Sunday, 28 April 2024
LITE TEAM

ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป ส่งผลร้ายอย่างไร?

"อีกขวดน่า!" มีใครเคยพูดกับตัวเองทำนองนี้ ขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังบ้างไหม?

แถมสุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดตู้คว้ามา 1 ขวดจนได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนี้ทั้งวัน ซัดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปแล้ว 3 ขวด!!!

จากที่เคยได้ยินโฆษณาทางทีวีที่บอกว่า "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด" แต่ในชีวิตจริง คือดื่มไปเรื่อย โดยเฉพาะเมื่อไรที่รู้สึกเพลีย ง่วง ซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องมายืนอยู่หน้าตู้แช่แบบนี้ทุกทีไป

หน้าที่หลักของ "เครื่องดื่มบำรุงกำลัง" นั้น ทำให้สมองตื่นตัว เพิ่มพลังงาน เนื่องจากมีน้ำตาล และผสมสารคาเฟอีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง แต่อะไรที่กิน หรือเสพมากจนเกินไป ก็มักจะตามมาด้วยผลข้างเคียง เหมือนดังเช่น ‘คาเฟอีน’ ที่เมื่อได้รับมากจนเกินไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ดูจะไม่เป็นมิตรต่อร่างกายสักเท่าไรเลย

ร่างกายเราสามารถรับคาเฟอีนได้แค่ไหน

โดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องบำรุงกำลังมักจะผสมคาเฟอีนต่อขวดอยู่ที่ 80 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากาแฟ 1 แก้ว) แต่จากผลการศึกษาของหน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ American Academy of Pediatrics (APP) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขปริมาณคาเฟอีนที่เห็นบนฉลากข้างขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ได้ว่า มีปริมาณคาเฟอีนจริง ๆ อยู่เท่าไรกันแน่

 

 

หากได้รับคาเฟอีนมากไป...จะมีผลเสียอย่างไร

การดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ หรือมากกว่า 2 ขวดขึ้นไป อาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกิน จนมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ อาการในระดับเบาที่มักจะเกิดขึ้น คือ รู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ กระหายน้ำ ปวดหัว นอนไม่กลับ หงุดหงิดง่าย อาการเหล่านี้สามารถเป็นแล้วหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากได้รับคาเฟอีนมากเกินขนาดหนัก อาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น หายใจลำบาก อาเจียน เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก รวมทั้งมีอาการชัก

 

 

คาเฟอีนกับผลร้ายในวัยรุ่น

หน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ หรือ APP ยังมีรายงานถึงผลข้างเคียงที่ได้รับจากการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กหรือวัยรุ่น อาจทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีนขึ้นได้ มากไปกว่านั้น การได้รับคาเฟอีนอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเต้นผิดจังหวะ มีผลต่อความดันโลหิตที่สูงขึ้น รวมทั้งความเข้มของเลือดที่มากขึ้น ไม่นับรวมภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เนื่องจากในเครื่องดื่มบำรุงกำลังมีน้ำตาลผสมอยู่ในปริมาณมากเช่นกัน

 

ทั้งนี้ปริมาณของคาเฟอีนที่เหมาะสำหรับวัยรุ่น คือไม่ควรเกินวันละ 100 มิลลิกรัม แต่หากเลี่ยงได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะไม่ส่งผลดีใดๆ ในระยะยาว เอาเป็นว่า ถ้าง่วง เพลีย ซึมเซา หรือต้องใช้พลังงานอ่านหนังสือ หรือต้องทำงาน ลองปรับพฤติกรรมตัวเองดูดีกว่า หากอ่านหนังสือดึกๆ ไม่ไหว ก็สู้เข้านอนเร็ว แล้วรีบตื่นมาอ่านช่วงเช้า ๆ เผลอๆ หัวสมองจะแจ่มใส่กว่าเป็นไหน ๆ ส่วนคนที่ต้องทำงาน มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ลองหาชาอุ่น ๆ จิบเบา ๆ ให้ร่างกายตื่นตัว เอาจริง ๆ ดื่มน้ำเปล่าก็ช่วยได้นะ ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

เก็บเครื่องดื่มบำรุงกำลังเอาไว้เป็น "ตัวช่วยสุดท้าย" ถนอมร่างกายตัวเองกันใว้ยาวๆ ดีกว่านะ


อ้างอิง:

https://www.thelist.com/164290/what-happens-when-you-drink-too-many-energy-drinks/

https://hellokhunmor.com

https://www.pobpad.com  

 

 

8 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ครบรอบวันเกิด ธงไชย แมคอินไตย์ 62 ปี

หนึ่งในศิลปินเมืองไทยที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน และยังคงครองตำแหน่ง ‘ซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่ง’ ของเมืองไทยมาได้หลายพ.ศ. ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีๆ ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ยังเป็น ‘พี่เบิร์ด’ของทุกคนอยู่เสมอ

 

ธงไชย แมคอินไตย์ เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2501 หรือวันนี้เมื่อ 62 ปีที่แล้ว กรุณาอย่าเอามือทาบอก-แสดงอาการตกใจ แม้วัยจะเขยิบมาถึง 62 ปี แต่พี่เบิร์ดของทุกๆ คน ก็ยังเต็มไปด้วยพลัง ยังร้อง เล่น เต้น โชว์ สร้างสีสันให้คนไทยได้แบบสบายสบาย

 

จากพนักงานธนาคารย่านท่าพระเมื่อกว่า 40 ปีก่อน วันหนึ่ง ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการเป็นนักแสดงสมทบ ก่อนจะเดินหน้าไปประกวดร้องเพลงในเวทีสยามกลการ แล้วคว้ารางวัลนักร้องยอดเยี่ยมมาครอง กระทั่งในปี พ.ศ. 2529 เขาก็ได้ออกอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองครั้งแรกในชื่อชุด ‘หาดทราย สายลม สองเรา’ และประสบความสำเร็จอย่างมาก

 

จากวันนั้นถึงวันนี้ ธงไชยมีอัลบั้มเพลงออกมาชนิดนับไม่ถ้วน พร้อมกับมีโชว์คอนเสิร์ตอีกมากมาย มากที่สุดที่ศิลปินไทยสักคนหนึ่งจะเคยมี ไม่นับรางวัลต่างๆ ที่ได้รับมาแบบนับไม่ถ้วนเช่นกัน ความยิ่งใหญ่เหล่านี้ส่งให้ชื่อของผู้ชายคนนี้ กลายเป็น ‘ดาวค้างฟ้า’ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ชื่อ ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ยังคงอยู่ในความนึกคิดของแฟนๆ ชาวไทยเสมอ

 

วันนี้วันเกิด ‘พี่เบิร์ด’ ทางเราก็ขออวยพรให้ผู้ชายมากความสามารถคนนี้ มีความสุขแบบล้นๆ ตลอดไป HBD ซุป'ตาร์ของพวกเรา

 

 

เก็บตก 20 เรื่อง ซีรี่ส์แห่งปี START-UP

จบไปแบบยังไม่แห้งดี (จบแบบหมาดๆ) สำหรับซีรี่ส์เกาหลีส่งท้ายปี START-UP

 

เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่ซีรี่ส์ส่งท้ายปีเท่านั้นนะ ยังเป็นซีรี่ส์เกาหลีแห่งปี 2020 อีกด้วย เหตุที่ต้องยกตำแหน่งนี้ให้อย่างไม่เป็นทางการ เพราะทันทีที่ซีรี่ส์ดังกล่าวถูกปล่อยสตรีมมิ่งลง Netflix เรตติ้งก็ดีเว่อร์ กระแสความคลั่งไคล้ในเรื่องราวและเหล่าตัวละครก็พรึ่บพรั่บมาแรงแซงทุกเรื่องแบบไม่เห็นฝุ่น

 

แรกทีเดียว ฟังแค่ชื่อ START-UP คงพอเดาได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวธุรกิจยุคใหม่ การแข่งขันทางเทคโนโลยี แต่ซีรี่ส์เรื่องนี้ทำได้ดีกว่านั้นมากกกกก! ทั้งผูกเรื่องราวได้น่าสนใจ ตัวละครแทบทุกตัวมีมิติ และสะท้อนโลกของคนรุ่นใหม่ (ในแบบเกาหลีใต้) ได้อย่างน่าสนใจ

 

เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่เคยดู สามารถตามดูย้อนหลังได้แบบรวดเดียวจบได้เลย นี่เป็นข้อดีของการดูซีรี่ส์ยุคสตรีมมิ่งออนไลน์ แต่สำหรับใครที่ยังไม่เชื่อกระแสการตลาดแบบปากต่อปาก ประมาณว่า บอกว่าดี ดี ดี กันปากต่อปาก จนสุดท้ายก็ต้องเข้าไปดู เอาอย่างนี้แล้วกัน เรามี 20 เรื่องราวของซีรี่ส์นี้ ให้คุณได้ลองอ่านดูก่อน

 

ไม่ต้องกลัวว่าเราจะบอกเรื่องย่อ หรือไคลแมกซ์ของเรื่องหรอกนะ แต่เป็นการจับเอา ‘คุณค่า’ ที่ได้จากซีรี่ส์เรื่องนี้ เรียกว่าเป็นคุณงามความดี ที่ไม่ได้ดีแค่นางเอกสวย พระเอกหล่ออย่างเดียว ลองตามไปอ่านดูกัน

 

1 ซี่รี่ส์ START-UP แม้ชื่อจะฟังดูร่วมสมัย เป็นเรื่องของคนยุคใหม่ แต่ภาพหลังของเรื่องราวทั้งหมด คือความรัก ความผูกพันของคนในครอบครัว จากต้นเรื่องที่ดูเหมือนครอบครัวตัวละครต่างแตกแยก แต่ท้ายที่สุด ความรักและความผูกพันก็ทำให้พวกเขากลับมาพร้อมหน้ากันในที่สุด

 

2 ซีรี่ส์พยายามจะบอกว่า ไม่ว่าคนกลุ่มไหนก็สามารถเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จได้ สะท้อนได้จากกลุ่มตัวละครในบริษัท ซัมซานเทค ที่ประกอบไปด้วย นัมโดซาน คิมซงซาน และอีชอลซาน แม้แรกเริ่มพวกเขาจะอยู่ในบริษัทอันซอมซ่อ แถมแต่ละคนยังพูดจาไม่รู้เรื่อง ดูเป็น underdog มากๆ แต่ด้วยความกล้า ลุย อดทน และมีความแตกต่าง สุดท้ายพวกเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้

 

 

3 หลายๆ ฉากของซีรี่ส์เรื่องนี้ สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่า Startup ในโลกที่คนอยากทำ Startup ต้องเจอ นั่นคือ ต้องอึด ถึก ทน กินอยู่ หลับนอน และทำงาน อยู่ในออฟฟิศนั่นล่ะ

 

4 ซีรี่ส์นี้ยังบอกอีกด้วยว่า ถ้าคิดจะทำธุรกิจ Startup ก็อย่าได้กลัวความล้มเหลว ดังสัญลักษณ์ของอาณาจักร Sand Box ในเรื่อง (ทำหน้าที่คล้ายๆ Silicon Valley ในโลกสตาร์ตอัพจริง) ที่ใช้ภาพเด็กผู้หญิงกำลังแกว่งไกวชิงช้า โดยมีที่มาจากการที่ตัวละครหนึ่งเคยนำทรายไปถมเพื่อให้ลูกเล่นชิงช้า พร้อมกับสะท้อนการทำธุรกิจว่าเหมือนกับการเล่นชิงช้านั้น อย่ากลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆ ถ้าพลาด หรือตกลงมา ก็ยังมีพื้นทรายที่รองรับ มันก็แค่เจ็บ แต่ไม่ถึงกับตาย จงกล้าที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา

 

 

5 ซีรี่ส์นี้เหมือนจะเป็นซีรี่ส์ของคนรุ่นใหม่ แต่ตัวละครสำคัญของเรื่องล้วนผูกไว้กับ ‘คนรุ่นก่อน’ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับ ‘คุณย่าชเววอนด็อก’ ซึ่งเป็นคุณย่าของนางเอก เธอเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของเด็กๆ ทุกคนในเรื่อง แถมยังมีประโยคคำสอนมากมาย สุดท้ายซีรี่ส์นี้กำลังจะบอกว่า โลกนี้ล้วนอยู่ได้ด้วยความเก่าและใหม่ ที่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของกันและกัน เพียงแต่ต้องผสานให้เป็นหนึ่งเดียว

 

6 คุณงามความดีของซีรี่ส์นี้อีกประการ ตัวละครรุ่นใหม่พยายามสร้างธุรกิจใหม่ๆ ก็จริง แต่สุดท้ายพวกเขาไม่ได้สร้างเพื่อต้องการ ‘ความร่ำรวย’ หากแต่สร้างเพื่อ ‘ประโยชน์’ ให้กับผู้คน สะท้อนได้จากกลุ่มบริษัทซัมซานเทคที่พยายามทำแอปฯ ที่ชื่อ นันกิล เพื่อไว้ใช้นำทาง และบอกข้อมูลต่างๆ ให้กับคนพิการทางสายตา

 

 

7 ‘ความรวย’ ไม่ใช่คำตอบสำหรับซีรี่ส์เรื่องนี้ หลากหลายตัวละครที่อยู่บนฐานะที่ร่ำรวย อาทิ ชาอาฮยอน (แม่ของนางเอก) หรือ วอนอินแจ (พี่สาวนางเอก) แรกเริ่มเดิมที ทั้งสองคนต่างอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น จึงแยกครอบครัวไปอยู่กับพ่อเลี้ยงคนใหม่ แต่สุดท้าย เงิน ก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิต หากแต่คือความเป็นตัวของตัวเอง และการได้พิสูจน์ความสามารถที่แท้ของตัวเองต่างหาก

 

8 ซอดัลมี คือนางเอกของเรื่อง เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิงในโลกนี้ที่ไม่ได้สวยที่สุด เก่งที่สุด แถมครอบครัวก็ไม่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่ปลุกเร้าให้เธอต้องก้าวขึ้นมาพิสูจน์ตัวเอง เพราะการจากไปของพ่อ และอยากให้ย่าเลิกขายฮอตด็อก และสุดท้าย อย่าเพิ่งตัดสินว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง จนกว่าเขาจะได้รับโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง

 

 

9 ในมุมกลับกัน นัมโดซาน พระเอกของเรื่อง มีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อและแม่ต่างเป็นห่วงในอนาคตของเขา แม้จะไม่ชอบใจในสิ่งที่ลูกชายทำก็ตามที (ก่อตั้งบริษัทซอมซ่อที่ชื่อ ซัมซานเทค) แต่พวกเขาก็เหมือนลมใต้ปีก ที่คอยอุ้มและส่งแรงให้ลูกชายได้บินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้สำเร็จ

 

 

10 มาสู่เรื่องเบาๆ กันบ้าง ซีรี่ส์เรื่องนี้ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นซีรี่ส์เกาหลีอยู่เช่นเดิม กล่าวคือ ต้องมีฉากกินข้าวร่วมกันของครอบครัว (ที่แทบทุกเรื่องต้องมี) และต้องเห็นมื้ออาหาร เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็น Soft Power ทางวัฒนธรรมเบาๆ ที่แฝงมาจนทำให้เรา (คนดู) อยากกินตามบ้าง

 

11 ไม่ใช่แค่มื้ออาหาร แต่ร้านอาหาร และร้านร่ำสุรา ก็ต้องมี แน่นอน เครื่องดื่ม ‘โซจู’ ต้องมาเช่นเคย นี่ก็ Soft Power อีกหนึ่งอย่างที่ประสบความสำเร็จเอามากๆ ทุกวันนี้ร้านสะดวกซื้อในเมืองไทย มีโซจูขายเพียบเลย

 

12 นอกจากรถแบรนด์หรูจากประเทศเยอรมัน ที่เป็นสปอนเซอร์ให้กับรถยนต์ทุกคันของตัวละครในเรื่อง ซีรี่ส์เรื่องนี้ยังแอบไทอิน หรือมีแอดเวอเทอเรียลแบบเนียนๆ อยู่เป็นระยะๆ (โดยเฉพาะฉากแต่งหน้าของนางเอก) หากไม่สังเกตแบบจ้องจับผิด ก็อาจจะดูไม่ออก ต้องยกความสามารถนี้ให้กับฝ่ายคิดและถ่ายทำ ซึ่งซีรี่ส์เกาหลีนั้น ‘ขายโฆษณาแฝง’ แทบทุกเรื่อง แต่ดูเพลินจนแยกไม่ออกจริงๆ

 

13 อีกหนึ่งคุณงามความดี คือเสื้อผ้าหน้าผมของทุกตัวละคร ดูลงตัว ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่ฉูดฉาดเหมือนซีรี่ส์เกาหลีบางเรื่อง เสื้อผ้าที่ตัวละครสวมใส่ล้วนใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน แถมบางชิ้นเห็นมากๆ เข้าก็อยากจะไปส่องตามร้านในเมืองไทยว่ามีขายหรือยัง ภาพรวมเป็นการสไตลิ่งที่สมจริงกับความเป็นคนรุ่นใหม่ในสายงานสตาร์ตอัพ ดูจับต้องได้ และน่าจับต้องอีกด้วย

 

 

14 เห็นว่าเป็นซีรี่ส์แนวธุรกิจโลกยุคใหม่ก็ตาม แต่ยังคงความเป็นสไตล์เกาหลี โดยเฉพาะเรื่องการสร้างปมตัวละครอันสุดเฉียบ ยกตัวอย่างเช่น นางเอกมีรักแรกจากเพื่อนทางจดหมาย (ที่เขียนขึ้นโดยพระรอง) แต่แท้จริงพระรองนั้นถูกย่าของนางเอกขอให้ช่วยเขียนให้ แต่ปรากฎว่า ชื่อที่พระรองใช้ กลับเป็นชื่อพระเอก (ตัวจริง) ที่ไปเห็นจากในหนังสือพิมพ์ เนื่องจากพระเอกชนะเลิศการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก เวลาผ่านไป 15 ปี คนทั้งหมดก็วนกลับมาเจอกัน ทำให้เกิดเรื่องราวความรักสามเส้าขึ้น

 

15 ซีรี่ส์ START-UP เรื่องนี้ ไม่มีตัวร้าย โดยเฉพาะที่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผล แต่ไปวางตัวละครที่ต้องมาแข่งขันด้วย ที่เปรียบเหมือนตัวร้ายแบบเบาๆ ส่วนใหญ่จุดหักเหต่างๆ ของเรื่อง มักเกิดจากความผิดพลาดของเหล่าตัวละคร ซึ่งล้วนแต่เกิดมาจากความอ่อนด้อยในประสบการณ์ คนดูที่ติดตาม ก็ได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์จากพวกเขาไปปรับใช้จริงได้ด้วยเช่นกัน

 

16 ปกติคนดูจะลุ้นว่า เมื่อไรพระเอก-นางเอกจะจูจุ๊บกันสักที แต่สำหรับซีรี่ส์เรื่องนี้ การจูบกันของพระนางแทบจะไม่ทำให้คนดูฟิน หรือดูดดื่มแต่อย่างใด แต่ในมุมกลับกัน ดูเป็นการจูบที่เป็นมุษย์มนา เรียกว่ามาตามอารมณ์ของเรื่อง ไม่ใช่เอะอะจูบ เอะจูบจูบ แม้จะไม่ใช่ฉากขายเหมือนหลายๆ เรื่อง แต่ก็เป็นซีนที่ดูจริง และสบายตาสบายใจ

 

 

17 อย่างที่บอกไป START-UP เป็นซีรี่ส์ที่ให้รายละเอียดของตัวละครแทบทุกตัว ยกตัวอย่าง พระเอก-นัมโดซาน เป็นคนชอบถักนิตติ้ง เมื่อใดที่เขาโกรธ หรือควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะถักนิตติ้ง ส่วนนางเอก-ซอดัลมี เมื่อไรที่เธอเอาจริงกับเรื่องอะไรก็ตาม เธอมักจะรวบผมแล้วมัดขึ้นมาอยู่เสมอ แม้แต่ ฮันจีพยอง-พระรอง ตัวละครที่ภาพนอกคือผู้อำนวยการที่แสนจะเพอร์เฟคท์ แต่แท้จริงเขาคือคนเหงาคนหนึ่ง ที่มีเพื่อนคุยคือ คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ ที่ตั้งอยู่บ้านเท่านั้นเอง

 

 

18 ตัวละคร พระรอง-ฮันจีพยอง เหมือนเป็นภาพสะท้อนของคนยุคปัจจุบัน ที่แม้จะมีต้นทุนในชีวิตที่ต่ำมาก่อน แต่ด้วยความเก่ง และความขยัน ก็สามารถถีบตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นผู้บริหารแถวหน้าได้ แต่ในภาพความสำเร็จ ความร่ำรวย สิ่งที่เขาต้องการ กลับเป็นแค่ความรัก ความเข้าใจ และชีวิตที่เรียบง่าย เหมือนอย่างที่เขามักจะไปหา ‘คุณย่าชเววอนด็อก’ คนที่เคยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ ที่ร้านขายฮอตด็อกนั่นเอง

 

 

19 แง่งามของ START-UP อีกอย่างคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือคนแก่ ก็สามารถดูซีรี่ส์เรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจและเข้าถึง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องธุรกิจคนรุ่นใหม่ แต่แท้จริงแล้ว ซีรี่ส์ได้ซ่อนการเชื่อมโยงของคนสองเจนเนอเรชั่นเข้าไว้ด้วยกัน คนรุ่นใหม่พร้อมทะยานเพื่อไปสู่อนาคตก็จริง แต่ในเนื้อแท้ พวกเขายังต้องอาศัยประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน เพื่อนำทางไปสู่เป้าหมาย หนำซ้ำ เป้าหมายจริงๆ ที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่แค่พิสูจน์ให้คนรุ่นก่อนเห็นว่าพวกเขาทำได้ แต่มันคือภาพของการทำให้คนที่รักมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่างหาก

 

 

20 ทำไมคนดูมากมายถึงต่างก็ ‘หลงรัก’ ซีรี่ส์และตัวละครของเรื่องนี้ เพราะพวกเขาเหมือนตัวแทนของเราที่พยายามจะ ‘ทำตามฝัน’ (Follow your dream) มากไปกว่านั้น คือการไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เหมือนดังเช่นตอนท้ายๆ ของเรื่อง ที่พวกเขาได้กลับไปที่ออฟฟิศเก่าแห่งแรกของตัวเอง พร้อมกับยืนกอดคอกันร้องไห้ สะท้อนให้เห็นว่า ที่สุดแล้วชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรือวัยไหนก็ตามที การได้ไปยังสิ่งที่ใฝ่ฝัน แน่นอนว่า มันคือความสำเร็จ แต่ในแก่นแท้ของความสำเร็จแล้ว มันคือการได้เรียนรู้ และได้เห็นการเติบโตของตัวเองตลอดมา

 

ถูก ‘บูลลี่’ ควรแก้ยังไง?

ใครเคยถูก ‘บูลลี่’ ยกมือขึ้น?

 

ถามแบบนี้ เชื่อเถอะว่า ยกมือกันพรึ่บ ไล่ไปตั้งแต่เด็กประถมไปยันนายกรัฐมนตรี ยุคสมัยนี้เขาเรียกการโดนล้อว่า ถูกบูลลี่ (Bully) แต่ถ้าเป็นยุคก่อนๆ มันก็คือ การถูกล้อ ถูกแซว นั่นแหละ

 

การถูกบูลลี่ หรือการล้อ การแซว เป็นเรื่องทางจิตวิทยาของมนุษย์มาแต่โบร่ำโบราณแล้วล่ะ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม พอมารวมกลุ่มกันเข้า เมื่อเห็นว่าสิ่งใดที่มันดู ‘แตกต่าง’ ไปจากผู้คนปกติในกลุ่ม ก็มักจะมีการออกความเห็น เป็นธรรมดา

 

เช่น ‘ทำไมคนนี้ถึงดำ’ ‘ทำไมคนนั้นถึงเตี้ย?’ แต่ปัญหาต่อมาก็คือ เมื่อมีคนพูด (หรือตั้งประเด็นขึ้นมา) คนอื่นๆ ในกลุ่มก็จะพลอยสนใจ จากที่มีคนสีผิวต่าง หรือส่วนสูงต่างอยู่ในกลุ่มตั้งนานสองนาน พอมีคนตั้งข้อสังเกตปุ๊บ กลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที

 

ที่มันเลยเถิดไปกว่านั้น เมื่อสนใจในความแตกต่าง กลับกลายเป็นการไปย้ำความต่างนั้นๆ อยู่เรื่อยๆ เหมือนอะไรเอ่ยไม่เข้าพวก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีใครทัก ใครพูด มันก็จะไม่กลายเป็นประเด็น

 

ยังมีอีกหลายกรณี เช่น คนนี้อ้วนกว่าใครในกลุ่ม คนนี้ผอมแห้งกว่าใครในแก๊ง คนนี้สิวเยอะ คนนั้นพูดไม่ชัด คนโน้นผมหยิก กระทั่งพัฒนามาสู่ยุคนี้ ที่มีโซเชี่ยลมีเดียเป็นตัวกระจายอำนาจการบูลลี่ กล่าวคือ ใครที่มีความต่าง หรือมีพฤติกรรมไม่เข้าพวก หรือแม้แต่ทำอะไรน่าเกลียดๆ แล้วโดนถ่ายภาพเก็บไว้ ทั้งหมดนี้จะถูกกระจายกำลังกันโดนบูลลี่ไปในโลกกว้างทันที

 

 

เรื่องเหล่านี้ ใครไม่เจอกับตัวเอง ก็คงไม่รู้ซึ้งว่า ‘มันเจ็บปวดเพียงใด’

 

อย่างที่ถามไป มีใครเคยถูกบูลลี่บ้าง น้อยคนนั่นแหละที่จะไม่เคย เอาเรื่องเบสิกสุดๆ ประเภทล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ยิ่งชื่อพ่อแม่เป็นชื่อเชยๆ แปลกๆ งานนี้โดนล้อกันจนแก่จนเฒ่า นี่ก็เป็นมิติหนึ่งของการบูลลี่เหมือนกัน ถามต่อมาว่า แล้วจะทำยังไงไม่ให้ถูกบูลลี่? ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘ยาก!’ เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีความแตกต่าง หรือแม้แต่ทำอะไร ‘พลาดๆ’ กันได้หมด

 

แต่ตัวการปัญหาจริงๆ มันอยู่ที่ ‘คนบูลลี่’ นั่นต่างหาก

 

ยกสมการง่ายๆ ว่า ‘ถ้าไม่มีคนบูลลี่ มันก็จะไม่มีการถูกบูลลี่’ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่ ‘ทุกคน’ ควรทำ หรือต้องทำ คือ ฉุกคิดสักนิด ก่อนจะพูด ก่อนจะเล่า ก่อนจะแซว ก่อนจะล้อ ก่อนจะให้ความเห็น หรือก่อนจะคอมเม้น

 

ทั้งหมดมันเกิดจากตัวเรานี่ล่ะ บางครั้งไม่ตั้งใจ แต่เผลอตัวพูดออกไปด้วยความสนุก(ปาก) ด้วยความคึกคะนอง คิดว่าขำๆ ล้อกันเล่นๆ แต่ใจเขาใจเรา อะไรที่มากเกินพอดี ผลลัพธ์ที่ออกก็มักจะเกินงามไปด้วยเช่นกัน

 

 

เราไม่ได้บอกให้ใครต้องทำตัวโลกสวย ต้องพูดเพราะๆ แต่ก่อนพูด ขอให้มีสติ ฉุกคิดสักนิดกับคำพูดของเรา อะไรที่ประเมินว่าสุ่มเสี่ยง ก็ข้ามๆ ไปบ้าง ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คิดก็ได้

 

สรุปคาถาง่ายๆ ป้องกันการถูกบูลลี่ นั่นคือ ‘การไม่ไปบูลลี่คนอื่นก่อน’ ก็เท่านั้นเอง...

7 ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งปีนี้ทรงเจริญพระชันษา 42 ปี

 

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจในหลากหลายด้าน ทางด้านกฎหมาย ทรงส่งเสริมหลักการยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะสตรีและผู้ต้องขังหญิง อีกทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมในระดับนานาชาติ โดยทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรมและระบบงานยุติธรรมทางอาญา สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

 

อีกหนึ่งพระราชกรณียกิจอันเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย โดยทรงเป็นองค์ประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ด้วยวัตถุประสงค์ในการบรรเทาความเดือดร้อน ตลอดจนช่วยเหลือประชาชนคนไทย ทั้งในยามประสบภัยพิบัติ และส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

 

เนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันประสูติ ขอพระองค์ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของประชาชนคนไทยสืบไป ทรงพระเจริญ

 

อ้างอิง: https://th.wikipedia.org/ , http://friendsofpa.or.th/TH/home

 

 

ทำความรู้จักกับ 'เทียน' ในหลากหลายความหมาย

5 ธันวาคม วันนี้คงเป็นอีกวันที่ ‘แสงเทียน’ จะสว่างไสว แต่รู้หรือไม่ ว่าแสงเรืองรองจากปลายเทียนที่เราจุดกันนี้ มีที่มาและความหมายอย่างไร ตามไปทำความรู้จักกันดีกว่า...

 

ที่มาของ ‘เทียน’

เทียน เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมากว่า 2,000 ปีก่อน ทำจากไขมันสัตว์ ไขมันพืช และขี้ผึ้ง โดยใช้แก่นของพืชมาเป็นไส้เทียนเพื่อให้ความส่องสว่าง ในยุโรป นิยมทำเทียนจากขี้ผึ้ง เพราะควันน้อย กลิ่นไม่เหม็น และมีความสะอาด แต่ราคาค่อนข้างแพง จึงนิยมใช้เทียนขี้ผึ้งนี้ในหมู่คนมีฐานะเสียมากกว่า ส่วนประเทศไทยเรานั้น ประเมินได้ว่า มีการใช้เทียนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เนื่องจากมีประเพณีการถวายเทียนเข้าพรรษา ซึ่งเป็นประเพณีใหญ่มาตั้งแต่สมัยนั้น

 

ความหมายและสัญลักษณ์การจุดเทียน

ในทางพุทธศาสนา เรามักจุดเทียนไขคู่กัน 2 เล่มเสมอ โดยนัยยะเพื่อเป็นการบูชา ‘พระธรรม’ และ ‘พระวินัย’ ที่เป็นเสมือนดวงประทีปส่องสว่าง ทำให้คนมองเห็น ทำให้เกิดปัญญา มีความรู้ ความเข้าใจ แล้วรู้จักดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง

 

ในวัฒนธรรมของประเทศอื่น นอกจากจะให้แสงสว่าง เทียนยังเปรียบเสมือนการช่วยขับไล่ความมืด เป็นสัญลักษณ์ของการบูชา ความหวัง กำลังใจ ความรัก การระลึกถึง และการผ่อนคลาย

 

เทียนยังใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา อาทิ การจุดเทียนในโบสถ์คริสต์ รวมไปถึงการจุดเทียนในงานแต่งงาน เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของบ่าวสาว ว่าแต่ละคนเกิดมามีชีวิตของตัวเอง (ถือเทียนคนละเล่ม) เมื่อมาแต่งงานกันก็มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ร่วมกันเป็นครอบครัว (นำเทียนของตัวเองไปจุดเทียนชีวิตคู่ ในพิธีจึงมีเทียนทั้งหมด 3 เล่ม) 

 

การจุดเทียนยังแสดงถึงความอาลัยเด็กๆ ที่เสียชีวิต โดยมีความเชื่อว่า แสงเทียนจะช่วยส่องทางให้แก่ดวงวิญญาณดวงน้อยที่จากไป ที่ผ่านมา มีองค์กรชื่อ The Compassionate Friends ในสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดให้ทุกๆ วันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนธันวาคมของทุกปี เป็น ‘วันจุดเทียนโลก’ (Worldwide Candle Lighting Day) เริ่มมาตั้งแต่ปี 1997 โดยผู้คนจะพร้อมใจกันออกมาจุดเทียนในเวลา 1 ทุ่มตรงตามเวลาท้องถิ่น เพื่อไว้อาลัยแก่เด็กๆ ที่เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย และเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วโลก

 

แม้โลกจะก้าวไปสู่ความทันสมัย แต่ ‘เทียน’ ก็ยังคงถูกนำมาใช้ในหลากหลายบริบท โดยเฉพาะการระลึกถึงบุคคลที่จากไป เป็นสัญลักษณ์ของความพร้อมใจกันระลึกถึงสิ่งดีงาม ดังเช่นเปลวแสงแห่งการส่องสว่างที่ได้จากเทียนนั่นเอง

 

อ้างอิง: https://mgronline.com/dhamma/detail/9590000065682

 

 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ vs อาร์เซน่อล ดาร์บี้แมทซ์เดือดๆ แห่งกรุงลอนดอน

โหมโรง!!!

 

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สัปดาห์นี้ ต้อนรับลมหนาวของเมืองไทย (แต่ที่อังกฤษนั้นหนาวมานานแล้วล่ะ) ด้วยศึกนอร์ทลอนดอน ดาร์บี้แมทซ์ พูดชื่อดูทางก๊านทางการ เรียกตามภาษาแฟนฟุตบอลไทยดีกว่าว่า ‘ศึกไก่ปะทะปืน’

 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ VS อาร์เซน่อล

 

อย่างที่บอกไป ว่าเป็นศึกดาร์บี้แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งถ้าจะท้าวความกลับไป สองทีมนี้เป็นทีมร่วมเมืองกันมายาวนาน เคยแข่งขันกันครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1887 โดยความดราม่าระหว่างสองทีมนั้นมีกันมาอยู่เรื่อยๆ เช่นครั้งหนึ่ง สเปอร์และอาร์เซน่อล ต้องตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 แต่กลายเป็นว่า ทางผู้จัดการแข่งขันเห็นว่า หากให้ตกไปทั้งคู่ อาจทำให้ไม่เหลือทีมใหญ่มีชื่อในดิวิชั่น 1 เลย ก็เลยให้อาร์เซน่อลอยู่รอดต่อไป ส่วนสเปอร์นั้นตกชั้น (ไปซะอย่างนั้น)

 

ยังมีเรื่องแสบสันต์ดราม่าทิ่มแทงใจแฟนบอลของสองทีมนี้อีกเยอะ แต่กลับมาปัจจุบันกันต่อเถอะ คู่นี้เวลาเจอกันทีไร นอกจากคนดูจะเข้าสนามแตกแล้ว ผลลัพธ์ยังยิงกันระเบิดระเบ้อเป็นประจำ ศัพท์ของนักลงทุนเขาเรียก สกอร์สู๊งงงง!

 

แต่ก็ว่าไมได้ เนื่องจากสเปอร์ในวันนี้ มีคุณน้าโชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีม แกขึ้นชื่อเรื่องแนวรถบัสรับแน่น แล้วโต้เร็ว ก็ดูจะน่าสนใจว่า เกมศักดิ์ศรีแบบนี้ มูรินโญ่จะวางหมากอย่างไร จะป้องกันท่าเดียว แล้วค่อยสวน อันนี้แฟนไก่อาจมีหงุดหงิดเอาได้ (นี่มันศึกแห่งศักดิ์ศรีนะว้อยยย!)

 

ด้านอาร์เซน่อล ทีมคู่รักคู่แค้นที่เดินทางมาเยือน สภาพผลงานโดยรวม ก็ยังไม่ร้อนแรงเท่าไรนัก ทีมยังไม่เสถียรลงตัวแบบเป๊ะๆ บทจะชนะก็ฟอร์มหรู แต่บทจะหมู เอ้ย! บทจะแพ้ก็แพ้ง่ายเกิ๊น! แถมล่าสุด โธมัส ปาเตย์ มิดฟิลด์ห้องเครื่องตัวใหม่ที่กำลังทำผลงานได้ไฉไล ก็ดันมีอาการบาดเจ็บ ชวดลงสนามไปเรียบร้อย แต่ถึงยังไง มิเกล อาร์เตต้า เฮดโค้ช คงมีนักเตะใช้งานกับเกมนี้อยู่ในใจแล้วล่ะ แถมก็คงรู้ว่าจะต้องเล่นกับสเปอร์ในนัดนี้อย่างไร ตามประสบการณ์ลูกพี่นักเตะเก่าที่เคยเจอสเปอร์มาหลายดอกในอดีต

 

สรุปว่า นอร์ทลอนดอนดาร์บี้นัดนี้ ยังคงเดือดเหมือนเดิม ส่วนผลจะออกทางไหนน่ะเหรอ เอาเป็นว่า สเปอร์ช่วงเวลานี้ เจอทีมใหญ่ด้วยกัน ‘ตบ’ มาแล้วแทบทุกทีม แถมภาพรวมยังดูดีกว่าอาร์เซน่อลนิดๆ แต่ด้วยศักดิ์ศรี เชื่อว่าทีมปืนใหญ่ไม่ยอมให้ตบง่ายๆ แน่นอน

 

คืนวันอาทิตย์นี้ 23.30 น. เจอกันหน้าจอ ทั้งแฟนไก่! แฟนปืน! ปู๊นๆ!!

เลียม กัลลาเกอร์ ฟร้อนแมนโอเอซิส สตรีมมิ่งไลฟ์คอนเสิร์ต

พรุ่งนี้ FC เลียม กัลลาเกอร์ นักร้องนำแห่งวงร็อกโอเอซิส เตรียมเฝ้าหน้าจอรอชมการสตรีมมิ่งไลฟ์คอนเสิร์ตของเขากันได้เลย นี่ถือเป็นการไลฟ์การแสดงดนตรีผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวหนแรกของร็อกเกอร์คนดังอีกด้วย

งานนี้เจ้าตัวได้บันทึกการแสดงดนตรีครั้งนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเตรียมปล่อยลงสู่โลกออนไลน์เพื่อให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ ซึ่งเวลาที่จะได้รับชมนั้น มีความแตกต่างกันไปตามโซนแต่ละทวีป เริ่มที่อังกฤษ และฝั่งยุโรป ก่อนจะไปที่อเมริกา และตามมาด้วยฟากฝั่งออสเตรเลีย ส่วนเอเชียและประเทศไทยนั้น จะได้ชมกันในวันที่ 6 ธันวาคม ตามมาติด ๆ

ส่วน set list หรือรายชื่อเพลงในคอนเสิร์ตออนไลน์ Down by the Thames River จะมีทั้งบทเพลงจากอัลบั้มเดี่ยว  และเพลงคลาสสิกของ Oasis ที่เลียมแทบไม่เคยหยิบมาเล่นอีกเลย อย่าง "Hello" ซึ่งถือว่ากลับมาเล่นอีกครั้งในรอบ 18 ปีเลยทีเดียว รวมถึง "Columbia" และ "Fade Away" ที่หาฟังยากมากๆ และแน่นอนว่า ไฮไลต์คือการเปิดตัว "All You're Dreaming Of" ซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

รายชื่อเพลงอื่น ๆ ที่จะได้ชมกันมีดังนี้

- Hello

- Wall of Glass

- Halo

- Shockwave

- Columbia

- Fade Away

- Why Me? Why Not

- Greedy Soul

- The River

- Once

- Morning Glory

- Cigarettes & Alcohol

- Headshrinker

- Supersonic

- Champagne Supernova 

- All You're Dreaming Of

ใครที่สนใจ สามารถซื้อบัตรเข้าชมกันได้ที่ http://liamgallagher.com/ และขั้นตอนการซื้อบัตร https://bit.ly/2JoNYRr งานนี้แฟน ๆ เลียมและโอเอซิส ไม่ควรพลาด ของดีไม่มีบ่อย ๆ แน่นอน


ขอบคุณข้อมูล: เพจ All About RKID

 

ปี 2020 World so heat!

ปี 2020 ไม่ใช่จะมีแค่ โควิด-19 ที่เป็นเรื่องหนักหนา แต่โลกของเรายังมีความร้อนระอุมากขึ้นกว่าเดิม โดยมีรายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ว่าด้วยสภาพภูมิอากาศโลกปี 2020 (States of the Global Climate in 2020) ระบุว่า ความร้อนของมหาสมุทรอยู่ในระดับสูงมากเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนตุลาคม ยังสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยช่วงปีค.ศ.1850 - ค.ศ.1900 อยู่ที่ราว ๆ 1.2 องศาเซลเซียสอีกด้วย จุดนี้เองที่ส่งผลให้ปี 2020 มีแนวโน้มว่าจะเป็นปีที่มีความร้อนสูงสุดติด 1 ใน 3 ปีที่เคยบันทึกเอาไว้

.

ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงที่แทบทั้งโลกต้องล็อกดาวน์ปิดประเทศเพื่อป้องกันโควิด-19 แทนที่การก่อตัวของมลภาวะต่าง ๆ จะลดลง เพราะทุกอย่างหยุดชะงัก แถมทุกคนต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน แต่กลายเป็นว่า ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นไปอีกหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว

แน่นอนว่า เมื่อโลกร้อนขึ้นอีกเช่นนี้ เหล่าภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นเป็นผลของกันและกัน ปีนี้ทั้งปี เฉพาะในอเมริกา เกิดภัยพิบัติทั้งพายุเฮอริเคน Eta และ Iota หรือในแอฟริกาใต้และเอเชียตะวันออกฉียงใต้ ก็เกิดน้ำท่วมฉับพลันขึ้นหลายๆ แห่ง ทั้งหมดเป็นผลพวงของสภาวะที่โลกเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง 

หลายคนภาวนาให้ปี 2020 นี้ผ่านไปเร็ว ๆ เพื่อจะได้พบกับปีใหม่ที่ดีกว่า แต่เอาเข้าจริง ไม่ว่าจะปีนี้ หรือปีไหน โลกจะดีขึ้นได้ มันอยู่ที่พวกเรานี่ล่ะ ถึงเวลาที่ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเสียที


อ้างอิง

: https://www.xinhuathai.com/inter/158054_20201203

ภาพจาก

https://www.insurancejournal.com/news/international/2015/02/27/358802.htm

ลัดเลาะส่องมุมชิค ๆ ย่านหัวลำโพง

สุดสัปดาห์นี้ หลายคนหยุดยาว 3 วัน ถ้ายังไม่มีแผนการไปชิลที่ไหน ลองนั่งรถไฟฟ้า MRT มาสถานีหัวลำโพง เดี๋ยวนี้ย่านหัวลำโพง และถนนละแวกใกล้เคียงอย่าง ไมตรีจิตต์ ซอยนานา วงเวียน 22 กรกฎา กลายเป็นแหล่งชุมนุมของร้านรวงหน้าตาเก๋ ๆ น่ารัก ๆ เพียบเลย

นอกจากนี้ยังมีมุมถ่ายรูปสำคัญ ที่เห็นเหล่าดารา เซเลบฯ นิยมไปถ่ายกัน เป็นหน้าตึกเก่าแก่ ที่ถูกปลุกชีพให้กลายมาเป็นโรงแรมบูติก ชื่อว่า The Mustang Blu อันนี้ไม่ควรพลาดมาปักหมุดถ่ายภาพไปอัปลง IG กันนะ

ไม่พูดเยอะดีกว่า เอาเป็นว่า ย่านหัวลำโพง - ไมตรีจิตต์ - ซอยนานา จะคูลเว่อร์ขนาดไหน The States Times LITE เก็บภาพมาให้ดูกันล่ะ

เริ่มต้นการเดินทางมากันง่าย ๆ เพียงแค่โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT มาลงสถานีหัวลำโพง เดินขึ้นจากสถานีปุ๊บ มองเห็นสถานีรถไฟกรุงเทพ หรือสถานีหัวลำโพงเป็นแลนด์มาร์คใหญ่ วันนี้หัวลำโพงผ่านเวลามากว่า 104 ปี เริ่มใช้งานกันมาตั้งแต่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2459 บรรยากาศอันคุ้นเคย กับสถาปัตยกรรมอันสวยงาม กดถ่ายภาพมุมไกลกับหัวลำโพง ก็เข้าท่าทีเดียวนะ

.

เดินข้ามถนนจากหัวลำโพงมาไม่ไกล จะเจอถนนแยกเป็นหลายสาย ให้เดินเข้ามาทางถนนไมตรีจิตต์ จะเจอแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เห็นใคร ๆ ก็ถ่ายภาพมุมนี้ไปลงไอจี ที่นี่เป็นอาคารทรงโคโลเนียลเก่าแก่ที่ถูกปลุกชีพมาเป็นโรงแรม มีชื่อว่า "The Mustang Blu" แต่เมื่อก่อนเคยเป็นทั้งโรงพยาบาล ธนาคาร หรือสถานอาบอบนวด มาวันนี้แปลงโฉมเป็นโรงแรม ตั้งตัวอย่างโดดเด่นจนกลายเป็นจุดถ่ายภาพที่กำลังอินอยู่ในตอนนี้ มา ๆ ต้องมาลอง!

.

ตามเส้นทางไมตรีจิตต์ ยังเต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์เก่าแก่ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนพื้นที่ ส่วนใหญ่ยังเป็นธุรกิจร้านค้าที่ค้าขายมายาวนาน จากรุ่นสู่รุ่น เดินแล้วเหมือนย้อนเวลาหาอดีต

.

เดินจนสุดถนนไมตรีจิตต์ จะเจอแยกซอยนานา ในวันนี้ถนนเส้นนี้กลายเป็นแหล่งแฮงเอ้าต์แห่งใหม่ อาคารเก่า ๆ ถูกแปลงโฉมเป็นคาเฟ่ รวมทั้งตามตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ยังมี "บาร์ลับ" ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในอาคารเก่า อย่างร้านนี้ WALLFLOWERS เป็นบาร์ลับที่ถ้าไม่ลงเท้าเดินก็คงไม่เจอ ตั้งอยู่ในซอกของอาคารเก่า ๆ 

.

อีกหนึ่งบาร์ยอดฮิตของนักแฮงเอ้าต์รุ่นใหม่ Teen of Thailand (ToT) ตอนที่ไปถึงเป็นช่วงกลางวันยังไม่เปิดทำการ แต่กำแพงร้านแบบดิบ ๆ ก็สะดุดตาพอที่จะเก็บมุมถ่ายภาพเอาไว้

.

บาร์เก๋ ๆ อีกแห่ง แปลงโฉมอาคารเก่าให้สวยเก๋ Ba Hao

.

อีกหนึ่งมุมที่รับรองว่าถ่ายภาพสวยแน่ ๆ นั่นคือ ตามประตูบ้านเรือนแถวนั้น รูปทรงโบราณที่หายากในยุคนี้ แถมผู้พักอาศัยย่านนั้นก็ยังพร้อมใจกันทาสีประตูให้สวยสด ใครอยากถ่ายภาพ สามารถขออนุญาตขอเจ้าของบ้านถ่ายไว้ได้เลย

.

ภาพกำแพงที่เต็มไปด้วยแผ่นพับ ใบปลิว และสติ๊กเกอร์เก่า ๆ ให้อารมณ์ดิบ ๆ แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบย้อนเวลา

.

ธุรกิจเก่าแก่ อาชีพดังเดิมของคนพื้นที่ก็ยังอยู่ อย่างร้านตัดผม บาร์เบอร์สุภาพบุรุษ ไอเท็มหน้าร้านวินเทจได้ใจ จนต้องเก็บภาพเอาไว้

.

สวยงาม สีฉูดฉาด และเต็มไปด้วยความคลาสสิก จะเจอไปตลอดเส้นทาง

.

เดินตัดจากซอยนานา มีอีกถนนเส้นคู่ขนานกัน คือถนนพระราม 4 พบกับอีกหนึ่งไฮไลท์ที่มาแล้วต้องไม่พลาด คือร้านกาแฟ JADE (เจต) ที่นี่พลิกโฉมจากอาคารเก่าแก่ที่รกร้างของต้นตระกูลนับสิบปี มาปรุงโฉมให้กลายเป็นร้านกาแฟเท่ ๆ แถมด้านบนยังเปิดเป็นอาร์ต แกลอรี่ ร้านเป็นแบบโอเพ่น แอร์ แต่บรรยากาศชิลๆ เข้าไปนั่งแล้วเหมือนย้อนเวลาไปในอดีต สัญลักษณ์อักษรจีนข้างกำแพง ออกเสียงว่า "อี่" แปลว่า สมหวัง ส่วน "JADE" หรือ "เจต" ในภาษาไทย ก็คือ สมหวังดังใจ

.

กาแฟซิกเนเจอร์ JADE old town ice coffee ของทางร้าน อร่อย เลิศ

.

ภาพอาคารภายนอก ที่ทางเจ้าของร้านบอกว่า มีลวดลายภาษาจีนที่เขียนเอาไว้นับร้อยปี ซึ่งไม่ว่าจะปรับปรุงอาคารยังไง ก็จะคงอนุรักษ์อักษรเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนความเป็นย่านเก่าแก่ที่มีการผสมผสานทั้งของเก่าและของใหม่ ให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว


เรื่อง: นายสารพัดย่าน

ภาพ: ณัฐ์วริทธิ์ วรรธนะพินทุ

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top