Saturday, 27 April 2024
LITE TEAM

เรื่องราวของ ‘ร็อกสตาร์ฆ่าไม่ตาย’ Oasis

“Oasis คือวงดนตรีที่โลกอนุญาตให้ปากหมาได้ตลอดกาล” ประโยคนี้คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนักเมื่อเทียบกับวีรกรรมสุดห้าวของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ที่ปรากฏบนหน้าสื่อตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในยุค ‘90s แล้ว ส่วนผสมที่ลงตัวแต่เข้ากันไม่ค่อยได้ของ ‘โนล กัลลาเกอร์’ มือกีตาร์ และ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ฟรอนต์แมน ดูเหมือนจะยิ่งสร้างสีสันให้แฟนๆ หันมาสนใจพวกเขามากยิ่งขึ้น ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า Oasis คือวงดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อประวัติศาสตร์บริตป๊อบ (Britpop) ของเกาะอังกฤษ

 

วง Oasis ได้ยุติบทบาทลงในปี 2009 หลังโนลตัดสินใจลาออกจากวงและไม่พูดจากับน้องชายนานร่วม 10 ปี ปัจจุบันนี้พี่น้องกัลลาเกอร์ต่างก็ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว แต่แฟนเพลงกลับทำเหมือน Oasis แค่พักวงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเฝ้ารอวันที่วงดนตรีที่พวกเขารักจะกลับมารียูเนียนกันอีกครั้ง ความน่าสนใจคือแม้ Oasis จะเป็นวงดนตรียุค ‘90s ทว่ากระแสความนิยมไม่ได้ลดลง ยังคงมีแฟนเพลงเดนตายติดตามอย่างเหนียวแน่นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่บนโลกออนไลน์ เพลง “Wonderwall” ของวง Oasis ก็ยังเป็นเพลงแรกจากยุค ‘90s ที่มียอดสตรีมมิ่งผ่าน Spotify ทะลุ 1,000 ล้านครั้ง!

 

 

เรื่องราวของวง Oasis เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราวเฮฮาที่น่าสนใจ บางเรื่องอาจเกรียนชนิดที่ศิลปินยุคนี้ไม่มีทางทำแน่ๆ เมื่อคนรุ่นใหม่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตพวกเขาสามารถสืบค้นข้อมูลและรับรู้ข้อมูลอีกด้าน ซึ่งแตกต่างจากที่หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในยุค ‘90s เคยประโคมข่าว ทำให้มุมมองที่มีต่อวง Oasis ในยุคนี้เต็มไปด้วยเรื่องสนุกที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ ซึ่งมีหลายปัจจัยด้วยกันที่จุดกระแสความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ตามไทม์ไลน์ดังต่อไปนี้…

 

จากครอบครัวชนชั้นแรงงานสู่ ‘ร็อกสตาร์’

เด็กหนุ่มจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ รวมตัวกันตั้งวงดนตรีชื่อ The Rain ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Oasis’ ในเวลาต่อมา เมื่อ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ เข้ามาทำหน้าที่ฟรอนต์แมนของวง เขาชักชวนพี่ชาย ‘โนล กัลลาเกอร์’ ที่ทำงานเป็นเด็กขนเครื่องดนตรีประจำวงดนตรีท้องถิ่น Inspirals Carpets ให้มาร่วมวงในฐานะนักแต่งเพลงและมือกีตาร์ของ Oasis ไม่มีใครคาดคิดว่าบทเพลงที่โนลเคยแต่งไว้เล่นๆ จะได้นำมาใช้จริงๆ โดยเพลงส่วนใหญ่นอกจากจะพูดถึงวัฒนธรรมวัยรุ่นอังกฤษแล้ว ยังมีเนื้อหาที่สะท้อนการมองโลกในแง่ดีและความต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น “Whatever” เป็นเพลงที่โนลแต่งขึ้นสมัยทำงานเป็นกรรมกรในไซต์ก่อสร้างตามที่พ่อแนะนำ แต่เขาอยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงแต่งเพลงนี้เพื่อระบายความรู้สึกที่ต้องการเป็นอิสระ หรือเพลง “Live Forever” มีเนื้อหาที่พูดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เป็นต้น ในที่สุดพวกเขาก็แจ้งเกิดในฐานะศิลปิน โดยปล่อยอัลบั้มชุดแรก ‘Definitely Maybe’ ในปี 1994 ยกระดับสถานะทางสังคมจากชนชั้นแรงงานสู่ครอบครัวที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เริ่มมีชื่อเสียงและเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

             

1995-1997 ‘ยุคทอง’ ของ Oasis

อัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขามากที่สุดคือ ‘(What’s The Story) Morning Glory?’ อัลบั้มชุดที่ 2 ที่วางจำหน่ายในปี 1995 เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น “Wonderwall” และ “Don’t Look Back In Anger” ทำให้กระแสความนิยมของ Oasis เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทะยานสู่การเป็นวงบริตป๊อบอันดับต้นๆ แย่งความนิยมกับวง Blur อย่างดุเดือดจนนำไปสู่เหตุการณ์ ‘สงครามบริตป๊อบ’ ที่ทั้ง 2 วงเลือกปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ในวันเดียวกัน ชื่อเสียงของ Oasis ทำให้พวกเขาสามารถจัดคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth ในปี 1996 ซึ่งมีแฟนเพลงกว่า 2.5 แสนคนเดินทางมาชม อีกทั้งยังได้รับรางวัลการันตีความนิยมจากหลายสถาบัน ส่งผลให้การปล่อยอัลบั้มชุดที่ 3 ‘Be Here Now’ ในปี 1997 เกิดปรากฏการณ์แฟนเพลงแห่มายืนรอหน้าร้านขายซีดีทั่วอังกฤษเพื่อรอซื้ออัลบั้ม โดยในวันแรกที่ปล่อยอัลบั้มสามารถขายอัลบั้มได้กว่า 4.2 แสนก๊อปปี้ พิสูจน์ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว Oasis คือวงดนตรีที่ขึ้นไปยืน ณ จุดสูงสุดของวงการบริตป๊อบอย่างแท้จริง

 

 

 

จุดแตกหักของพี่น้องกัลลาเกอร์

แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ลักษณะนิสัยของโนลและเลียมกลับต่างกันสุดขั้ว โนลเคยเปรียบเทียบว่าเขาคือแมว จริงจังและมีโลกส่วนตัวสูง ส่วนเลียมเป็นหมาที่พร้อมจะเล่นทุกครั้งที่มีคนโยนลูกบอลให้ เมื่อทั้งคู่ต้องมาทำงานใกล้ชิดกันเป็นเวลานานก็ย่อมมีปัญหากระทบกระทั่ง โนลที่มีความรับผิดชอบสูงจึงเอือมระอาพฤติกรรมของน้องชายที่บางครั้งหายไปโดยไม่บอกกล่าว ปล่อยให้เขาต้องทำหน้าที่ฟรอนต์แมนเอง ในขณะที่เลียมเองก็บอกว่าพี่ชายซีเรียสจนเกินไป การตัดสินใจทั้งหมดของวงแทบจะรวมอำนาจไว้ที่โนลแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการเขียนเพลงในแต่ละอัลบั้ม ความสัมพันธ์พี่น้องเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2009 ระหว่างที่ Oasis เตรียมขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เลียมอาละวาดหลังเวที และพังกีตาร์ตัวโปรดของพี่ชาย ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่โนลตัดสินใจหันหลังให้วงดนตรีที่เขาอยู่มานานถึง 18 ปี และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็นำไปสู่การยุติบทบาททางดนตรีของวง Oasis

 

 

 

ตัวตนใหม่เมื่อศิลปินมี ‘สื่อเป็นของตัวเอง’

ภายหลังโนลได้ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว ภายใต้ชื่อ Noel Gallagher’s High Flying Birds ในปี 2011 ส่วนเลียมก็เป็นศิลปินเดี่ยวในปี 2017 เช่นกัน ทั้งคู่ต่างมีเส้นทางดนตรีเป็นของตัวเอง ได้ทดลองทำเพลงใหม่และเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก แน่นอนว่าในเซ็ทลิสต์ก็ยังมีบทเพลงของวง Oasis ให้แฟน ๆ ได้ฟังกันเช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ยุคนี้แตกต่างจากยุค ‘90s คือโซเชียลมีเดีย ศิลปินมีช่องทางสื่อเป็นของตัวเองในการประชาสัมพันธ์ผลงาน สื่อสารกับแฟนเพลง และแถลงตอบโต้ต่อประเด็นข่าวต่าง ๆ พร้อมทั้งสามารถสร้างการรับรู้ใหม่ให้แฟนๆ อย่างตรงไปตรงมาด้วยตัวตนและคาแรกเตอร์ของศิลปินที่สื่ออาจไม่เคยนำเสนอมาก่อน เช่น เลียมรับอุปการะแมวไร้บ้าน โนลบริจาคค่าลิขสิทธิ์เพลงให้เหยื่อก่อการร้าย เป็นต้น ทำให้ศิลปินได้สื่อสารกับแฟน ๆ โดยตรง ขณะที่แฟนเพลงเองก็ได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของศิลปินที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น อย่างตอนที่เลียมไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เกาหลีใต้ เขาทำท่าเลียนแบบ MV เพลง ‘กังนัมสไตล์’ ทำให้ได้เห็นมุมน่ารักสวนทางกับท่าทีขึงขังที่สื่อหลักเคยเสนอมาตลอดหลายปี หรือแม้แต่การสนับสนุน #BlackLiveMatter ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของศิลปินที่สนใจความเป็นไปของสังคม แน่นอนว่าการแสดงออกที่มี Value เหล่านี้ย่อมโดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่

 

 

 

‘Oasis: Supersonic’ กระแสเรียกฐานแฟนเพลงคืนสู่อ้อมอก

ต้องยอมรับว่าหมุดหมายสำคัญที่ทำให้กระแส Oasis กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งในหมู่แฟนเพลงก็คือ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic กำกับโดย Mat Whitecross ออกฉายเมื่อปี 2016 นับเป็นการเรียกแฟนเพลงกลับสู่อ้อมอกวงดนตรีวงนี้อีกครั้ง อีกทั้งสร้างฐานแฟนเพลงใหม่ ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากเป็นสารคดีที่ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจ สนุกสนาน มีบทสัมภาษณ์และข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟทั้งจากฝ่ายโนล เลียม อดีตสมาชิกวง และผู้ที่เคยร่วมงานกับวง Oasis เล่าตั้งแต่เรื่องครอบครัวในวัยเด็ก ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวของพ่อบังเกิดเกล้า จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งวง การเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง รวมถึงการเปิดเผยหญิงสาวปริศนาที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพลง “Talk Tonight” ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนนานถึง 20 ปี สารคดีนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ให้แฟนเพลงได้รับรู้ สร้างการรับรู้ในแง่มุมที่น่าสนใจ ได้เห็นความตั้งใจในการทำงาน การรับมือกับดราม่าต่าง ๆ พิสูจน์ว่าพวกเขาคือร็อกสตาร์ที่ฆ่าไม่ตาย ที่สำคัญ Oasis: Supersonic ยังเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศไทย ถูกพูดถึงอย่างมากในสื่อโซเชียลมีเดีย ดึงความสนใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจวงดนตรีจากยุค ‘90s วงนี้!

 

 

คอนเสิร์ตเดี่ยวของ ‘โนล-เลียม’ ในประเทศไทย

หลังจากกระแส Oasis เริ่มจุดติดอีกครั้งในปี 2016 จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic ตามมาด้วย เลียม กัลลาเกอร์ ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในปี 2017 ก็ยิ่งทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น เลียมกลับมาด้วยภาพลักษณ์เท่และคูลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้ชิดแฟน ๆ มากขึ้น เลียมใช้ทวิตเตอร์ส่วนตัวในการอัปเดตความเคลื่อนไหวกับแฟนๆ กว่า 3.3 ล้านคนที่ติดตามเขา แถมยังขยันตอบคอมเม้นท์ด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่มีประเด็นสำคัญ ๆ เลียมไม่พลาดที่จะตอบทวีตแฟน ๆ รวมถึงเหตุการณ์หมูป่า 13 คนติดถ้ำหลวง กระแสความนิยมในตัวศิลปินนำสู่คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในประเทศไทย Liam Gallagher Live in Bangkok 2018 ที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์จนติดเทรนด์อันดับ 1 ทำให้คนที่ไม่รู้จักเลียมเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นใครขึ้นมา จนกระทั่งปลายปี 2019 กัลลาเกอร์คนพี่อย่าง โนล ก็เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในประเทศไทยเช่นกัน Noel Gallagher’s High Flying Birds Live in Bangkok 2019 จนแฟนเพลงต่างแซวกันว่าเมื่อพี่น้องไม่ถูกกัน แฟน ๆ จะชมคอนเสิร์ตทั้งทีก็ต้องแยกกันชม ซึ่งลึก ๆ ก็ต่างรอวันที่โนลและเลียมคืนดีเพื่อขึ้นเวทีเดียวกันอีกครั้ง

 

 

เลียม: “ผมฟังผลงานเพลงใหม่ของโนลแล้ว เหมือนพวกมังสวิรัติพยายามจะขายเคบับเลยว่ะ”

โนล: “เพลงของไอ้เลียมคือเพลงที่ไม่ซับซ้อน เขียนขึ้นโดยคนที่ไม่ซับซ้อน และทำให้คนที่ไม่ซับซ้อนฟัง”

 

 

อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลที่ทำให้แฟนเพลงต่างติดตามเรื่องราวของวง Oasis และพี่น้องกัลลาเกอร์อย่างเหนียวแน่นก็เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยระหว่างโนลและเลียม ซึ่งมักจะตอบโต้กันอย่างเจ็บแสบผ่านสื่อทำให้แฟนๆ ได้อ่านเรื่องราวเฮฮาเป็นประจำ รวมถึงกระแสการรียูเนียนวงดนตรีที่หลายคนเฝ้ารอให้เกิดขึ้นเร็ววัน แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ความหวังก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้การรียูเนียนห่างไกลไปเสมอ

 

เรื่อง: Tatiya

ภาพ: Everwhere in Oasis

 

เลื่อนฉาย SEOBOK แฟนคลับ ‘กงยู-พัคโบกอม’ อดใจรอต้นปี 2021 ได้กรี๊ดแน่นอน

แฟนภาพยนตร์เกาหลี โดยเฉพาะ FC ‘กงยู & พัคโบกอม’ ตั้งตาเตรียมรอชมภาพยนตร์ที่ทั้งคู่โคจรมาเจอกันในเรื่อง SEOBOK ซึ่งหมายกำหนดการเข้าโรงภาพยนตร์เดิมคือ ราวปลายเดือนธันวาคมนี้ แต่ล่าสุดมีประกาศการเลื่อนฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไป ทั้งที่ประเทศเกาหลีใต้เอง รวมถึงประเทศไทย

 

ที่มาของการเลื่อนฉายภาพยนตร์ครั้งนี้ เป้นเพราะเหตุการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ยังส่อเค้าวุ่นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้และประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยจึงได้มีการเลื่อนการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปก่อน

 

สำหรับ SEOBOK ที่นอกจากจะได้ซูเปอร์สตาร์แม่เหล็กอย่าง กงยู และ พัคโบกอม มาประชันกันบนจอภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ทาง CJ Entertainment ค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ทุ่มทุนสร้างอย่างมหาศาลมาก 

 

โดยเป็นหนังแนวไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของ มินกีฮอน (รับบทโดย กงยู) อดีตสายลับที่ได้รับภารกิจสุดท้ายในการปกป้อง ซอบก (SEOBOK) รับทโดย พัคโบกอม มนุษย์โคลนร่างแรกของโลก ที่เกิดจากการทดลองลับสุดยอด และประการที่สำคัญ ซอบกเป็นมนุษย์โคลนที่เป็นอมตะ เขาได้กุมปริศนาของการมีชีวิตอมตะเอาไว้ ซึ่งมินกีฮอนต้องปกป้องเขาจากกลุ่มคนที่หวังจะครอบครองซอบก และต้องการความลับอมตะนี้

 

เล่ามาขนาดนี้ หลายคนคงอยากดู ไม่ว่าจะดู กงยู หรือดู พัคโบกอม หรือจะดูภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เอาเป็นว่า หนังยังไม่ฉายก็ไปอุ่นเครื่องกับภาพยนตร์ตัวอย่างกันเสียก่อน ส่วนข่าวคราวเรื่องกำหนดวันฉายใหม่ รวมทั้งความคืบหน้าต่างๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะนำมารายงานให้ทราบต่อไป หรือสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกันได้ผ่านทาง MONGKOL MAJOR และ twitter.com/Sahamongkolfilm

 

 

 

 

 

วิชาเกษตร 101

วิชาเกษตร 101

 

ไม่ใช่วิชาการเมืองนะคะนักเรียน โปรดอย่าเข้าใจอะไรผิดๆ คาบนี้เป็นวิชาการเกษตร 101 เหตุที่ต้องเปิดคอร์สสอนวิชานี้ เพราะช่วงนี้เห็นอุปกรณ์ทางการเกษตรไปอยู่ผิดที่ผิดทาง แห่ะๆ คุณครูก็เลยต้องนำเจ้าอุปกรณ์เหล่านั้นมาแนะนำแก่นักเรียน ตกลงมันใช้อะไรยังไง เน๊อะ!

 

อ๊ะ! ไหนๆ ก็เป็นช่วงปลายปี อากาศมันก็จะดีๆ หน่อย ลองเรียนรู้อุปกรณ์ทางเกษตรเหล่านี้จากคุณครู จากนั้นถ้าคิดจะปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ดายหญ้า ลงปุ๋ย พรวนดิน ก็ทำได้ตามสบายเลยนะนักเรียน แต่จุดนี้ขอติงนิดนึง เมื่อรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ก็จงใช้สิ่งของนั้นๆ ให้ถูกหน้าที่ของมันนะจ้ะ

 

เริ่มเรียนตามแผนภูมิภาพนี้นะจ้ะ...

10 ธันวาคม...วันรัฐธรรมนูญ

วันนี้เมื่อ 88 ปีก่อน เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศ ให้แก่ประชาชนชาวไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต

 

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนดให้ วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประจำพุทธศักราช 2560 (6 เมษายน 2560 – ปัจจุบัน)

ส่องคำขวัญวันเด็กและลายมือของ "นายกฯ ลุงตู่"

นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งมอบคำขวัญ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2564 มีประโยคว่า "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม"

สำหรับคำขวัญปีล่าสุดนี้ ถือเป็นการมอบคำขวัญครั้งที่ 7 ที่ "นายกฯ ลุงตู่" ได้มอบให้กับเด็กไทย โดย 6 ครั้งก่อนหน้านี้ มีประโยคและการสื่อความหมายที่แตกต่างกันออกไป เรามาย้อนให้อ่านกัน พร้อมเทคนิคการตั้งคำขวัญ ดังนี้...

ปี พ.ศ. 2563 "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย"

ปี พ.ศ. 2562 "เด็ก เยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ"

ปี พ.ศ. 2561 "รู้คิด รู้เท่าทัน รู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี" 

ปี พ.ศ. 2560 "เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง"

ปี พ.ศ. 2559 "เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต"

ปี พ.ศ. 2558 "ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต"

จะสังเกตได้ว่า คำขวัญของ "นายกฯ ลุงตู่" จะมีคำว่า "เด็ก" ขึ้นต้นเสียเป็นส่วนใหญ่ และมีคำว่า "อนาคต" ผสมผสานอยู่ในคำขวัญอีกด้วย และในระยะ 3-4 ปีให้หลัง คำขวัญจะเน้นย้ำในเรื่องเทคโนโลยี ยุคใหม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวล คือต้องรู้หน้าที่ และมีความสามัคคี สร้างชาติ

ส่วนลายมือของนายกฯ ลุงตู่ ค่อนข้างอ้วน ตัวใหญ่ แต่อ่านไม่ยาก มีหางยาวฉวัดเฉวียน ดูสวยงาม (จบการรายงาน...นะจ้ะเด็ก ๆ)

 

 

วัคซีนต้านโควิด - 19 เริ่มออกปฏิบัติการแล้วจ้า!

เมื่อวานผู้คนทั้งโลกต่างพากันจับจ้องไปยังข่าวการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 โดสแรกของ "มาร์กาเรต คีแนน" คุณยายชาวอังกฤษวัย 90 ปี ซึ่งการฉีดวัคซีนครั้งนี้ เป็นไปตามเจตนารมย์ของประเทศในเครือสหราชอาณาจักร ที่ต้องการจะเริ่มการฉีดวัคซีนในกลุ่มประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นแนวหน้าในการรักษาผู้ป่วยโควิด - 19

ถึงตรงนี้ เริ่มเป็นสัญญาณที่ดี ที่การเดินหน้าการผลิตวัคซีนจากบริษัทต่าง ๆ เริ่มมีประสิทธิผล พร้อมทั้งถูกนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หลังจากที่เป็นเพียงแค่ข่าวคราวมาได้ระยะใหญ่ คาดว่าหลังจากกลางเดือนธันวาคมนี้ เลยข้ามไปจนถึงกลางปีหน้า การอนุมัติการสั่งซื้อวัคซีนต่าง ๆ รวมไปถึงการทดลองตัวยาที่มีประสิทธิภาพสูขึ้น จะเริ่มทยอยตามออกมา

ช่วงนี้หลายประเทศเริ่ม "พรีออเดอร์" หรือมีการสั่งซื้อวัคซีนกันมากขึ้น ประเทศในอียูสั่งไปแล้วกว่า 700 ล้านโดส ส่วนสหรัฐฯ ประเทศเดียวก็สั่งไปกว่า 700 ล้านโดสเช่นเดียวกัน เนื่องจากยังเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสะสมสูงที่สุดในโลกอยู่ที่เกือบๆ 15 ล้านคน ส่วนประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อตามมาเป็นอันดับสองและสาม อย่างอินเดียและบราซิล ก็พรีออเดอร์วัคซีนไปประเทศละ 500 ล้านโดส และ 100 ล้านโดส 

ล่าสุดประเทศแคนาดา เพิ่งมีข่าวสั่งจองวัคซีนต้านโควิด - 19 จำนวนมากพอต่อประชากรแล้ว (ราว 38 ล้านคน) โดยเป็นการสั่งจองวัคซีนจากผู้ผลิตและทดสอบรายต่างๆ ไปมากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศเกือบ 4 เท่า อันนี้ก็ถือเป็นเรื่องโชคดีของพลเมืองแคนาดา แต่ในมุมกลับกัน หลายฝ่ายก็แสดงความกังวลว่า การกระจายของวัคซีนต้านโควิด - 19 นี้ จะไม่แพร่หลายไปยังผู้คนทั่วโลก หรือพูดง่าย ๆ ว่า เกรงจะเกิดความเหลื่อมล้ำในการแจกจ่ายวัคซีนขึ้น เนื่องจากประเทศที่ไม่ได้มั่งคั่ง อาจจะเข้าถึงตัวยาเหล่านี้ได้ยากกว่า

ด้วยเหตุนี้จึงมีพันธมิตรวัคซีนที่เรียกว่า "เกวี" เป็นการร่วมมือกันระหว่างองค์กรใหญ่ระดับนานาชาติ เช่น องค์การอนามัยโลก และมูลนิธิเกตส์ ได้ทำโครงการเข้าถึงวัคซีนโลก (โคแวกซ์) เพื่อช่วยกระจายวัคซีนไปทั่วโลก ถึงขณะนี้ได้รับการบริจาคจากประเทศ บุคคล และองค์กรการกุศลไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ แต่ยังต้องการอีก 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมไปทั่วโลก

เอาเป็นว่า ถ้าจะป้องกัน ก็อยากให้ป้องกันทั่วโลก เพราะหากทำไม่ได้ 100 เปอร์เซนต์ ถึงวันหนึ่ง โควิด - 19 ก็อาจวนกลับมายังประเทศของเรา หรือตัวเราได้อยู่ดี...

 

9 ธันวาคม วันต่อต้านการทุจริตสากล

น้ำร้อนน้ำชา หลบไป! เงินใส่ซอง หลบไป! เงินใต้โต๊ะ หลบไป! เงินกินเปล่า แป๊ะเจี๊ยะ กระเช้าของขวัญ ข้าวของอภินันท์ เอ้ย! ก็บอกให้หลบไป! ไม่รู้หรือไง วันนี้เป็น วันต่อต้านทุจริตสากล

วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันต่อต้านทุจริตสากล หรือ International Anti-Corruption Day วันนี้เกิดขึ้นในที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (UN) มีมติเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 อย่างเป็นเอกฉันท์

จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก UN 191 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว ระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ณ เมืองเมอริด้า ประเทศเม็กซิโก ด้วยเหตุนี้ UN จึงประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันต่อต้านการทุจริตสากล

โดยเจตนารมย์ที่ทำให้เกิดวันนี้ขึ้นมา ก็เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของผู้คนในเรื่องการทุจริต ซึ่งส่งผลกระทบไปในทุกๆ มิติของประเทศ รวมทั้งยังเป็นตัวถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจ กิจกรรมในวันนี้ ผู้นำทางการเมือง รัฐบาล หรือองค์กรสำคัญๆ ของประเทศทั่วโลก จะร่วมใจกันตีแผ่ถึงปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ

เอาเป็นว่า วันนี้จะไม่มีใครติดสินบนใคร จะไม่มีประโยคทำนอง ‘พี่ช่วยหน่อย’ แต่หากอยากให้สังคมเจริญก้าวหน้าไปมากกว่านี้ เราต้องมีวันที่ 9 ธันวาคมอยู่ในใจ ในทุกๆ วัน แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้น

แล้วคำว่าน้ำร้อนน้ำชา สินบน เงินใต้โต๊ะ ฯลฯ จะกลายเป็นแค่คำโบราณที่อยู่แค่ในพจนานุกรมเท่านั้น สักวัน! สาธุ!

 

 

ลาทีปี 2020...คุณอยากให้อะไรหายไปพร้อมกับปีนี้บ้าง?

ปังเว่อร์! เมื่อนิตยสาร TIMES ฉบับล่าสุด ประจำเดือนธันวาคม จัดปกได้เจ็บปวด นำเครื่องหมายกากบาทมาขีดฆ่าตัวเลข 2020 แถมโปรยด้วยตัวหนังสือ The Worst Year Ever หรือประมาณว่า "แด่ปีที่แย่ฝุดๆ ตลอดกาล"

ชัดเจน! แจ๋มแจ๋ว! ตรงประเด็น! ไม่มีอ้อมค้อม! อะไรแย่บอกแย่! แฮ่! จะใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ทำไมเยอะแยะ มาเหลากันต่อกับตัวนิตยสาร TIMES ทางทีมงานได้ขยายความเพิ่มเติมถึง "ไอเดีย" ในการเอากากบาทมาขีดฆ่าปี ค.ศ. แบบนี้ เนื่องด้วยที่ผ่านมา เคยมีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นกับโลกมากมาย เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือโรคระบาดในปี ค.ศ. 1918 แต่ในชั่วชีวิตของคนทั่วไปในยุคนี้ เชื่อว่า ปี 2020 น่าจะเป็นปีที่แย่ที่สุดแล้วล่ะ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ TIMES เคยนำสัญลักษณ์ X ขีดฆ่าลงบนปกเช่นนี้ แต่เคยทำมาแล้วถึง 4 ครั้ง เช่น ในกรณีการเสียชีวิตของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, ซัดดัม ฮุสเซน, อาบู มูซาบ อัล-ซากาวี (ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์) และ โอซามา บินลาเดน ซึ่งปกหนล่าสุดนี้ก็ได้นำกลับมาทำอีกครั้ง แถมยังสร้างกระแสให้พูดถึงกันไปทั่วโลก

เพราะลึก ๆ ในใจของผู้คน คงคิดไม่ต่างกันว่า "ปี 2020 ถึงเลขจะสวย แต่โห๊ดโหด!" อะไร ๆ มันช่างดูเลวร้ายมาตั้งแต่ต้นปี เรื่องแย่ ๆ ที่มาวินไม่มีกล้าเถียง นั่นคือ การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังคงหนักหนาอยู่เหมือนเดิม ย้อนกลับมาที่เมืองไทยเอง ปี 2020 ก็จัดหนักกันหลายเรื่อง The States Times LITE ลองเช็กเสียงจากทีมงานกองบรรณาธิการ (คนใกล้ตัวนี่เอง) โดยตั้งโจทย์ว่า "ถ้าจะขีดฆ่าเรื่องราวใดให้หายไปจากปีนี้ อยากจัดการกับเรื่องอะไร?"

อาร์ตไดเรกเตอร์ประจำกองฯ บอกว่า : "ผมขอขีดฆ่าม็อบทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เบื่อความขัดแย้งมาก"

โซเชี่ยลแอดมินประจำกองฯ บอกเช่นกันว่า "คงเป็นเรื่องโควิด-19 อยากให้มันหายไปจากโลกนี้เสียที เบื่อ!!!"

นักเขียนกองฯ การเมือง ก็เห็นคล้ายๆ กับอาร์ตไดฯ "อยากให้ม็อบหายไป เพราะยืดเยื้อก็ไม่ส่งผลดีต่อใคร"

กราฟิกดีไซน์ ประจำกองฯ มาแนวแปลก บอกว่า "อยากกากบาทให้โจ ไบเดน หายไปครับ" (อ๋อ เป็นแฟนคลับโดนัลด์ ทรัมป์)

บก.โต๊ะข่าวธุรกิจ ใคร่ครวญอยู่แป๊บนึง แล้วฟันธงออกมาว่า "ขอขีดฆ่าปี 2020 แบบที่ TIMES ทำนี่แหละครับ เหมือนล้างไพ่ ว่ากันใหม่ปีหน้า"

นี่เป็นแค่เสียงส่วนหนึ่งจากกองบรรณาธิการ The States Times อีกไม่กี่สัปดาห์ปี 2020 ก็จะผ่านไปแล้ว ถามใจคุณว่า อยากขีดฆ่ากากบาทให้อะไรหายไป แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ปีหน้า...

 

บทเพลง BTS & BLACKPINK ติด 50 อันดับ เพลงดีที่สุดในปี 2020

Rolling Stone นิตยสารเเละเว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เผย 50 เพลงจากทั่วโลกที่ดีที่สุดในปี 2020 โดย BTS ศิลปินบอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลีใต้ ติดอยู่ในอันดับที่ 7 จากเพลง Dynamite ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แถมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้วงแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ อัลบั้มของพวกเขา Map of the Soul: 7 ก็ยังติดอยู่ในอันดับที่ 16 จาก 50 อันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดประจำปี 2020 ของ Rolling Stone ด้วยเช่นกัน ด้านเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอต BLACKPINK ก็ไม่น้อยหน้า นำบทเพลง Ice Cream ซึ่งเป็นผลงานที่พวกเธอสร้างสรรค์ร่วมกับ เซเลนา โกเมซ ติดอยู่ในอันดับที่ 13 

โดยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เนื้อเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ มีเพียงท่อนเเร็ปของ ลิซ่า ที่มีภาษาเกาหลีปนอยู่ อีกหนึ่งความโดดเด่นของงานเพลงชิ้นนี้ คือมิวสิควีดีโอของพวกเธอที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส มาในโทนชมพูพิงค์ ๆ ที่ใครได้ชมเป็นต้องหลงเลิฟฟฟฟ

ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของทั้ง 2 ศิลปินจากเกาหลี และจัดว่าเป็นปีทองของ BTS และ BLACKPINK อย่างแท้จริง

 

ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป ส่งผลร้ายอย่างไร?

"อีกขวดน่า!" มีใครเคยพูดกับตัวเองทำนองนี้ ขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังบ้างไหม?

แถมสุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดตู้คว้ามา 1 ขวดจนได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนี้ทั้งวัน ซัดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปแล้ว 3 ขวด!!!

จากที่เคยได้ยินโฆษณาทางทีวีที่บอกว่า "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด" แต่ในชีวิตจริง คือดื่มไปเรื่อย โดยเฉพาะเมื่อไรที่รู้สึกเพลีย ง่วง ซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องมายืนอยู่หน้าตู้แช่แบบนี้ทุกทีไป

หน้าที่หลักของ "เครื่องดื่มบำรุงกำลัง" นั้น ทำให้สมองตื่นตัว เพิ่มพลังงาน เนื่องจากมีน้ำตาล และผสมสารคาเฟอีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง แต่อะไรที่กิน หรือเสพมากจนเกินไป ก็มักจะตามมาด้วยผลข้างเคียง เหมือนดังเช่น ‘คาเฟอีน’ ที่เมื่อได้รับมากจนเกินไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ดูจะไม่เป็นมิตรต่อร่างกายสักเท่าไรเลย

ร่างกายเราสามารถรับคาเฟอีนได้แค่ไหน

โดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องบำรุงกำลังมักจะผสมคาเฟอีนต่อขวดอยู่ที่ 80 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากาแฟ 1 แก้ว) แต่จากผลการศึกษาของหน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ American Academy of Pediatrics (APP) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขปริมาณคาเฟอีนที่เห็นบนฉลากข้างขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ได้ว่า มีปริมาณคาเฟอีนจริง ๆ อยู่เท่าไรกันแน่

 

 

หากได้รับคาเฟอีนมากไป...จะมีผลเสียอย่างไร

การดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ หรือมากกว่า 2 ขวดขึ้นไป อาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกิน จนมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ อาการในระดับเบาที่มักจะเกิดขึ้น คือ รู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ กระหายน้ำ ปวดหัว นอนไม่กลับ หงุดหงิดง่าย อาการเหล่านี้สามารถเป็นแล้วหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากได้รับคาเฟอีนมากเกินขนาดหนัก อาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น หายใจลำบาก อาเจียน เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก รวมทั้งมีอาการชัก

 

 

คาเฟอีนกับผลร้ายในวัยรุ่น

หน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ หรือ APP ยังมีรายงานถึงผลข้างเคียงที่ได้รับจากการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กหรือวัยรุ่น อาจทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีนขึ้นได้ มากไปกว่านั้น การได้รับคาเฟอีนอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเต้นผิดจังหวะ มีผลต่อความดันโลหิตที่สูงขึ้น รวมทั้งความเข้มของเลือดที่มากขึ้น ไม่นับรวมภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เนื่องจากในเครื่องดื่มบำรุงกำลังมีน้ำตาลผสมอยู่ในปริมาณมากเช่นกัน

 

ทั้งนี้ปริมาณของคาเฟอีนที่เหมาะสำหรับวัยรุ่น คือไม่ควรเกินวันละ 100 มิลลิกรัม แต่หากเลี่ยงได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะไม่ส่งผลดีใดๆ ในระยะยาว เอาเป็นว่า ถ้าง่วง เพลีย ซึมเซา หรือต้องใช้พลังงานอ่านหนังสือ หรือต้องทำงาน ลองปรับพฤติกรรมตัวเองดูดีกว่า หากอ่านหนังสือดึกๆ ไม่ไหว ก็สู้เข้านอนเร็ว แล้วรีบตื่นมาอ่านช่วงเช้า ๆ เผลอๆ หัวสมองจะแจ่มใส่กว่าเป็นไหน ๆ ส่วนคนที่ต้องทำงาน มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ลองหาชาอุ่น ๆ จิบเบา ๆ ให้ร่างกายตื่นตัว เอาจริง ๆ ดื่มน้ำเปล่าก็ช่วยได้นะ ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

เก็บเครื่องดื่มบำรุงกำลังเอาไว้เป็น "ตัวช่วยสุดท้าย" ถนอมร่างกายตัวเองกันใว้ยาวๆ ดีกว่านะ


อ้างอิง:

https://www.thelist.com/164290/what-happens-when-you-drink-too-many-energy-drinks/

https://hellokhunmor.com

https://www.pobpad.com  

 

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top