ถึงจะแจกเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก เลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น อาจเป็นภาพเล็กๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชน เริ่มมีความไม่เชื่อมั่นทีมการเมืองจากพรรคแกนนำรัฐบาล

ฝุ่นพิษ PM 2.5 กรุงเทพ ก็ยังไม่ลด ผู้นำที่เคยขายภาพฝัน ‘ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่า’ ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ ปริมาณฝุ่นลดลง 2 วัน ฝ่ายรัฐบาลเคลมทันที ว่าเป็นเพราะนโยบายขึ้นรถไฟฟ้า-รถเมลล์ ฟรี โดยใช้งบประมาณ 140 ล้านบาท ทั้งที่เป็นเพราะมีลมมรสุมพัดเข้ามา แถมเตรียมของบประมาณเพิ่มเป็น 329 ล้านบาท ดันนโยบายต่อ!!  

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เร่งศึกษาตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 3 แสนล้านบาท ซื้อคืนทรัพย์สินเดินรถของเอกชน ผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สำหรับการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์การเดินรถในส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

เม็ดเงินที่จะใช้เพื่อตรึงราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า ก็น่าจะใช้งบประมาณอุดหนุนใส่กองทุนค่อนข้างมาก เอกชนหรือประชาชน จะสนใจการลงทุนนี้ไหม เพราะหากมีเพียงโครงการรถไฟฟ้า ภาพขาดทุนแทบจะชัดเจน เพราะกว่าที่จะเพิ่มยอดผู้โดยสารได้ถึงจุดคุ้มทุน ก็น่าจะอีกหลายปี 

แต่ละนโยบาย แต่ละโครงการ ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก คงได้แต่หวังว่า งบประมาณที่จัดเก็บภาษีในแต่ละปีจะเพียงพอ หวังว่าประชาชนผู้เสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล จะไม่ท้อไปซะก่อน 

คาสิโนถูกกฎหมาย สร้างรายได้ภาษี บนความล้มเหลวทางสังคม ดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ

(19 ม.ค. 68) รัฐบาลเดินเครื่องอนุมัติหลักการร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แผนพัฒนาเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย จะมีการเปิดใบอนุญาตในกรุงเทพฯ 2 แห่ง พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่

ประเทศไทย อาจอยู่คู่กับการพนันเสี่ยงโชคมาโดยตลอด ที่ถูกกฎหมายในปัจจุบัน มีเพียงแต่การลุ้นรางวัลลอตเตอรี่ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังคงมีการเสี่ยงโชคกับหวยใต้ดินมาอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้จะมีการออกสลาก N3 หรือ สลากตัวเลขสามหลัก เพื่อแก้ปัญหาการขายหวยใต้ดิน แต่ผลตอบรับในปัจจุบัน ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก 

มาครานี้ จะเป็นของใหญ่ อย่าง “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ ที่จะดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้การจัดเก็บภาษีให้รัฐ

สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รายได้ส่วนใหญ่ มาจากการรับจ้าง รับค่าแรงรายวัน หาเช้ากินค่ำ ซึ่งคนกลุ่มนี้ ก็นิยมเสี่ยงโชค ลุ้นเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตไปในแต่ละวันมากกว่า

หวยไม่ถูกกฎหมาย อย่างน้อย ก็ยังพอให้คนเล่น เล่นแบบเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ เล่นเยอะถูกรางวัล เจ้ามือไม่จ่าย คนเล่นชักดาบ ก็แจ้งความไม่ได้ ในมุมมองผู้เขียน ก็เหมือนเป็นการป้องกันการทุ่มเล่นจนหมดตัว

พอถูกกฎหมายแล้ว จะควบคุมคนเล่นอย่างไร ไม่ทำการทำงาน ไปอยู่แต่บ่อนถูกกฎหมาย เล่นเสีย ขอแก้มือ ทุ่มเล่นจนหมดตัว... คือสิ่งที่น่ากังวล

‘ไม่เคยมีใครรวยจากการพนัน’ คนรวย คงไม่พ้น เจ้ามือ หรือผู้ลงทุนในธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ซี่งก็คงไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ได้ไปถือหุ้นในธุรกิจนี้

‘คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น’ คำนี้ อาจจะถูกเพียงท่อนแรก เพราะตลาดหุ้นในปัจจุบัน ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นสภาวะเศรษฐกิจไทย ลองย้อนกลับไปดูได้ว่าช่วงปีใด ที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และในปัจจุบัน ถูกเทขายจนดัชนี SET ไทย ตกมาต่ำกว่าระดับ 1,350 มูลค่าหุ้นหลายๆ คน น่าจะหายไป 30-40% ยังไม่นับรวมผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ถูก Forced Sell (การบังคับขาย)  

อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็เริ่มได้เห็น ดันคาสิโนถูกกฎหมาย บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีการทุจริตเป็นหมื่นล้าน ผู้แทนประชาชนบางพรรคพยายามผลักดัน บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย สุราเสรี อาชีพ Sex worker ถูกกฎหมาย ตัดงบประมาณบรรเทาสาธารภัย เพิ่มงบใส่นโยบายประชานิยม โครงสร้างพื้นฐานเริ่มชะลอ สังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร... ไม่ขอลุ้นละกันครับ 

‘จีน’ ส่ง BYD ตีชนะ!! Tesla ‘เวียดนาม’ เดินหน้า พัฒนาอุตสาหกรรม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ ‘รัฐบาลไทย’ มุ่งสร้าง!! ฐานประชานิยม เน้นแค่หาเสียง เพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล

(5 ม.ค. 68) ข่าวส่งท้ายปี 2567 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะการเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากการเปิดเผยของ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง (24 ธ.ค.2567)

ซึ่งคงต้องมีการสรรหากันใหม่ คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม 2568

แรงกดดันจากฝ่ายการเมือง ที่จะเข้าไปแทรกแซงการกำหนดนโยบายทางการเงิน การคลัง รวมทั้งเงินสำรองระหว่างประเทศ ก็คงซาไปอีกระยะ จนกว่าจะมีการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหากันอีกครั้ง

และข่าวเริ่มต้นปีมะเส็ง 2568 กับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า บีวายดี (BYD) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก โดยในไตรมาส 4 ของปี 2024 บีวายดีแซงหน้าเทสลา (Tesla) เป็นครั้งที่สอง

จากรายงานระบุว่า บีวายดี ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ที่สุดของจีน ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (All-Electric Vehicles) จำนวน 207,734 คันในเดือนธันวาคม 2024 เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ในไตรมาส 4 ปี 2024 บีวายดีส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรวมประมาณ 595,000 คัน มากกว่าเทสลาที่ส่งมอบได้ 496,000 คัน แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นสถิติใหม่ของเทสลา แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 507,000 คัน

สำหรับยอดขายทั้งปี 2024 บีวายดีสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าได้รวม 1.768 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่เทสลามียอดขายรวม 1.79 ล้านคัน ลดลงประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023

ตามด้วยข่าว รัฐบาลเวียดนามเสนอเงินอุดหนุน 50% ของมูลค่าลงทุนให้กับโครงการวิจัยและพัฒนาหลักในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

โครงการที่มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนดังกล่าวซึ่งระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาที่ออกเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2024 จะต้องมีการลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านล้านดอง (4.07 พันล้านบาท), ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศนวัตกรรม (innovation ecosystem), ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำ และผู้พัฒนาโครงการจะต้องไม่มีภาษีค้างชำระหรือหนี้กับรัฐบาล โดยผู้พัฒนาโครงการจะต้องชำระทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอง (1.35 พันล้านบาท) ภายใน 3 ปีนับจากได้รับการอนุมัติการลงทุน

รัฐบาลเวียดนาม ยังคงเดินนโยบายด้านเศรษฐกิจ ดึงนักลงทุน และส่งเสริมการลงทุน ในส่วนโครงการเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อผลักดันการเติบโตของประเทศ ที่มั่นคง ยั่งยืน โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร การวิจัยและพัฒนา การลงทุนในสินทรัพย์ การผลิต และโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมาก

หันกลับมาดูการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย กลับเป็นนโยบายประชานิยม ที่แทบจะสร้างฐานสำหรับอนาคตของประเทศไม่ได้ ซ้ำยังส่งผลเสียต่อวินัยทางการเงินของประชาชนไปเรื่อยๆ เน้นแค่หาเสียงเพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลในสมัยต่อไป 

มารอดูกันต่อว่า ประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ที่มีอยู่ 4 ล้านกว่าคน ที่เหมือนต้องแบกการใช้จ่ายงบประมาณ ไปกับนโยบายประชานิยม จะทนต่อได้มากน้อยแค่ไหน หากคนกลุ่มนี้เริ่มส่งเสียง เก้าอี้รัฐบาล จะเริ่มสั่นคลอน ... สวัสดีปีใหม่ 2568 ครับ 

‘แพทองธาร’ แถลงผลงาน!! 90 วัน แคมเปญ 2568 เพื่อให้คนไทย ‘มีกิน - มีใช้’ ในสังคมที่เท่าเทียม!!

(22 ธ.ค. 67) นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประกาศความพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ‘ปีแห่งโอกาส’ หลังบริหารประเทศครบ 90 วัน พร้อมเปิดตัวแคมเปญ ‘2568 โอกาสไทย ทำได้จริง’ มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ผ่าน 5 นโยบายหลักและ 6 แผนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานประเทศในทศวรรษหน้า

ในการแถลงผลงานที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานภายใต้แนวคิด ‘ทุกคนคือทีมเดียวกัน’ โดยระบุว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การแก้หนี้ครัวเรือน การสร้างที่อยู่อาศัย การให้ทุนการศึกษา ไปจนถึงการลดค่าครองชีพและการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล เพื่อให้คนไทยทุกคน ‘มีกิน-มีใช้-มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี’ ในสังคมที่เท่าเทียม

อาจจะงงๆ กับการหยิบยกตัวเลขบางอย่างมานำเสนอ ในเรื่อง ตลาดเครื่องดื่มของไทย พวกซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำแร่ น้ำหวาน มีการส่งออก มากกว่าปีละ 7 หมื่นล้านบาท รัฐสามารถเก็บภาษีได้ แสนแปดหมื่นห้าพันล้านบาท ต่อปี 

รัฐบาลไทยเก่งมากในเรื่องการจัดเก็บภาษี ที่สามารถเก็บภาษี ได้มากกว่า มูลค่าส่งออก ถึง 2.5 เท่า !!!

ซึ่งก็เคยมีการหยิบยกคำให้สัมภาษณ์ บางประเด็น ที่เหมือนทีมงานเศรษฐกิจอาจไม่ได้จัดเตรียมข้อมูลให้ เลยทำให้การสื่อสาร มีผิดพลาด เช่น ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปัจจุบัน (24 ก.ย. 67) ว่า เรื่องของเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นในข้อเท็จจริงแล้วทำให้เกิดความกังวลในทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลเองเราสามารถทำได้ในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออก ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะใช้ข้อดีของค่าเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ให้ได้

การที่ค่าเงินบาทแข็ง คงไม่ได้ส่งผลดีต่อการส่งออกเป็นแน่ ถึงแม้จะมีการให้สัมภาษณ์ ในเวลาถัดมาแก้ประเด็นการสื่อสาร ที่อาจผิดพลาด แต่มันทำลายความน่าเชื่อถือต่อภาพการบริหารเศรษฐกิจ ของหัวเรือใหญ่ทีมรัฐบาล

สำหรับประเด็นในการแถลงผลงาน 90 วัน ก็มีการนำเสนอแผนงานในปี 2568 ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่พ้นนโยบายประชานิยม รัฐบาลเดินหน้า 5 นโยบายหลัก ‘ล้างหนี้ประชาชน-บ้านเพื่อคนไทย-ทุนการศึกษา-รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย-ดิจิทัลวอลเล็ต’

บ้านเพื่อคนไทย ทำให้นึกถึงภาพโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563 ลอยเข้ามาในหัว

ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 1 ที่แจกไปแล้วกว่า 1.45 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงพอประเมินได้

รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ลำพัง การชำระหนี้ ‘รถไฟฟ้าสายสีเขียว’ ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน โดยมีมูลค่าหนี้สินสูงระดับแสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นภาระหนี้สินทั้งในส่วนของค่าจ้างงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M Electrical and Mechanical) ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท

รวมถึงหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา (O&M Operation and Maintenance) แตะ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 จากการว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ก็เพิ่งเริ่มได้ชำระหนี้บางส่วนตามแผน และยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องอีก

ล้างหนี้ประชาชน การเสพติดนโยบายประชานิยม ย่อมส่งผลต่อวินัยทางการเงินของภาคประชาชน ซึ่งจะทำลายวินัยทางการคลังของประเทศ เป็นเหมือนฟองสบู่ที่ใกล้จะแตก ธนาคารแห่งประเทศไทย เอง ก็พยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การคลัง แต่ไม่รู้ว่าจะทานไว้ได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มมีเสียงจากฝั่งการเมือง เกี่ยวกับการจะนำเงินสำรองของประเทศ ออกมาใช้

วิกฤต ต้มยำกุ้ง ปี 2540 จะมาโผล่ ในปี 2568 อีกหรือไม่ ... ขอส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 ด้วยคำอวยพรว่า ‘ประชาชนเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกกันให้ดีๆ’ ระมัดระวังดูแลสถานะการเงินของตนเอง

สุขสันต์วันปีใหม่ ต้อนรับปีมะเส็ง 2568 ขอให้สุขภาพดีกันทุกท่านครับ

Vat 15% เศรษฐกิจถึงทางตัน หรือรัฐบาลถังแตก กระแสต่อต้านรุนแรง นายกฯ แจง!! แค่กำลังศึกษา

(7 ธ.ค. 67) เป็นเรื่อง !!! หลัง รมว.คลัง ขึ้นเวทีกล่าวถึงแผนงานเตรียมปรับโครงสร้างภาษี ขึ้นภาษี VAT 15% ลดอัตราภาษีนิติบุคคลเหลือ15% จาก 20% เพื่อดึงดูดนักลงทุน และแข่งขันกับชาวโลกได้ เพิ่มจัดเก็บรายได้เข้ารัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Sustainability Forum 2025 : Synergizing for Driving Business ว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เร่งพิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล

เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนในแวดวงเศรษฐกิจ และกระแสโจมตีจากประชาชนกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังคงซบเซา รอคอยพายุหมุนทางเศรษฐกิจทั้ง 4 ลูก มากระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงแม้เงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต (โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท) จะคลอดออกมาแล้วก็ตาม

คล้อยหลังไม่กี่วัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์กล่าวชี้แจงแนวความคิดการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาล ยืนยันไม่ปรับ VAT 15% กระทรวงการคลังกำลังศึกษาปรับโครงสร้างภาษีให้ครบทุกมิติ ฟังทุกภาคส่วน นโยบายของรัฐบาลมุ่งเน้นลดรายจ่ายประชาชน

สำทับด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาชี้แจงแนวคิดขึ้น ภาษี VAT จาก 7% เป็น 15% ยังไม่มีข้อสรุป กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยืนยันไม่ได้มาจากปัญหารัฐบาลถังแตก และไม่เกี่ยวกับการแจกเงินหมื่น เป็นแผนปรับภาษีเพื่อความยุติธรรม

เหมือนปล่อยลอยคอ รมว.คลัง ให้โดดเดี่ยวเดียวดายกลางทะเล...

หากมองย้อนกลับไปในอดีต สมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยประกาศนโยบายเตรียมขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม คล้าย ๆ กับการโยนหินถามทาง หยั่งกระแสจากประชาชน เมื่อส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ก็ยกเลิกนโยบายดังกล่าว

รวมทั้งสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีความคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1 % จาก 7% เป็น 8% กลับโดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากกลุ่มคนของรัฐบาลในปัจจุบัน ที่ก่นด่า และโจมตีมากที่สุด

แต่คราวนี้ เมื่อได้เป็นรัฐบาลเอง กลับมีแนวคิดจะปรับขึ้น 8% จาก 7% เป็น 15% มากกว่าเท่าตัวจากอัตราเดิม

บางทีคงต้องบอกว่า หากนโยบายยังไม่สะเด็ดน้ำ แนวทางยังไม่ชัดเจน การโยนหินถามทางแบบนี้ แทบจะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่น่าจะถึงทางตัน คำปราศรัยที่เคยหาเสียงช่วงก่อนเลือกตั้ง การกล่าวโจมตีรัฐบาลชุดที่ผ่านมา กลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง

ประชาชนคงต้องแบกภาระหนักกันต่อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ที่ต้องร่วมแบกหนี้ทางภาษีจากนโยบายประชานิยมของนักการเมือง ลากยาวไปอีกหลาย 10 ปี หนักหนาเอาการอยู่นะ รัฐบาลประชาธิปไตย

เศรษฐกิจไทย ช่วงปลายปี เลิกจ้างงาน เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ลุ้น!! ให้มีงานทำในปีหน้า ดีกว่า ลุ้น!! โบนัสที่จะได้

(24 พ.ย. 67) โค้งสุดท้าย ปลายปี 2567 กับภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย ที่ยังเข็นไม่ขึ้น ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ถึงแม้จะคลอดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ปี 2567) 10,000 บาท ออกมาได้ก็ตาม

เม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการนี้ เบิกจ่ายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 140,500 ล้านบาท แต่ผลสำรวจร้านค้าปลีก ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% !!!! 

พร้อมข่าวการปิดกิจการ เลิกจ้างแรงงานในไทย ที่ยังมีมาต่อเนื่อง วันที่ 22 พ.ย. สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า นิสสัน (Nissan) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น จะตัดลดพนักงานในโรงงานผลิตในไทยลงราว 1,000 คน หรือทำการโอนย้ายไปอีกแห่งในไทย เนื่องจากจะลดกำลังการผลิตลงในประเทศไทย 

บริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด จ.นครราชสีมา สำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นล้มละลาย ทำให้ บริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเครื่องรับวิทยุ เครื่องบันทึกและทำสำเนาเสียงและภาพ ต้องปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด โดยบริษัทมีลูกจ้างทั้งสิ้น 862 คน แบ่งเป็นเพศชาย 310 คน และหญิง 552 คน

ข้อมูลจาก ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ค่าเฉลี่ยยอดปิดโรงงานปี 66 เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 67 พบอัตราเร่งการปิดกิจการสูงกว่า 86% คาดปีนี้ เอสเอ็มอีทยอยปิดเหมือน 'ใบไม้ร่วง' ส่วนโรงงานไหนที่ยังพยุงไปต้องลดจำนวนทำงานเหลือ 3 วันต่อสัปดาห์ ไม่มีแม้แต่ OT

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเวที Forbes CEO เมื่อวันที่ 21 พ.ย. เพื่อโชว์วิสัยทัศน์ เชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศ มาลงทุนในประเทศไทย สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน ลองไปหาฟังกันดู

งาน Thailand International Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41 (มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29 พ.ย. 67 – 10 ธ.ค. 67 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 - 3 เมืองทองธานี วัดภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงท้าย กำลังซื้อจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางสงครามรถ EV ที่หั่นราคา อัดโปรโมชั่น กระตุ้นยอดจอง รถสันดาป จะยอมแพ้หรือไม่ ค่ายแบรนด์จีน ญี่ปุ่น เกาหลี วัดอนาคตกันในศึกนี้ ท่ามกลางราคารถยนต์มือสองที่ตกลงอย่างน่าใจหาย ยอดปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) สินเชื่อรถยนต์ เพิ่มขึ้นตามภาระหนี้ครัวเรือนของคนไทย ที่ยังอยู่ในระดับสูง

หนี้ครัวเรือนไทยยังสูง 16.32 ล้านล้านบาท การฟื้นตัวเศรษฐกิจแทบไม่ขยับ ข้อมูลจากเครดิตบูโร ภาวะหนี้เสียเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์ แตะ 1.2 ล้านล้านบาท สัดส่วนวิ่งจาก 7.7% สู่ 8.8% ด้านสินเชื่อแบงก์หดตัว 2 ไตรมาสติด เหตุเข้มปล่อยกู้ กังวลระดับหนี้เพิ่ม แถมคุณภาพสินเชื่อเสื่อมด้อยลง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แล้ว และเตรียมมาตรการแก้ไขหนี้ครัวเรือน ที่ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ที่เป็นเชิงรุกมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากขึ้น

เดือนสุดท้าย ปี 2567 คนไทยเรา ก็คงต้องร่วมเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2568 พร้อมกับลุ้นให้คอยฟังข่าว ว่าจะมีโรงงาน บริษัทฯ ไหนบ้างที่จะปิดกิจการ หลังปีใหม่ ยังจะมีงานทำต่อไหม ส่วนเรื่องโบนัส คงไม่น่าลุ้นแล้วล่ะ ให้มีงานทำต่อ ก็พอแล้ว

‘ภาวะเศรษฐกิจไทย’ เร่งไม่ขึ้น รอลุ้นโค้งสุดท้ายปลายปี หลังพายุหมุนทางเศรษฐกิจยังไม่ก่อตัว แม้อัดฉีดแล้ว 1.4 แสนล้าน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนตุลาคม ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน และอยู่สูงกว่าระดับ 50 ทั้งความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG) การใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per bill) และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) รวมทั้งความเชื่อมั่นฯ ปรับดีขึ้นในทุกประเภทร้านค้าและทุกภูมิภาค โดยส่วนหนึ่งจากผลงานของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ปี 2567) 10,000 บาท สำหรับความเชื่อมั่นฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเป็นสำคัญ 

ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้สำรวจ โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ปี 2567) 10,000 บาท ราว 60% ของธุรกิจค้าปลีก ประเมินว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ นี้ ส่งผลให้ยอดขายปรับเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% เมื่อเทียบกับช่วงปกติที่ไม่มีมาตรการ และมีถึง 41% ที่ตอบแบบสำรวจว่า ยอดขายใกล้เคียงเดิม

ยอดสะสมของการโอนเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่วันที่ 25-30 กันยายน 2567 สั่งจ่ายเงิน 14.44 ล้านคน โอนสำเร็จแล้วรวมทั้งสิ้น 14.05 ล้านคน และการโอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 381,287 คน โดยจะมีรอบการโอนเงินซ้ำให้กลุ่มที่โอนไม่สำเร็จ 22 ตุลาคม , 22 พฤศจิกายน และ 22 ธันวาคม 2567

หากเทียบเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการนี้ เบิกจ่ายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 140,500 ล้านบาท แต่ผลสำรวจร้านค้าปลีก ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% !!!!

พายุหมุนทางเศรษฐกิจ จะเริ่มเมื่อไหร่? คงรอกิจกรรมส่งเสริมการขายช่วงท้ายปี จากผู้ค้าปลีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง การจำหน่ายวัสดุก่อสร้างก็ลดลงเป็นเงาตามตัว ซึ่งส่วนสำคัญคือ สินเชื่อบ้านในทุกระดับราคา ยังคงถูกสถาบันการเงินปฏิเสธการให้สินเชื่อ 

ภาวะเศรษฐกิจไทย คงยังเร่งไม่ขึ้น ได้กระแสข่าวทางหน้าสื่อส่วนใหญ่ ไปกับข่าวทนายตั้ม กลบประเด็นทางเศรษฐกิจไปหมด ทั้งข่าวโรงงานผลิตรถยนต์ทยอยลดเวลางาน เพื่อลดต้นทุนค่าจ้าง ลามไปถึงโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังเป็นกระแส ผู้คนสนใจรถประหยัดพลังงาน ยังเร่งยอดขายไม่ขึ้น เลิกจ้างพนักงานไปอีก 600 คน ที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา 

มารอดูกันว่า ปลายปีนี้ รัฐบาลจะงัดใช้มาตรการอะไร มาส่งท้ายในการใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่คงไม่กระเตื้องมากขึ้นนัก กับเวลาที่เหลือไม่ถึง 2 เดือน ลุ้นกันดีกว่า ว่า ภาคเอกชน จะมีโปรโมชั่นอะไรมาจูงใจให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งท้าย...ปี มังกรทอง

Reference : ธนาคารแห่งประเทศไทย :
https://www.facebook.com/share/p/1DGYmhUHxK/

ขายตรง - แชร์ลูกโซ่ ขายภาพลักษณ์หรู ชีวิตสบาย หายนะ!! เศรษฐกิจไทย มีแต่หนี้ ที่ไร้อนาคต

(27 ต.ค. 67) แชร์ลูกโซ่ ? The ICON Group ที่เหล่าบรรดา บอส-แม่ทีม กำลังถูกจับกุมดำเนินคดี และเป็นกระแสทุกหน้าสื่อในขณะนี้ มูลค่าความเสียหาย ยังสรุปตัวเลขที่ชัดเจนไม่ได้ ยอดรวมผู้เสียหายที่เข้ามาให้ปากคำแล้ว 8,137 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 2,412 ล้านบาท แต่คาดการณ์ว่าน่าจะแตะหลักหมื่นล้านบาท หรือสูงกว่านี้

ความเสียหายจาก หลอกลวงลงทุนของบริษัท ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ ส่งผลให้มีการขยายผล สืบค้นข้อมูลบริษัทต่างๆ ที่ลักษณะการดำเนินธุรกิจคล้ายคลึงกัน กระทบกับธุรกิจขายตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ธุรกิจขายตรงในปี 2566 มีมูลค่า 60,000 ล้านบาท ยังคงซบเซา ดูได้จากยอดขายของบริษัทส่วนใหญ่ที่ยังคงมียอดขายที่การเติบโตที่ติดลบอยู่ ส่วนกำไรนั้นก็ลดลงจากปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบกับสภาพเศรษฐกิจมาถึงปัจจุบัน 

ธุรกิจที่เน้นขายภาพลักษณ์ หน้าตา ความหรูหรา ผลตอบแทนที่สูง เพื่อชักชวนคนมาร่วมลงทุนธุรกิจ ซึ่งเราแทบไม่รู้จักสินค้าที่บริษัทแห่งนี้นำมาขาย นอกจากการจัดเวทีการแสดง พร้อมเหล่าบรรดา ดารา นักร้อง สลับกันขึ้นเวที บอกเล่า ถึงการใช้ชีวิตสุดหรู ท่องเที่ยวต่างประเทศ อาหารมื้อหลักหมื่น กระเป๋าแบรนด์เนมใบละแสน

ความเสียหายที่เกิดขึ้น กระทบเป็นวงกว้าง ผู้ร่วมลงทุน ย่อมสูญเงินไปกับภาพฝันชีวิตที่แสนสบาย หลายๆราย ทั้งกู้หนี้ ยืมสิน มาลงทุน โดยคาดหวังผลตอบแทนที่จะตามมา ตอนนี้...กลับมาสู่ภาพจริง ที่มองไม่เห็นอนาคต พร้อมแบกภาระหนี้ที่มี การเงินขาดสภาพคล่อง เงินดิจิทัล ก็คงช่วยไม่ได้

สัญญาณหนี้เสีย-หนี้ค้างชำระ ยังคงพุ่งไม่หยุด ฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ภาพรวมของกลุ่มธนาคารใหญ่ในประเทศไทย ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ก็ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเติบโตไม่ได้ตามที่คาดหวัง 7 ธนาคาร จาก 9 ธนาคารใหญ่ NPL ล้วนปรับเพิ่มขึ้น

ยอดปฏิเสธสินเชื่อบ้าน-รถ เพิ่มขึ้นทุกเซ็กเมนต์ บ้านต่ำ 3 ล้านบาททะลุ 70% บ้านระดับ 5 ล้าน อนุมัติเงินกู้แค่ 50% ขณะที่เช่าซื้อยอดวูบทั้งรถใหม่-รถเก่า ร้องขอมาตรการอสังหาฯ เพื่อช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการอนุมัติสินเชื่อ เพราะลูกค้ายังคงไม่มีศักยภาพชำระหนี้ 

ผู้ประกอบการรายใหญ่ อาจจะพอเห็นแสงรำไร จากมติ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ธนาคารทุกแห่งประกาศ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง มีผลตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป คงจะพอช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่รายเล็กๆ ที่ใช้สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ก็ยังคงต้องแบกดอกเบี้ยกันต่อ

ภาพฝัน งานสบาย รายได้ดี ไม่เคยมีอยู่จริง หากมีช่องทางที่สร้างรายได้ไม่จำกัด ลงทุนได้ผลตอบแทนสูง เขาคงเก็บเงียบไม่มาบอกหรอก เก็บเป็นความลับ สร้างความรวยให้ตัวเอง ไม่ดีกว่าเหรอ? การทำงานหารายได้ ทุกอย่างล้วนต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย หยุดเอาภาพลักษณ์ หน้าตา มาเป็นเครื่องวัดความสำเร็จ กันซะที

การเมืองรุกคืบ!! เข้าแทรกแซง ‘ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ หลายฝ่ายหวั่น เศรษฐกิจพัง กลับสู่ฝันร้าย ‘ยุคต้มยำกุ้ง’

(13 ต.ค. 67) หลัง นายปรเมธี วิมลศิริ อดีตประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หมดวาระเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2567 เป็นจุดเริ่มต้นในการสรรหา ‘ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ คนใหม่ แทนที่ ซึ่งได้มีการเริ่มขั้นตอนการดำเนินงานมากว่า 3 เดือน

กระทรวงการคลังได้มีการแต่งตั้งกรรมการสรรหาฯ นำโดย นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน โดยกรรมการมีการนัดประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง ล่าสุดมีการประชุมไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2567 ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปในการคัดเลือกผู้เป็นประธาน และกรรมการในบอร์ดแบงก์ชาติ

ข้อกำหนดในเรื่องของการเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเข้ามารับตำแหน่งประธาน และกรรมการในบอร์ด ธปท.จะกำหนดให้เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสม จาก 2 หน่วยงาน โดย ธปท.จะเสนอชื่อได้ 2 เท่าของกรรมการที่หมดวาระ และกระทรวงการคลังเสนอชื่อได้ 1 เท่า

สำหรับการสรรหาในครั้งนี้มีการเสนอชื่อประธานและกรรมการจาก ธปท. 6 รายชื่อ ประกอบไปด้วยประธาน 2 รายชื่อ และกรรมการ 4 รายชื่อ ส่วนกระทรวงการคลัง สามารถเสนอชื่อได้ 1 เท่าของผู้ที่หมดวาะระ

กระทรวงการคลังได้เสนอรายชื่อครบโควตา ส่วน ธปท.เสนอกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพียง 2 คน จากโควตาที่เสนอได้ 4 คน

ที่ผ่านมารัฐบาลได้แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ประเด็นหลัก ทั้งในเรื่องการไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย และการคัดค้านนโยบายการแจกเงิน 1 หมื่นบาท 

“มีการคาดหมายว่ารัฐบาลจะส่งคนของตนเข้าไปเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ก็คงไม่พ้นที่จะใช้ ธปท.เป็นเครื่องมือในการสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหากภาพนี้เกิดขึ้น หายนะของเศรษฐกิจไทยก็จะตามมาอย่างแน่นอน เหมือนที่เราเห็นในต่างประเทศที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงในธนาคารกลาง” นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเสนอความคิดเห็นไว้

ระเบียบข้อบังคับในการสรรหาประธานกรรมการ หรือกรรมการ ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีเจตนารมณ์ ป้องกันความเสี่ยงของการที่กรรมการสรรหาจะถูกแทรกแซงจากทางการเมือง กำหนดคุณสมบัติ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ‘เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะพ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี’ เพื่อจะได้สรรหากรรมการที่ปลอดภัยจากการถูกแทรกแซง

สำหรับรายชื่อที่มีการเสนอให้เป็นประธานคณะกรรมการ ธปท.คนใหม่ จำนวน 3 รายชื่อ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง เสนอชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ส่วนอีก 2 ชื่อที่เสนอจาก ธปท.มี 2 คน ได้แก่ นายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน และนายสุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรรมการอิสระ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2567 หลังการประชุมคณะกรรมการสรรหาประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย นางวิเรขา สันตะพันธุ์ เลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายเลขานุการฯ มีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนสำหรับการพิจารณาของที่ประชุม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอขยายระยะเวลาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกมีความรอบคอบที่สุด และจะรวบรวมกลับมานำเสนอคณะกรรมการคัดเลือกฯ โดยเร็ว แต่ยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน 

โดยมีรายงานในการประชุม มีมติเคาะเลือก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ถึงการนำบุคคลที่เกี่ยวโยงการเมือง เข้ามาแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติ จากการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่

แม้คณะกรรมการสรรหาฯ ยังไม่ประกาศผลการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ แต่การออกมาแสดงพลังคัดค้าน อาจตอกย้ำถึง ความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้ได้รับการคัดเลือก

เมื่อหลายฝ่ายพยายามส่งเสียง แสดงการคัดค้าน ที่การเมืองจะเข้ามาแทรกแซงองค์กรของรัฐ ที่ทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ฝั่งการเมืองจะยอมถอยหรือไม่..? และหากเข้ามากำกับ ควบคุมดูแลการทำหน้าที่ ของ ธปท. ได้สำเร็จ ภาพวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 40 ของไทย กลับเริ่มลอยเข้ามาในหัว ขอให้เป็นเพียงแค่ฝันร้าย ละกัน 

โจทย์หนักรัฐบาล!! สินเชื่อบ้านไม่ขยับ แต่วิกฤตแรงงานขยับเอาๆ ฟากโรงพยาบาลเอกชนขาดทุน แห่ขอถอนตัวประกันสังคม

>> สินเชื่อบ้านโตต่ำที่สุดในรอบ 23 ปี จากปัญหารายได้และภาระหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง!!

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ยอดคงค้างสินเชื่อบ้านที่ปล่อยโดยธนาคารพาณิชย์จะขยายตัวไม่เกิน 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตรายปีของสินเชื่อบ้านระบบธนาคารที่ต่ำที่สุดในรอบ 23 ปี เนื่องจากปัญหาด้านรายได้และภาระหนี้สินสูง ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหญ่ของครัวเรือน โดยเฉพาะตลาดใหม่อย่างเช่นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มจากหนี้ก้อนเล็ก ๆ และหนี้รถ จนทำให้โอกาสการก่อหนี้บ้านลดลง

การชะลอลงของยอดคงค้างสินเชื่อบ้านดังกล่าว เป็นผลจากฝั่งธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก ซึ่งครองส่วนแบ่งประมาณ 55-56% ของตลาดสินเชื่อบ้านทั้งหมด โดยตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา สินเชื่อบ้านระบบธนาคารพาณิชย์เติบโต 0.8% ในไตรมาส 2 ปี 2567 ชะลอลงจาก 1% ในไตรมาส 1 ปี 2567

>> คุณภาพหนี้อาจเป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้น 

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า สัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) สินเชื่อบ้านของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอาจเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 3.90% ของสินเชื่อรวม เทียบกับ 3.71% ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งรวมถึง NPLs ในบ้านระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ที่เริ่มขยับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 รวมไปถึงหนี้ในกลุ่มบ้านระดับราคา 10-50 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

>> รพ.เอกชน จ่อออกจากประกันสังคม หลังโดนตัดงบลง 40% ทำให้ขาดทุน

สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งต้องถอนตัวจากการเป็นคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) หลังจากที่ถูกปรับลดงบค่ารักษาในกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงลงถึง 40% โดยลดลงจาก 12,000 บาทต่อหน่วย Adjusted RW เหลือเพียง 7,200 บาทต่อหน่วย 

นอกจากนี้ ยังไม่ได้มีการปรับค่าตอบแทนมาเป็นเวลากว่า 5 ปี ทำให้มีผลกระทบโดยตรงต่อโรงพยาบาลเอกชน และผู้ประกันตน ทำให้โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับประกันสังคมต้องเผชิญกับภาระขาดทุน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้จ่ายไปล่วงหน้าแล้ว รวมถึงภาษีที่ต้องจ่ายตามประมาณการรายได้ ทำให้การปรับลดงบประมาณนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการเงินของโรงพยาบาล

แม้ในปี 2565 สำนักงานประกันสังคมจะปรับเพิ่มค่าหัวเหมาจ่ายจาก 1,640 บาท เป็น 1,808 บาท แต่สำหรับกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงและโรคเรื้อรังกลับไม่มีการปรับเพิ่มค่าตอบแทนมาเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งส่งผลให้จำนวนโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมกับระบบประกันสังคมลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ล่าสุดมีโรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง ได้แก่ รพ.ยันฮี, รพ.เกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ และรพ.ศรีระยอง เตรียมออกจากระบบประกันสังคม มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมนี้

กลุ่มแรงงาน ที่ยังต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ก็คงต้องรอโอกาสต่อไป การเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคม คงต้องคิดหนักมากขึ้น จากสถานพยาบาลที่ลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้บริการ ขออย่าให้ถึงกับมีเหตุที่ โรงพยาบาลรัฐ แบกรับการขาดทุนไม่ไหว จนต้องถอนตัวจากประกันสังคม เลย ...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top